กรรมฐานเปลี่ยนนิสัยได้

สมถวิล บุญราศรี

๑๐ เม.ย. ๓๕

R6020

 

กราบนมัสการหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง

            ก่อนอื่นดิฉันขอแนะนำตัวเองต่อหลวงพ่อก่อนเจ้าค่ะ ดิฉันชื่อ นางสมถวิล บุญราศรี อาชีพรับราชการเป็นพยาบาลวิชาชีพประจำโรงพยาบาลชุมชน อำเภอละหานทราย จังหวัดบุรีรัมย์

            สาเหตุที่ดิฉันต้องมีจดหมายมากราบเรียนหลวงพ่อ เพราะดิฉันอยู่ห่างไกลจังหวัดสิงห์บุรีพอสมควร และมีอาชีพรับราชการ จึงมีเวลาน้อยในการมาปฏิบัติกรรมฐานที่วัด และอีกอย่างดิฉันมีความยินดีที่จะต้องกราบเรียนหลวงพ่อในส่วนของการปฏิบัติคุณความดีในครั้งนี้ ซึ่งเป็นการบังเอิญเหลือเกิน

            ดิฉันขอย้อนเหตุการณ์ก่อนที่ดันจะได้มาวัดอัมพวันสักนิดหนึ่ง โดยส่วนตัวแล้วดิฉันเป็นคนที่ค่อนข้างใจร้อน วู่วาม เชื่ออะไรยาก ยิ่งเรื่องการทำบุญปฏิบัติกรรมฐานด้วยแล้วแทบจะไม่สนใจเลย ยิ่งมีพระที่เร่งทำให้ศาสนาเสื่อมตามที่เคยเป็นข่าว ดิฉันยิ่งเสื่อมศรัทธา

            วันหนึ่งเพื่อนสนิทของดิฉันโทรศัพท์จากกรุงเทพฯ ให้ดิฉันเข้ากรุงเทพฯ ด่วน จะพาไปวัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี ดิฉันงงมาก และไม่มีอารมณ์ที่จะไปเลย

            เพื่อนคนนี้ทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ พบหนังสือตามร้านขายหนังสือ เขาเลยซื้อมาอ่าน แล้วเกิดความศรัทธาจะต้องมาที่วัดอัมพวันนี้ให้ได้

            ด้วยความรักเพื่อน ดิฉันก็ลางานได้ ๓ วัน เข้ากรุงเทพฯ ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทาง ๑ คืน มาเช้าที่กรุงเทพฯ พอสาย ๆ เพื่อนก็พาเดินทางต่อไปสิงห์บุรี โดยที่ฉันเหนื่อยมาก ไม่ได้พักผ่อนเลย ยิ่งเกิดอาการเบื่อหน่ายมากขึ้น

            ที่สิงห์บุรีก็ไม่รู้จักใครเลย ดิฉันหงุดหงิดให้เพื่อนมาก บ่นตลอดจิตใจไม่สงบเลย จึงขอเพื่อพักสักคืน เช้าค่อยเข้าวัด เขาก็ตามใจ

            เช้าก็เข้าตลาดสดสิงห์บุรีเพื่อรับประทานอาหาร และต่อสายนาฬิกาที่ขาด ไม่ได้สนใจว่าจะเข้าร้านไหน เพื่อนก็บอกว่าเข้าร้านทองเถอะ มีสายนาฬิกาขายด้วย

            เจ้าของร้านดูท่าทางอิ่มเอิบ พูดดีทั้งสามีภรรยาซึ่งอยู่กันสองคนเท่านั้น พอใส่สายนาฬิกาเสร็จแล้ว จึงถามทางไปวัดอัมพวัน เจ้าของร้านรีบอธิบายรายละเอียดให้อย่างดี ดิฉันกับเพื่อนก็ขอบคุณท่าน

            พอออกจากร้านดูชื่อร้าน เป็นร้านทอง “แม่เป้า” ที่เคยลงในหนังสือกฎแห่งกรรม เพื่อนดิฉันตื่นเต้นมาก และเริ่มมีศรัทธาอย่างแรงกล้าที่จะเข้ามาวัดอัมพวัน

            เพื่อนเขารู้รายละเอียดจากหนังสือ ดิฉันไม่ได้อ่านหนังสือก็เลยเฉย ๆ

            พอมาถึงวัดก็เกิดอาการงงอีก ว่าเราจะเริ่มต้นอย่างไรดี ก็พากันเดินไปที่สำนักปฏิบัติ มีคนนุ่งขาว ถามว่าจะมาทำอะไร เพื่อนก็บอกว่าจะมากราบหลวงพ่อ คนที่นุ่งขาวก็บอกให้ไปที่กุฏิ

