แฝดพี่แฝดน้อง

ปราณี-ประนอม หิรัญเสวก

R6021

ฝาแฝดพบหลวงพ่อ

          ฝาแฝดสองคนถือกำเนิดเกิดขึ้นมา ณ บ้านเลขที่ ๖๓ หมู่ ๑๕ อำเภอหันคา จังหวัดชัยนาท แฝดพี่มีชื่อว่า ปราณี หิรัญเสวก แฝดน้องมีชื่อว่า ประนอม หิรัญเสวก

          โดยปกติแล้วแฝดทั้งสองจะชอบฟังรายการธรรมะทางวิทยุเป็นประจำ เริ่มฟังมาตั้งแต่อายุ ๑๕ ปี ฟังแล้วก็เกิดความเลื่อมใสในพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงสั่งสอนไว้ว่า

          “จงละอกุศลทั้งปวง จงทำกุศลให้ถึงพร้อม จงตามรักษาจิตให้ผ่องใส”

          และได้ติดตามฟังรายการธรรมะที่คณะพระภิกษุสามเณรจัดเผยแผ่ธรรมะมาโดยตลอด ขอกราบของพระคุณท่านที่เผยแผ่ธรรมะทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วย

          อยู่มาวันหนึ่งฟังรายการของคนวัดทางวิทยุ ตอนนั้นคนวัดจัดนำไหว้พระหลายวัดหลายคันรถ คนวัดเล่าทางวิทยุว่า ได้นำขบวนไหว้พระเดินทาง หลงเข้าวัดอัมพวัน พอไปถึงก็พบ หลวงพ่อ ออกมาต้อนรับ

          สิ่งแรกที่หลวงพ่อต้อนรับก็คือ ห้องน้ำ หลวงพ่อเชิญทุกคนเข้าห้องน้ำ และตามมาด้วยเครื่องดื่มและอาหาร เสร็จแล้วหลวงพ่อก็กล่าวต้อนรับด้วย ธรรมปฏิสันถาร ด้วยเมตตาไมตรีอย่างดีงาม

          คนวัดเล่าลักษณะท่าทางของหลวงพ่อให้ฟังทางวิทยุ แฝดน้องเกิดความเลื่อมใสในองค์หลวงพ่อ จับปากกาจดชื่อหลวงพ่อและวัดไว้ก่อนเพื่อกันลืม

          ต่อมาวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๒๖ แฝดน้องได้เขียนจดหมายมากราบนมัสการหลวงพ่อ เล่าถึงคนวัดได้พูดถึงหลวงพ่อทางวิทยุ จึงเป็นเหตุให้แฝดน้องเกิดความเลื่อมใส จึงได้เขียนจดหมายมาถึงหลวงพ่อ

          หลวงพ่อตอบจดหมายแฝดน้อง ลงวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖ เชิญชวนให้แฝดน้องมาเที่ยวที่วัดอัมพวัน แฝดน้องก็เขียนจดหมายถามการเดินทางมาวัดอัมพวัน หลวงพ่อก็ตอบจดหมายลงวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๒๖ ชี้แจงการเดินทางมาวัดอัมพวันให้ทราบและชวนให้มาเที่ยววัดอัมพวันอีก

          ต่อมานานหลายเดือนก็ยังไม่ได้เดินทางมาวัดอัมพวัน แฝดน้องก็เขียนจดหมายอีกลงวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๒๖ หลวงพ่อบอกแฝดน้องว่าถามทางมาวัดอัมพวันแล้ว ยังไม่เห็นมา

          คราวนี้หลวงพ่อถามหนทางมาบ้านแฝดน้องบ้าง แฝดน้องก็เขียนบอกหนทางมาบ้านแฝดน้องมาให้หลวงพ่อ

          อยู่มาวันหนึ่ง ฝาแฝดทั้งสองต้องออกไปช่วยเขาทำงาน แต่บังเอิญเจ้าของงานเกิดขัดข้อง เลยอยู่บ้านทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ

