สาวนักการโรงแรมจากฝรั่งเศสเผชิญผู้จัดการชาวเยอรมันที่กรุงเทพฯ
อรรคพร บัวสรวง
R7002
ดิฉันได้รับการศึกษาชั้นดีตลอดมา
จบการศึกษาชั้นมัธยมจากวัฒนาวิทยาลัย ขององค์การศาสนาคริสต์
แต่จบชั้นอุดมศึกษาจากเบญจมราชาลัย ใกล้วัดสุทัศน์ฯ เสาชิงช้า กทม. ศึกษาต่อจบเป็นเศรษฐศาสตร์บัณฑิต
จากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
ได้มีโอกาสไปฝึกวิชาการโรงแรมและภัตตาคารจากสถานบันอันเลื่องชื่อ แม้กชีพ ณ
กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
กลับเข้ามาทำงานในโรงแรมชั้นดีของกรุงเทพมหานครหลายแห่ง
แห่งที่ตั้งขึ้นใหม่ก็ได้ประมูล ค่าตัว
เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงโรงแรม ฮอลิเดย์อินน์
ซึ่งมีสหพันธ์ทั่วโลกมีสาขาในต่างจังหวัด เช่น แม่ฮ่องสอน และหนองคาย
ภายใต้เงินทุนของ คุณศรีชวาลา แต่ทว่า มีผู้จัดการเป็นฝรั่ง
เช่นเดียวกับโรงแรมดัง ๆ อื่น ตำแหน่งสุดท้าย คือผู้จัดการ ชั้น วี.ไอ.พี.
ซึ่งมีแขกดี ๆ มีหนังสือชมเชยมามากมาย ทำให้สหายนักโรงแรมด้วยกัน
อยากได้ตำแหน่งนี้ยิ่งนัก ในที่สุด อักษรศาสตร์บัณฑิตผู้หนึ่งของโรงแรมดังกล่าว
มีความใกล้ชิดพิสมัยกับผู้จัดการใหญ่ จึงย้ายสับเปลี่ยนกับดิฉัน ดิฉันได้ชี้แจงว่า
ไม่ได้เล่าเรียนมาทางธุรกิจ ฝึกฝนมาแต่ทางดูแลแขกและของใช้
ควบคุมบริกรให้มีมารยาทอันประทับใจแบบสากลนิยม
ซึ่งอาจทำงานด้านบริการธุรกิจได้ไม่ได้ดีเท่าคนที่เรียนมาทางนี้โดยตรง
แต่ฝรั่งผู้จัดการใหญ่เอาแต่ใจของตัว ไม่ยอมฟังเสียงซึ่งขอร้องด้วยดี
ดิฉันถือว่าได้ผ่านโรงแรมดี
ๆ ดัง ๆ มามากแล้ว ยังไม่เคยประสบกับคนที่มีอุปนิสัยที่ไม่ฟังเหตุผลเยี่ยงนี้
จึงยื่นใบลาออก ก็ได้รับอนุมัติ เพราะสมใจเขาแล้ว และคิดว่าจะหางานที่อื่นต่อไป
เพราะครั้งก่อนที่จะเปลี่ยนที่ทำงานไปในทางที่ดีขึ้น
ก็ไม่เคยรบกวนคุณพ่อ-คุณแม่ ด้วยท่านได้มอบความไว้วางใจในการดำเนินชีวิต เป็นอิสระ
เพราะอายุและฐานะความเป็นอยู่ทั้งไทยและเทศ ก็ได้เผชิญมาตามสมควรแล้ว
แต่คราวนี้ออกจะว้าเหว่ เพราะไม่มีใครมา ประมูลตัว
จึงต้องหารือท่านทั้งสองดู เพราะคุณพ่อ-คุณแม่มีวัยเกิน ๖ รอบไปนานแล้ว
มากกว่าดิฉันถึง ๒ เท่า
เมื่อท่านทั้งสองได้ฟังเรื่องราวแล้ว
คุณพ่อแนะนำว่า ต้องไปกราบท่านเจ้าคุณจรัญฯ วัดอัมพวัน ว่ามีกรรมอะไร บัง
จึงมาเป็นเช่นนี้ ยกตัวอย่างเรื่อง ท่านอำนวย อินทุภูติ แห่งศาลฎีกา
พาท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ปัญญา ฤกษ์อุไร เป็นถึงเจ้าเมือง
ยังโดนตำรวจจังหวัดของตนจับใส่กุญแจมือ ไปสถานีตำรวจหรือเรือนจำ ซึ่งท่านเจ้าคุณฯ
ได้ตรวจดู และแนะวิธีการที่ถูกต้อง ทั้งยังบอกล่วงหน้าว่า
ไม่ถึงปีก็ได้กลับเข้ารับราชการอีก ก็ถูกต้องตามที่ท่านตรวจดูมองเห็น
ตามหนังสือกฎแห่งกรรม-ธรรมปฏิบัติเล่มแล้วเล่มเล่า
ทุกคนในครอบครัวเห็นชอบ
จึงเดินทางไปวัดอัมพวัน และพอดีท่านอยู่ในกุฏิ จึงพากันเข้าไปนั่งรอ
เมื่อได้รับโอกาสจากท่านเจ้าคุณฯ
และบรรดาท่านที่รอ ๆ อยู่ให้เราได้เข้าเสนอเรื่องก่อนได้ด้วยจำได้ว่า
วันนั้นท่านผู้บังคับการกองบินทัพบกที่ลพบุรี ได้นั่งใกล้ท่านเจ้าคุณฯ อยู่ด้วย
พวกเรา พ่อ แม่ พี่ ๆ ไปเต็มคันรถทีเดียว
คุณพ่อซึ่งเป็นทายกประจำวัดของท่านอยู่แล้ว
เล่าเรื่องย่อ ๆ ให้ฟัง ดิฉันเพิ่งเคยไปกราบเท้า
จึงหมอบก้มหน้าอยู่หน้าแท่นอาสนะของท่านด้วยความเคารพอย่างที่ขอรับสารภาพว่าเพิ่งจะใกล้ชิดกับพระผู้ใหญ่วันนี้
เป็นวันแรกแห่งชีวิต
ท่านเจ้าคุณฯ
ท่านฟังจบ ก็ปราศรัยด้วยน้ำเสียงแห่งกรุณาค่อนข้างดังและมีคนรอคอยอยู่เต็มกุฏิ
แทบไม่มีที่ว่างว่า ไหน
เงยหน้าขึ้นมาดูซิ แหม!