            พอไปถึงพบพระรูปหนึ่ง ดิฉันก็แจ้งวัตถุประสงค์ ท่านบอกว่า “รอก่อนนะ” หลวงพ่อกำลังอบรมนักเรียนที่ศาลาสุธรรมภาวนา โยมทานอาหารก่อน แล้วค่อยไปรอที่ศาลา

            ดิฉันก็เซ็งที่สุด ไม่รู้อะไรเลย พอดีมีคนเข้าวัด เขาเดินไปศาลา ซึ่งก็ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน ก็เดินตามเขาไป พอไปถึงศาลา ในใจก็บอกว่า โอ้โฮ ศาลาอะไรใหญ่โตอย่างนี้

          ขึ้นไปนั่งกับกลุ่มผ้าป่า ซึ่งก็ไม่รู้จักอีกนั่นแหละ พบว่าหลวงพ่อกำลังอบรมนักเรียน ดิฉันกับเพื่อนเลยได้กราบและฟังหลวงพ่อเทศน์อบรมไปด้วย ความเหนื่อยเพลียหายไป

            ตั้งใจฟังหลวงพ่ออบรม พอสุดท้ายก็เกิดความแปลกใจ ตอนที่หลวงพ่อเทศน์เสร็จ แทนที่โรงเรียนจะถวายปัจจัยให้หลวงพ่อ กลับเป็นว่าหลวงพ่อให้ทุนการศึกษากับนักเรียนโรงเรียนละ ๑,๐๐๐ บาท ดิฉันเริ่มสงสัย แต่ก็ยังเฉย ๆ

          หลวงพ่ออบรมเสร็จ กลุ่มผ้าป่าก็ทำการทอดผ้าป่า ดิฉันกับเพื่อนก็มีโอกาสได้เข้าร่วมกับกลุ่มผ้าป่ากับเขาด้วย ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้จักกับเขาเหล่านั้นเลย

          ทอดผ้าป่าเสร็จ ดิฉันกับเพื่อนก็เข้ามากราบหลวงพ่อ และรายงานว่า ดิฉันเพิ่งมาใหม่ ขอหลวงพ่อช่วยแนะนำการปฏิบัติให้ด้วย

          หลวงพ่อก็ถามว่า จะมาปฏิบัติใช่ไหม ให้ไปพบแม่สุ่ม ไปทานอาหารก่อน แล้วจะให้เด็กวัดพาไปพบแม่สุ่ม

            ดิฉันกับเพื่อนก็กราบลาหลวงพ่อไปทานอาหาร พบว่าอาหารอร่อย มีแขกมาทานมากทั้งไทย ฝรั่ง พอเสร็จแล้วก็ไปพบแม่สุ่ม

          ท่านก็ถามว่า มากี่วัน เพื่อนก็ตอบว่า มาได้แค่ ๒ วัน อยากมาลองปฏิบัติดู แม่สุ่มท่านก็บอกว่า มาแค่ ๒ วันคงไม่ได้อะไรมากหรอก ไปพักก่อนก็แล้วกัน แล้วคอยไปดูเขาปฏิบัติ

          ดิฉันกับเพื่อนก็ได้เข้าพักกับคุณป้าคนหนึ่งที่ท่านมาปฏิบัติเช่นกัน ท่านเป็นธุระแนะนำการปฏิบัติตัวและจะเข้าปฏิบัติช่วงไหน

          ดิฉันเกิดความอึดอัดเต็มทนเพราะไม่ได้เตรียมตัว ชุดขาวก็เป็นกระโปรง รองเท้าสีดำ ดูไม่เข้ากันเลย เดินเป็นแถวไปปฏิบัติที่ศาลา

          ดิฉันกับเพื่อนช้ากว่าคนอื่น เขาเข้าไปนั่งกันหมดแล้ว ดิฉันกับเพื่อนเพิ่งเดินไปทีหลัง มองไม่ทันว่าเขาเข้าไปศาลาไหน แต่ก็แปลกเหมือนมีคนชี้ทางให้ ในใจบอกว่าไปทางนี้เถอะ

          พอไปถึงก็เห็นรองเท้ามากมาย ก็คิดว่าคงใช่ ก็เดินเข้านั่งกราบพระ ก็ไม่ทราบอีกนั่นแหละว่าจะทำอะไร เริ่มอย่างไร

          แม่ชีมาแนะนำให้ ดิฉันก็เริ่มปฏิบัติโดยการ เดินจงกรม ยืนหนอ ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ทำตามที่แม่ชีแนะนำ ก็เดินไปอย่างนั้น ไม่มีสมาธิอะไร ทำไปเพราะขัดเพื่อนไม่ได้ เพื่อนเขามีความตั้งใจ เขาก็ปฏิบัติได้ถูกต้อง