          เวลาบ่ายของวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๒๖ ก็มีรถมาจอดที่หน้าบ้านมีพระภิกษุมาถามหาคนชื่อประนอม คือแฝดน้อง พอแฝดน้องเห็นพระ ซึ่งไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน แฝดน้องก็นึกในใจทันทีว่า ต้องใช่ หลวงพ่อพระครูภาวนาวิสุทธิ์ แน่นอน

          ได้นิมนต์หลวงพ่อขึ้นบ้าน แฝดน้องกราบหลวงพ่อแล้วถามว่า “ใช่ท่านหลวงพ่อพระครูภาวนาวิสุทธิ์ไหม” ท่านก็ตอบว่า “ใช่”

          “สาธุ ลูกดีใจที่สุดเลย ไม่นึกไม่ฝันว่าหลวงพ่อจะมาโปรดลูกถึงในทุ่งนา ป่าดงเช่นนี้เลย”

          สิ่งที่หลวงพ่อนำมาฝาก คือ รูปถ่ายใบใหญ่ มอบให้แฝดน้อง และมีสิ่งที่น่าสังเกตคือ หลวงพ่อรู้จักแต่แฝดน้องทางจดหมาย แต่หลวงพ่อนำ ขนมเปี๊ยะมาฝากสองอัน!

          เป็นสิ่งที่ทุกคนในบ้านมีพ่อแม่ ยาย พี่น้อง ดีใจกันเป็นอย่างยิ่ง ที่เห็นหลวงพ่อกรุณามาโปรดลูกทั้งสองถึงบ้าน แล้วหลวงพ่อก็ลากลับ

          วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗ แฝดทั้งสองก็เดินทางมาวัดอัมพวัน กราบนมัสการหลวงพ่อ ชมวัดอัมพวันด้วยความดีใจเป็นอย่างยิ่ง

          ขากลับหลวงพ่อกรุณานำรถไปส่งแฝดทั้งสองถึงที่บ้านทุ่งนาป่าดงอีก ลูกขอกราบขอบพระคุณหลวงพ่อผู้มีพระคุณอย่างสูงยิ่ง

แฝดพี่ใช้หนี้กรรม

          ชีวิตของแฝดพี่ที่เกิดมา ดูเหมือนว่าจะเป็นชีวิตที่ต้องชดใช้หนี้กรรมมาตลอด ทั้งกรรมเก่าและกรรมใหม่ที่ติดตามมาให้ผลเป็นระลอก สุดแล้วแต่ว่ากรรมอะไรจะติดตามมาทัน

          ตอนเป็นเด็กแต่ครั้งยังเดินไม่ได้ แฝดพี่เกิดป่วยเป็นฝีในคอ เจ็บปวดสุดแสนสาหัส ร้องครวญครางทั้งวันทั้งคืน จากนั้นก็ป่วยกระเสาะกระแสะกันบ่อยทั้งแฝดพี่และแฝดน้อง ทำท่าว่าจะเลี้ยงไม่รอด

          คุณพ่อจึงบวชพระ ยกบุญกุศลแผ่เมตตาให้ลูกฝาแฝด ๗ วัน ตลอดเวลา ๗ วันที่ คุณพ่อบวชเป็นพระไม่ฉันเนื้อสัตว์ ปฏิบัติเคร่งครัด ทำวัตรสวดมนต์ภาวนาให้ลูกทั้ง ๗ วัน

          จากนั้นฝาแฝดก็ค่อย ๆ เติบโตขึ้นมาอายุได้ประมาณ ๙ ปี แฝดพี่ก็ป่วยหนักด้วยโรคสมองอักเสบ นอนป่วยทรมานเป็นแรมเดือน

          อายุ ๑๓ ปี แฝดพี่ก็ป่วยด้วยโรคสมองอักเสบ ตับ ปอดอักเสบอีก ต้องนอนโรงพยาบาลแทนบ้านนานนับวันนับเดือน

