ประสบการณ์ปฏิบัติกรรมฐานที่วัดอัมพวัน สิงห์บุรี

รัตนพร พงษ์เสนา

R7003

 

          เนื่องจากดิฉันไม่พบความราบรื่นในชีวิตคู่ เลยตัดสินใจเลิกและอยู่คนเดียว ครั้งแรกก็ทำใจไม่ค่อยได้กับความแตกร้าว ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ดิฉันมีจิตใจแน่วแน่ว่าจะใฝ่หาบุญหากุศล

          ต่อมาได้รับการแนะนำจากคุณ บุญส่ง อินทวิรัตน์ จึงได้มาปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน

          พอมาถึงวันที่ ๖ ของการเข้าฝึกปฏิบัติ คุณแม่ชีก็บอกว่า วันนี้จะแบ่งกันขึ้นโบสถ์บ้าง ใครมั่นใจว่าตัวเองจะไม่ง่วงนอน ให้เดินออกมาเข้าแถวต่างหากและก็มั่นใจตัวเองว่านั่งได้นานด้วย เพราะในโบสถ์นี้ ศักดิ์สิทธิ์มาก สัจจะคือ สัจจะ คุณแม่ชีบอกพูดออกมาแล้วต้องทำให้ได้

          ฝ่ายตัวดิฉันเองฟังแล้วก็คิดว่าตัวเองพอจะเป็นไปได้ก็เลยออกมาตั้งแถวใหม่กับเพื่อน แล้วคุณแม่ชีก็พานำขึ้นโบสถ์เพื่อให้พระอาจารย์ฝึก ท่านฝึกให้เดินก่อน คือเวลาเดินให้ออกเสียงดัง ๆ ว่า ยืน-หนอ-เดิน-หนอ ดัง ๆ รู้สึกเข้าใจและเดินได้ดีมาก ประกอบกับตั้งใจทำให้ดีที่สุด เพราะถือว่าตัวเองก็มาหลายวันแล้ว ต้องทำให้ดีและถูกต้องที่สุด เพื่อจะได้ไปถือปฏิบัติที่บ้านได้โดยไม่ต้องมีคนแนะนำ พอฝึกเดินเสร็จแล้ว ท่านพระอาจารย์ฝึกก็บอกว่า ต่อไปนี้ใครคิดว่าตัวเองนั่งได้ครึ่งชั่วโมง – ๑ ชั่วโมง หรือจะทำได้ตอนไหนก็ให้ตัดสินใจเอานะ

          ส่วนตัวดิฉันเองก็แน่วแน่ในใจว่าจะต้องนั่งให้ได้ ๑ ชั่วโมงแน่นอน ก็เลยมายืนในเขตที่ขีดเส้นไว้ว่า ๑ ชม. หลังจากนั้นก็เริ่มถือปฏิบัติ ต่างคนต่างปฏิบัติ ส่วนตัวดิฉันเองแล้วชอบตามใจตัวเองอยู่เสมอ ความอดทนอดกลั้นมีน้อยมาก ถ้าเวลาปวดเมื่อยนิดหน่อยก็จะกลับขาทันที แต่ครั้งนี้ สัจจะคือสัจจะ ดังที่คุณแม่ชีบอกไว้แล้ว ตัวดิฉันเองจะไม่ขอผิดคำพูดเด็ดขาด คือจะไม่ยอมกลับขาหรือขยับขาเด็ดขาด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม

          เริ่มลงมือนั่งตามพระอาจารย์บอกไว้ทันที พองหนอ ยุบหนอ ๆๆๆ ไปเรื่อย ๆ อย่างถูกต้อง พอจวนจะหมดเวลา ๑ ชม. กะว่าประมาณ ๕๐ นาที เห็นจะได้รู้สึกกับตัวเองว่าขาทั้งสองข้างเริ่มปวดทั้งซ้ายและขวา ดิฉันเองก็ไม่สนใจ หนักเข้าปวดมาก ๆ ปวดมาก ๆๆๆ จนขาทั้งสองข้างคงจะพองตัวออกเท่ากับเสาปลูกบ้านได้กระมัง ก็เลยกำหนดปวดหนอ ปวดหนอ ๆๆๆ ลงไปเรื่อย ๆ ไม่สนใจและไม่กระดุกกระดิกเลย