          ดิฉันทำถูก ทำผิด เดินหลับตา นั่งพองหนอ ยุบหนอ ไปเรื่อยเปื่อย รอเวลาให้หมด เมื่อยก็เมื่อย มานั่งทนอยู่ได้ กลางคืนก็เดินอีก ตอนเย็นต้องอดข้าว ตอนเวลาตีสามครึ่งต้องลุกไปปฏิบัติอีก คิดในใจว่า อะไรกัน ยังไม่ได้นอนเลย ไปอีกแล้ว

          พอถึงเช้าก็มาทานอาหาร มีพิธีก่อนทานอาหารอีก คนหิวข้าวยังจะให้สวดมนต์อีกใจหงุดหงิดมาก เมื่อได้รับประทานอาหาร ทั้งที่เป็นอาหารธรรมดา แต่ทำไมถึงอร่อยนัก อร่อยทุกมื้อเลย

          ปฏิบัติวันที่สอง ดิฉันยิ่งไม่สนใจใหญ่ นั่งสมาธิก็หลับ นั่งไปนั่งมา ทนไม่ไหวก็ลุกไปเดิน แล้วกลับมานั่งพิงเสาหลับสนิท ทนปฏิบัติจนครบเวลาตามที่เพื่อนตั้งใจไว้ ใจก็คิดว่าถึงเวลาเร็ว ๆ เถอะ จะได้กลับบ้าน จะได้นอนให้เต็มอิ่ม

          ถึงเวลา ๕ โมงเช้าวันอาทิตย์ก็เข้าไปลาแม่สุ่ม และแม่ชี ท่านก็ทักว่าเป็นพยาบาลใช่ไหม ดูการแต่งตัวแล้วคิดว่าเป็นพยาบาลแน่เลย แม่ชีก็ให้หนังสือการปฏิบัติตัวและกฎระเบียบต่าง ๆ เผื่อโอกาสหน้าจะได้ปฏิบัติได้ถูกต้อง

          ดิฉันคิดว่าแค่นี้ก็เข็ดแล้ว ไม่มาอีกแล้ว ดิฉันกับเพื่อนก็ลากลับกรุงเทพฯ ดิฉันก็เดินทางต่อไปที่จังหวัดบุรีรัมย์ กลับไปทำงานตามปกติ

          ระหว่างเดินทาง ดิฉันกับเพื่อนคุยกันเรื่องปฏิบัติกรรมฐาน ดิฉันได้แต่หัวเราะเพราะไม่มีศรัทธาเลย เพื่อนก็บอกว่าอย่าทำเป็นเล่นนะ หนังสือนี่อ่านทุกเล่ม อ่านแล้วคิดอย่าทิ้ง ไปปฏิบัติให้ต่อเนื่องที่บ้าน พอดีแม่ชีก็บอกให้ลองปฏิบัติที่บ้าน

          กลับไปบ้านดิฉันอยู่บ้านคนเดียว สามีทำงานที่กรุงเทพฯ ลูกสาวอยู่กับคุณยายที่อำเภออีกอำเภอหนึ่ง ดิฉันอยู่บานที่อำเภอละหานทราย ซึ่งเป็นที่ทำงานของตัวเองด้วย

          ระหว่างการเดินทางกลับ จากกรุงเทพฯ ไปบุรีรัมย์ ต้องใช้เวลามาก ดิฉันเดินทางกลางวันจึงมีเวลาคิดอะไรเรื่อยเปื่อย แล้วก็หยิบหนังสือ กฎแห่งกรรม-ธรรมปฏิบัติ มาอ่านจากเล่มหนึ่งเลย

          ดิฉันเกิดความคิดว่า ลองอ่านซิ เผื่อจะมีแนวทางและฆ่าเวลาไปด้วย พอได้อ่าน ดิฉันวางไม่หลงเลย ทุกเรื่องดิฉันอ่านแล้วพิจารณาตาม มีสติอ่านทุกตัวอักษร แล้วก็เกิดอยากรู้ว่า เป็นจริงอย่างนั้นหรือ อยากพิสูจน์

          ใช้เวลาไม่กี่วันก็อ่านจบหมดทั้ง ๕ เล่ม แล้วนำบทสวดมนต์มาดูอีกต่างหาก แล้วก็เกิดความคิดว่า ถ้าจะพิสูจน์ตามหนังสือ จะต้องลองปฏิบัติเองให้รู้จริง

          ดิฉันไปถึงบ้าน เริ่มปฏิบัติตามที่ได้ความรู้จากที่วัดอัมพวันช่วงเวลา ๒ วันและได้จากหนังสือที่หลวงพ่อแนะนำ

          ตอนแรกควบคุมสติไม่อยู่ เพราะรอบ ๆ บ้านมีเสียงรบกวน ไม่สงบเลยดิฉันก็ไม่ย่อท้อ ปฏิบัติทุกวัน เมื่อยก็ทน ปฏิบัติกรรมฐานทุกวันเท่าที่มีเวลา