          อายุ ๑๔ ปี แฝดพี่ก็ป่วยหนักด้วยโรคเก่าคือสมองอักเสบ ตับ ปอดอักเสบ ต้องเข้าโรงพยาบาลให้หมอเยียวยา ต้องหยอดข้าวหยอดน้ำกันอีกครั้ง

          คราวนี้รุนแรงแสนสาหัสจนมีอาการกระตุก คุณยายผู้เฝ้าไข้คอยประคองอุ้มหลาน ถึงกับผงะหงายหลังมือไปปัดแก้วของโรงพยาบาลหล่นแตกกระจาย

          ครั้งนั้นก็น่าจะตายเสีย แต่ก็ยังอุตส่าห์รอดชีวิตมาได้อีก เวรกรรมแท้ ๆ แฝดพี่คงทำกรรมไม่ดีไว้มาก ชาตินี้จึงต้องมาชดใช้หนี้กรรมไม่รู้จักจบสิ้น

          กรรมใหม่ในชาตินี้ก็เห็นทันตา แฝดพี่ตีสุนัขตัวหนึ่งที่ชอบกัดสุนัขตัวอื่นอย่างดุร้าย ชอบกัดสุนัขที่สู้ไม่ไหว และตัวเล็กกว่าอยู่เสมอ

          วันหนึ่งสุนัขตัวนี้กำลังกัดสุนัขตัวที่เล็กว่าอย่างดุร้าย ตัวเล็กยิ่งร้อง มันก็ยิ่งกัดขย้ำไม่หยุด แฝดพี่คว้าไม้ได้อันหนึ่งก็ตีลงไปที่หลังข้าง ๆ โคนหางของมัน ได้ผลทันทีมันเลิกกัดตัวเล็กแล้วก็ร้องเอ๋ง ๆ วิ่งหนีไป

          เจตนาที่แฝดที่ตีก็เพื่อหวังจะห้ามปรามไม่ให้กัดสุนัขตัวเล็กกว่า แต่เป็นเพราะตีแรงไปหน่อย หรือจะตีไปถูกเส้นประสาทสำคัญเข้าก็ไม่ทราบ

          สุนัขตัวนั้นเดินร้องอยู่สองสามวัน จากนั้นมาขาหลังทั้งสองข้างก็พิการลากไปกับพื้น เดินไม่ได้ แฝดพี่เห็นมันเป็นเช่นนั้นก็นึกเสียใจ และสงสารสุนัขตัวนั้นเป็นที่สุด

          เวลาสุนัขตัวนั้นจะไปไหน จะเดินได้แต่สองขาหน้าเท่านั้น แล้วลากขาหลังไปกับพื้น อยู่ได้ประมาณ ๒ เดือนสุนัขตัวนั้นก็ตายจากไป

          จากนั้นมาประมาณสิบกว่าปี เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๒๕ แฝดพี่เกิดปวดขาขึ้นมาอย่างเฉียบพลันโดยหาสาเหตุไม่ได้ ขาบวมปูด ปวดหนักขยับเขยี้อนเคลื่อนไหว ยกเดินไม่ได้เลย นอนร้องครวญครางน่าสงสารมาก

          พาไปรักษาตามคลีนิคแถวบ้าน และไปรักษาที่โรงพยาบาลนานนับเดือนก็ไม่หาย ขาเริ่มเล็กลีบลงเหมือนคนพิการ เวลาจะไปไหนก็ต้องใช้สองแขนยันกับพื้น ขยับถัดถอยหลังลากขาไปกับพื้นอย่างน่าสมเพช

          แฝดพี่ปลงสังขารตัวเอง ขาเรามันปวดทรมานเล็กลีบ ซีดเหลืองมองดูแล้วเหมือนซากผี เวลาขยับถัดถอยหลังลากขาไปก็เหมือนกับสุนัขตัวนั้นไม่มีผิดเลย