          ทันใดนั้น ตาที่หลับไว้มืดมิดกลับสว่างจ้าเปรียบเหมือนกลางวัน โดยไม่คำนึงถึงความเจ็บปวดเลย ได้มองเห็นหลานชายที่ตายไปนานแล้วเข้ามายืนกลางสนามจับล้อเกวียน แล้วโบกมือมาทางดิฉัน แล้วก็ส่งเสียงเรียกว่า “น้าครับ น้าครับ ๆๆ พวกที่นั่งอยู่โน้นให้ผมมาบอกว่าน้าว่า ท่านทั้งหลายพากันมาดูน้าอยู่นะ” ตัวดิฉันเองมองไปตามเสียงเรียกนั้นทันที ก็เลยเรียกชื่อหลานชายว่า “อ้าว! ชาญชัย” เขาชื่อว่าชาญชัย เขาเป็นตำรวจถูกรถสิบล้อชนตาย เพราะตามจับของหนีภาษี ได้ตายไปหลายปีแล้ว “ไหนล่ะ อยู่ไหน ใครมาดูน้าบ้าง” ดิฉันถามเขา

          แต่ว่าดิฉันอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ไม่ได้ใกล้กันเลย ดูไปแล้ว เป็นเหมือนสนามแข่งขันกีฬา คนที่เข้าแข่งต้องเอาแพ้เอาชนะกันเช่นนั้นแหละ ดิฉันได้มองไปตามมือที่เขาชี้บอกให้ดูพวกคนที่มาดู ก็เห็นได้ชัดเจนเลยว่า เป็นคุณพ่อ คุณแม่ พี่เขย พี่สาว ของดิฉันที่ตายไปนานแล้ว พากันมานั่งดูเป็นระเบียบบนเก้าอี้เหมือนเก้าอี้นักเรียนนั่ง ทุกคนมองมายังดิฉันอย่างสดใส พร้อมกับโบกมือให้กับดิฉันอยู่ไกล ๆ คล้าย ๆ กับว่าจะบอกว่า แหมเก่ง! หรือว่า แหมดีจัง! อะไรทำนองนี้ อีกไม่นานเท่าไหร่นัก ภาพที่มองเห็นนั้น หลานชายคนที่เดินมาหาก็บอกและสั่งลาขึ้นว่า “ไปก่อนนะน้านะ” เสียงดังพร้อมกับโบกมือลาคนเหล่านั้น พ่อ แม่ พี่สาว พี่เขย ของดิฉันเองทั้งนั้น

          สักครู่หนึ่ง หูก็ได้ยินเสียงพระอาจารย์ฝึกบอกว่าหมดเวลาเตรียมแผ่เมตตา พอมาถึงตอนนี้ขาทั้งสองข้างของดิฉันหายปวด และก็กลับมาเป็นขาอยู่ในสภาพเดิม นั่งต่อไปคงจะนั่งได้อีกนาน

          ดิฉันเองปลื้มปีติ ดีใจจนอยากตะโกนออกมาดัง ๆ ว่าเพื่อนเอ๋ย วันนี้ดิฉันทำได้ดีมาก ผ่านความเจ็บปวดเวทนาได้ เอาชนะได้กับกิเลสทั้งหลาย และก็ได้เห็น พ่อ แม่ พี่สาว พี่เขย หลานของดิฉันหมดทุกคนเลย และเป็นภาพที่ลืมไม่ลง จะจำไปจนวันตายว่าเหตุการณ์เช่นนี้ได้เกิดขึ้นกับดิฉันที่วัดอัมพวันนี้จริง ๆ พอกลับถึงห้องพักก็รีบเล่าให้เพื่อนฟังอย่างพอใจ ปีติใจยิ่ง พอวันต่อมาไม่เห็นอีกเลย ก็เลยคิดว่า ไม่มีจริงจังอะไรเลย หายไปแล้ว สิ่งที่ทำให้เราดีใจสุดขีดนั่นได้หายไปแล้ว จนถึงวันลาศีลกลับบ้านก็ไม่เห็นอีกเลย

          ตัวของดิฉันเองได้ไปเที่ยวศึกษาหาความรู้เรื่องนี้มาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว เริ่มพาตัวเองเข้าไปใฝ่หาธรรมะ และฝึกทำสมาธิและปฏิบัติกรรมฐานมาหลาย ๆ แห่ง แต่ก็ไม่ได้พบได้เห็นเหมือนกับอยู่ที่วัดอัมพวันนี้เลย ถ้าหากใคร ๆ ต้องการจะพบญาติหรือผู้ที่ตายไปแล้วก็ให้ไปที่วัดอัมพวัน ตั้งใจเรียนตั้งใจปฏิบัติ แล้วเราก็จะพบสิ่งที่เราอยากพบ เห็นสิ่งที่เราอยากเห็น ตัวดิฉันเองคิดว่าถ้าหากมีเวลาและมีโอกาส จะย้อนกลับมาที่วัดอัมพวันอีกแน่นอนค่ะ

          สวัสดีค่ะ

รัตนพร พงษ์เสนา

๑๙๔/๑๖ ซอยเรือนจำ อ.เมือง

จ.ขอนแก่น ๔๐๐๐๐

 

----------- จบ -----------