สวยด้วยนี่ ทำไมใจน้อย
ไปลาออกเสียได้ ไม่เอาอย่างพ่อ พ่อเป็นนักปราชญ์ คราวหลังอย่าลาออกนะ
คราวนี้เอาเงินเดือนเท่าเดิมไปก่อน ตำแหน่งค่อยเลื่อนไปเอง ลาออกอีกไม่ได้นะ
คุณพ่อกระซิบดิฉันให้กราบของพระคุณท่านเจ้าคุณฯ
และกระซิบถามว่าจะจัดการกับเจ้าผู้จัดการ (ใหญ่) คนนี้อย่างไรดี?
ท่านเจ้าคุณฯ
ท่านตอบว่า เอาไว้คืนนี้ จะตรวจดูก่อน พวกเราก็กราบลาท่านกลับ
วันต่อมาได้พบกับท่านนายทุนศรีชวาลา
แห่งโรงแรมฮอลิเดย์อินน์ระหว่างประเทศ และโรงแรมไวท์ออคิด (ในประเทศ) ถนนเยาวราช
กทม. ท่านก็บอกให้ไปทำงานเป็นผู้สอนฝึกหัดพนักงานที่โรงแรมไวท์ออคิดของท่านอีกแห่งหนึ่งก่อน
มีลูกน้องที่เคยอยู่ที่แผนก วี.ไอ.พี. ด้วยกัน ขอติดตามมาด้วย ๒-๓ คน
ท่านก็ใจดีอนุญาตให้มาร่วมทำงานด้วยกันได้
สำคัญที่
ในอัตราเงินเดือนเท่าเดิม ทุกคน
สมดังที่ท่านเจ้าคุณฯ ลั่นวาจาประกาศิต
พิชิตเพียงข้ามคืนเดียว จริง ๆ
ขณะนี้ดิฉันได้รับตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายหน้าของโรงแรมไวท์ออคิด
เรียบร้อยแล้ว
เมื่อออกมาจากวัด
คุณแม่ ยังสัพยอกคุณพ่อว่า พาลูกมาถูกดุ แต่ชมพ่อ
พ่อเลยหน้าบานเป็นกระจาดไปเลย
นอกจากที่เล่ามา
ท่านเจ้าคุณฯ
ยังได้เมตตาปรารภความหลังครั้งที่คุณพ่อได้อาราธนาท่านไปเยือนประเทศศรีลังกาเมื่อกว่า
๒๐ ปีมาแล้วด้วยว่า
เป็นเหตุให้ท่านไปได้มาซึ่ง
มักกะลีผล อันศักดิ์สิทธิ์
มาจากประเทศนั้น และได้นำภาพ มักกะลีผล
นั้นมาให้พิจารณา ประกอบเรื่องอีกด้วย
ส่วนผู้จัดการชาวเยอรมันผู้นั้นก็ช่างบังเอิญถูกคำสั่งย้ายไปอยู่นครเดลลี
นครหลวงประเทศอินเดีย ปลังจากที่มีเรื่องกับดิฉันไม่ถึง ๒ สัปดาห์ เมื่อพบกับ ท่านศรีชวาลา
ก็ยังขอกลับมาอยู่ประเทศไทยอีก แต่ ท่านศรีชวาลา ก็บอกกับเขาว่า
ท่านไม่มีอำนาจมากถึงเช่นนั้น แม้ในประเทศไทย ใครจะนึกจะทำอะไรก็ไม่บอก
แล้วท่านจะไปพูดกับใครถึงเมืองนอกได้อย่างไร
นี่แหละ! อมตวาจาของสมณะ
และวาทะแห่งนายทุน
๒๐ พ.ค. ๓๖
----------- จบ
-----------