            คิดแล้วก็เศร้าสลดใจเสียจัง เราเคยทำให้สุนัขพิการเป็นอย่างนั้น เราก็ต้องมาเป็นอย่างนี้ เหมือนกับสุนัขตัวนั้น โอ้แรงอะไรจะเสมอด้วยแรงแห่งกรรมนั้นไม่มีอีกแล้ว

          น้อง ๆ เป็นแฝดพี่อยู่ในสภาพเหมือนคนพิการก็สงสาร พาไปรักษาที่โรงพยาบาลเลิดสิน เมโย กรุงเทพฯ หมอก็บอกตรงกันว่า เป็นรูมาตอย รูมาตีซั่ม

          พอดีมีญาติผู้พี่พาไปรักษาที่วัดน้ำวน ต.บางเดื่อ อ.เมือง จ.ปทุมธานี หลวงพ่ออำภา ผู้เปี่ยมล้นไปด้วยเมตตา คอยปลดเปลื้องทุกข์และชุบชีวิตของคนที่กำลังเจ็บปวดทุกข์ทรมานมาแล้วนับแสน ๆ คน

          หลวงพ่ออำภาก็รักษาแฝดพี่ด้วยการให้กินยาหม้อ ให้ทาน้ำมัน หลังจากนั้นมา แฝดพี่ก็กลับฟื้นคืนหาย เดินได้อีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่เดินไม่ได้มาสองเดือนกว่า

          เจ้าสุนัขเอ๋ย แฝดพี่ชดใช้หนี้กรรมให้เจ้าแล้ว ถ้าบุญใดกุศลใดจะพึงเกิดมีขึ้นมาจากการเขียนเรื่องกรรมนี้ แฝดพี่ของแผ่อุทิศให้แก่สุนัขตัวนั้น

          ถ้ามีเวรจงเปลื้องปลิด อดโทษข้าฯ อย่าผูกไว้เลย ถ้าสุนัขตัวนั้น ซึ่งชื่อว่าเจ้าตุ๊ ถือกำเนิดอยู่ ณ ชาติใด ภพใดก็ขอให้พึงมีส่วนได้ ส่วนถึงซึ่งบุญกุศลที่ข้าฯ ทำให้ครั้งนี้ด้วยเถิด

คำพูดอันศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อพระภาวนาวิสุทธิคุณ

          เมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๓๓  ฝาแฝดทั้งสองมางานคล้ายวันเกิดของหลวงพ่อ แต่แฝดพี่ต้องอยู่วัดอัมพวันนานเพราะหลวงพ่อบอกว่า “แฝดพี่ กลับบ้านตาย

          แฝดพี่กราบลาหลวงพ่อกลับบ้านเพื่อจะไปงานกฐินของญาติ หลวงพ่อก็พูดอีกว่า “แฝดพี่กลับบ้านตายนะหนู” แฝดพี่ก็กลับบ้านเพียงวันเดียวแล้วก็กลับไปอยู่วัดอัมพวันอีก

          หลายครั้งที่หลวงพ่อสั่งย้ำว่า แฝดพี่กลับบ้านตาย! แต่ด้วยความจำเป็นที่แฝดพี่จะต้องกลับไปสอบธรรมศึกษาตรี แฝดพี่กลับบ้านวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๓๓

          สองเดือนผ่านไป แฝดพี่ก็ยังปกติสบายดีอยู่ แต่พ่อแม่พี่น้องทุกคนก็ยังคอยเฝ้าดูแฝดพี่ด้วยความไม่แน่ใจที่หลวงพ่อบอกว่า แฝดพี่กลับบ้านตาย!