          ดิฉันจะใช้เวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง เดิน ๓๐ นาที นั่ง ๓๐ นาที ใช้เวลาตอนตีห้า ตอนเย็นจะสวดมนต์

          พอวันที่สาม ดิฉันก็เกิดความรู้สึกแปลก เกิดปวดเมื่อยมาก ๆ เลยลองทำตามที่หลวงพ่อแนะนำในหนังสือให้กำหนดว่า ปวดหนอ ปวดหนอ ตั้งสติไปตรงจุดนั้น

          เมื่อปฏิบัติตาม ความรู้สึกที่ปวดเมื่อยนั้นหายไปทันที คล้าย ๆ มีใครมานวดให้อย่างนั้น และก็สามารถขจัดเวทนาเหล่านี้ได้ทุกครั้งที่เป็น

          อาการรุ่มร้อนวิตกกังวลสับสนที่เคยเป็นมาก่อน กลับตรงกันข้าม ขณะนี้ดิฉันมีสติ ไม่วู่วาม จิตใจสงบลงอย่างมาก มีความสงบ มีความสุขอยู่กับการปฏิบัติกรรมฐาน อ่านหนังสือก็ไม่วอกแวก เดิมทีอ่านหนังสือไม่เคยรู้เรื่องเลย

          ที่ทำให้ดิฉันศรัทธาไปอีกคือ มีวันหนึ่งดิฉันปวดศีรษะมาก ปวดซีกเดียว ปฏิบัติกรรมฐานก็ไม่ได้ ก็เลยสวดมนต์พาหุงมหากา.. สวดตามที่หลวงพ่อแนะนำจากหนังสือ และสวดบทพุทธคุณเท่าอายุและเกิน ๑ จบ

          ผลปรากฏว่าอาการปวดศีรษะหายเป็นปลิดทิ้ง ดิฉันก็ได้คิดว่าความสงบกับสติช่วยได้จริง ๆ ทั้งที่ดิฉันไม่ได้มาวัดอัมพวันอีก แต่ดิฉันก็สามารถทำให้ตัวเองพบกับความสงบและจิตใจระลึกถึงอำนาจบารมีจากหลวงพ่อตลอดเวลาเกิดความปีติ และจะต้องหาโอกาสมาปฏิบัติกรรมฐานอีกให้จงได้

          เดี๋ยวนี้ดิฉันปฏิบัติกรรมฐานเพียงวันละ ๑ ชั่วโมง และสวดมนต์ก่อนนอนและเช้าด้วยถ้ามีเวลา ดิฉันปฏิบัติอย่างนี้ทุกวัน ได้แผ่เมตตาทุกวันรู้สึกว่าจิตใจสงบเยือกเย็นลงมากไม่ร้อนรน เผลอร้อนรนบ้างก็มีธรรมะมาข่ม

          ดิฉันได้ทางที่สว่างจากหนังสือและเพื่อนที่ช่วยแนะนำทางที่ถูกต้องให้ อะไรที่เป็นเรื่องไม่สบายใจ ก็สามารถยุติลงด้วยดีทุกครั้ง คงเป็นอานิสงส์จากการปฏิบัติกรรมฐาน สวดมนต์ มีธรรมะประจำใจ จึงทำให้ดิฉันมีจิตใจสงบ มากมายถึงขนาดนี้ เกิดความอิ่มเอิบใจอย่างบอกไม่ถูก ตัดความทุกข์ร้อนได้อย่างไม่น่าเชื่อ

          ดิฉันเขียนจดหมายมากราบเรียนหลวงพ่อ คิดอยู่ว่าต้องหาเวลามากราบนมัสการหลวงพ่ออีก ถึงแม้จะไม่ได้พบ ก็ขอได้เข้ามาปฏิบัติก็ภูมิใจแล้ว ดิฉันจึงขอระลึกถึงบุญบารมีของหลวงพ่อ และท่านผู้มีพระคุณอื่น ๆ มาด้วยความรู้คุณ และขอกราบขอบพระคุณในบุญคุณครั้งนี้ ดิฉันสามารถพิสูจน์ได้แล้วอย่างแท้จริง และจะตั้งใจปฏิบัติกรรมดีต่อไป

                                                                    กราบนมัสการมาด้วยความเคารพอย่างสูง

                                                                                      สมถวิล บุญราศรี

                                                              ๒๙/๕ หมู่ ๒ ต. ละหานทราย อ. ละหานทราย จ. บุรีรัมย์

 

ปล. ดิฉันเขียนมาเพื่อเป็นแนวทางให้กับคนรุ่นใหม่ที่มีลักษณะคล้ายกับดิฉัน ได้คิดได้ไตร่ตรอง ไม่หลงในสิ่งที่เป็นสิ่งทำลายจิตใจ และทำลายตัวเองต่อไป

 

----------- จบ -----------