          ทุกคนคิดอยู่ในใจเสมอว่า แฝดพี่จะตายหรือจะอยู่ ๒ เดือนผ่านไป ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น

          เวลาว่าง ๆ  แฝดพี่และแฝดน้องจะพากันไปนั่งเล่นที่สะพานท่าน้ำ แฝดน้องก็พูดเล่นเป็นการสนุกว่า “หลวงพ่อบอกว่าแฝดพี่กลับบ้านตาย ไม่เห็นตายสักทีเลย อ้วนเป็นหมูตอนเชียว”

          อยู่ได้ไม่กี่วัน แฝดพี่เกิดคิดสงสารควายชราขาเสียที่เลี้ยงไว้ตัวหนึ่ง ซึ่งอยู่ในคอกห่างไกลบ้านออกไปหน่อย

          แฝดพี่จึงชวนแฝดน้องไปเป็นเพื่อนฉีดน้ำมันไล่ยุ่งให้ควายในเวลาค่ำคืน แฝดน้องก็ไม่อยากจะไป แต่แฝดพี่ก็รบเร้าเฝ้าชวน แฝดน้องเสียแค่นไม่ได้ก็ไปเป็นเพื่อน

          แฝดพี่ไปถึงก็ฉีดน้ำมันไล่ยุ่งเป็นการใหญ่ เสียงดังฟอด ๆ สักครู่ก็เงียบหาย เพราะว่าแฝดพี่มองเห็น “ผีครึ่งตัวแว้บ ๆ เข้าไปที่ต้นไม้ แฝดพี่ก็บอกกับแฝดน้องว่า พี่เห็นอะไร พี่เห็นอะไร แล้วแฝดพี่ก็วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว แฝดน้องวิ่งตามก็ไม่ทัน

          ธรรมดาแล้วแฝดพี่จะเชื่องช้ากว่าแฝดน้องมาก แต่วันนั้นแฝดพี่ลมกรด วิ่งหนีผีถึงบ้านก่อนแฝดน้อง

          พอแฝดน้องวิ่งตามไปถึงบ้านก็นั่งหอบซี่โครงกาง ใจเต้นเร็ว แฝดพี่เห็นแฝดน้องนั่งเหนื่อยหอบอยู่นาน แฝดพี่ก็บอกว่า “ระวังนะแฝดน้องเดี๋ยวจะเจ็บไข้หัวโกร๋น”

          จากนั้นมาได้ไม่กี่วัน แฝดน้องไม่เห็นเป็นอะไร แต่แฝดพี่เกิดมีอาการปวดท้อง อาเจียนไม่หยุด ปวดท้องรุนแรงมาก มากขึ้นจนทนไม่ไหวต้องไปหาหมอ

          หมอก็ฉีดยา ให้น้ำเกลือ ให้ยามารับประทานสารพัด หมอบอกว่า เป็นโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบอย่างรุนแรง หมอไม่รับรองความปลอดภัย

          ตอนนี้คำพูดของหลวงพ่อที่ว่า “แฝดพี่กลับบ้านตาย” ก็เริ่มจะปรากฏชัดเจนขึ้น

          เมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๓๔ แฝดพี่ป่วยอยู่คลีนิคบ้านหมอ ๒ วัน ก็กลับบ้านตลอดเวลาที่ป่วยไม่ได้รับประทานอาหารเลย ได้แต่ปวดท้องอาเจียนถ่ายทั้งวันทั้งคืน อาการป่วยของแฝดพี่หนักมาก ทรุดเพียบลงทุกที ถ้าอยู่บ้านอีก ๒-๓ วันก็ตายแน่

          เผอิญมีคนบอกให้ไปรักษาที่โรงพยาบาลหมอประเจิด แฝดพี่ก็ถูกนำเข้าโรงพยาบาลหมอประเจิดทันที หมอให้น้ำเกลือ เอ๊กซเรย์ ฉีดยา วันหนึ่งเป็นสิบเข็ม รับประทานยา เข้าเครื่องอุลตร้าซาวด์ สวนแป้ง ให้น้ำเกลือจนเส้นแตกไปหลายเส้น ให้น้ำเกลือ ๒๐ ถุง หมอฉีดยาหนืดเข้าเส้นทีไร เส้นแตกทุกที มันสุดจะทรมาน

          วันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๓๔ แฝดพี่เข้าโรงพยาบาลให้หมอเยียวยา แต่อาการป่วยไม่ดีขึ้นเลย จนถึงวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของแฝดพี่ แฝดพี่มีอาการเพียบหนัก เกือบจะเปลี่ยนจากวันเกิดเป็นวันตายเสียแล้ว ปวดท้องถ่าย อาเจียนตลอด

          เวลาไข้ขึ้นมาก ๆ หายใจไม่ออก เหมือนมีอะไรมาจุกแน่นลำคอทุรนทุราย หมอตกใจแล้วส่ายหน้าเมื่อชีพจรเต้นอ่อนลง พ่อแม่ น้าและน้อง ๆ ที่ไปเยี่ยมดูอาการของแฝดพี่ต่างก็มีสีหน้าวิตกกังวลทุกคน

          มีเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งชื่อ กัญยา ไปเยี่ยมแฝดพี่ เมื่อเห็นหน้าแฝดพี่ เพื่อนยิ้มและหัวเราะ แล้วก็ส่งเสียงแจ๋ว ๆ พูดขึ้นมาว่า

          “นั่นไงล่ะ หลวงพ่อบอกว่ากลับบ้านตาย ก็ยังจะกลับไป” เพื่อนพูดย้ำ พร้อมกับเอื้อมมือไปลูบคลำสังขารร่างกายที่ผ่ายผอมของแฝดพี่ ที่กำลังนอนแผ่อยู่บนเตียง

          แต่เพื่อนรักและเป็นห่วงแฝดพี่อยู่ช่วยเฝ้าไข้ตลอด ช่วยแบ่งเบาภาระกับแฝดน้อง เพราะแฝดพี่ต้องเข้าห้องน้ำบ่อย เดี๋ยวถ่าย เดี๋ยวอาเจียนทั้งวันทั้งคืน เพื่อนก็ผลัดกันหลับผลัดกันตื่นเฝ้าไข้ตลอดเวลา

          แฝดพี่พยายามคิดถึงพระพุทธเจ้าผู้ทรงบริสุทธิ์ วิเศษศักดิ์สิทธิ์ ตรัสรู้ธรรมเป็นอัศจรรย์ ทรงประเสริฐสุดกว่ามนุษยชาติทั้งหลาย ได้สองสามขณะจิตเท่านั้น จิตก็ตกจมหายไปกับทุกขเวทนาที่หนักหนาสาหัส

          ในขณะที่แฝดพี่นอนป่วยอยู่บนเตียงคนไข้นั้น จะเป็นเพราะด้วยความเจ็บปวด หรือพิษไข้ หรืออะไรก็ไม่อาจจะทราบได้ ที่ทำให้แฝดพี่ตกใจจนผวา

          แฝดพี่เห็นเป็นรูปคนปนผีมายืนรอบเตียง แล้วก้มหน้าลงมองจ้องดูแฝดพี่ มีทั้งหน้าผู้หญิงผู้ชาย แฝดพี่คิดว่าผีหรือคนมาจากไหนกันมากมายนักหนา มาก้มหน้ามองจ้องดูเราจนหน้าติดกันเป็นแพ ใจหาย สักครู่ผีก็หายไปหมด

          วันต่อมามีผีฝรั่งพุ่งหัวสูงขึ้นเกือบถึงเพดานโรงพยาบาล หน้าขาว ยืนมองดูแฝดพี่แล้วก็หายไปอีก และเห็นอะไรอีกเยอะแยะที่มันแปลก ๆ ที่แฝดพี่ยังไม่เคยเห็นมาก่อน

          ตั้งแต่วันแรกที่แฝดพี่เข้าโรงพยาบาลหมอประเจิดเห็นแต่ผีและสิ่งประหลาดมาทำให้ใจหายอยู่เรื่อย

          พอวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๔ หลวงพ่อพระภาวนาวิสุทธิคุณ ก็เมตตากรุณาไปเป่าศีรษะให้แฝดพี่ที่โรงพยาบาลหมอประเจิด พอหลวงพ่อเป่าศีรษะให้แล้ว พวกผีไม่ทราบว่าไปไหนหมดไม่มาให้เห็นหน้าอีกเลย

            จากนั้นมา แฝดพี่ก็มีอาการดีขึ้นเรื่อย ๆ เกือบจะได้แซงคิวเข้าไปนอนพักผ่อนเป็นครั้งสุดท้ายอยู่เมรุเสียแล้ว

          แฝดพี่คิดอยู่เสมอว่า วันนี้เรายังไม่ตาย อยู่ต่อไปวันหน้าเราก็ต้องตายเหมือนกันทุกคน เพราะว่าเกิดแล้วไม่ตายไม่มีแน่แม้สักคน แต่คราวนี้แฝดพี่รอดตายมาได้อีกครั้งหนึ่ง

          สาธุ หลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง หลวงพ่อมีพระคุณล้นเหลือเหนือเกล้าของลูก หลวงพ่อเมตตาไปเป่าศีรษะให้แล้ว ยังให้เงินช่วยรักษา และพี่ ๆ ที่อยู่วัดก็ช่วยเงินค่ารักษาด้วย

          ลูกขอกราบแทบเท้าหลวงพ่อ ขอกราบของพระคุณหลวงพ่อ และพี่ ๆ ผู้มีพระคุณอย่างสุดซึ้ง ลูกไม่มีสิ่งใดจะทดแทนพระคุณของหลวงพ่อได้ หลวงพ่อพระภาวนาวิสุทธิคุณไว้จะไม่ขอลืมเลยจนกว่าร่างกายจะเกยสู่เชิงตะกอน

          หลวงพ่อชุบชีวิตของลูกไว้เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ แฝดพี่คิดอยู่ในใจเสมอว่า ชีวิตที่เหลือน้อยนี้จะทำอะไรให้เกิดเป็นบุญกุศลแก่ตัวเองบ้าง

          หลายครั้งแล้วที่แฝดพี่ทำงานพอได้เงินมาก็ต้องเข้าโรงพยาบาลให้หมอหมดไปเป็นหมื่น ๆ แต่ครั้งหลังสุดนี้ ทันทีที่ได้เงินมา แฝดพี่และแฝดน้องก็พากันไปทำบุญทอดกฐินไว้เป็นจาคานุสติที่ภาคอีสานหนึ่งกอง

            นึกย้อนหลังกลับไป แฝดพี่แฝดน้องได้สร้างพระไตรปิฎกไว้หนึ่งชุด และทั้งแฝดพี่แฝดน้องก็ได้อ่านพระไตรปิฎกจบคนละหนึ่งจบ ได้บวชพระไว้ในพระศาสนา ได้ปฏิบัติธรรมกรรมฐานที่วัดญาณสังวราราม ได้ ๑๓ วัน ได้ไหว้พระสวดมนต์ภาวนาบ้างตามแต่โอกาสจะพึงมีทำบุญใส่บาตรทุกวันพระ และได้บริจาคดวงตาไว้กับศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย

          ถ้าวันใดแฝดพี่แฝดน้องเสียชีวิตลงคนที่กำลังตกอยู่ในความมืด คือตาบอด ก็จะได้รับแสงสว่างจากดวงตาของแฝดพี่แฝดน้องที่อุทิศให้ต่อไป

          ขอบุญกุศลทั้งหลายที่เราได้บำเพ็ญแล้วจงช่วยให้เรามีความสุข ได้เข้าสู่กระแสพระนิพพาน กรรมใดที่เราได้ล่วงเกินต่อสัตว์เล็กใหญ่ทั้งหลายก็ดี จะเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม ขอได้โปรดอโหสิกรรมและอนุโมทนาบุญกุศลที่เราทำ และขอให้ต่างคนต่างอยู่เป็นสุขจนกว่าจะถึงพระนิพพานด้วยกันทุกรูปทุกนามเทอญ

 

 

----------- จบ -----------