คนยืมเงินแล้วไม่คืนจะทำอย่างไร

พระราชสุทธิญาณมงคล

R7014

 

          มีเงินให้เขากู้ มีความรู้อยู่ในตำรา เวลาจะหยิบยกมาใช้ มันลำบากเหลือเกิน ทุกคนไม่อยากอยู่ในสภาพนี้ บางคนก็ตกอยู่ในสภาพจำยอม เกิดปัญหาแล้วไม่ทราบว่าจะแก้อย่างไร

          ถ้าเรามาเจริญกรรมฐานอาจช่วยได้ กำหนดยืนหนอ ๕ ครั้ง เบื้องบนจากปลายผมลงไปถึงปลายเท้า เบื้องล่างจากปลายเท้าขึ้นมาถึงปลายผม

          กำหนดยืนหนอ ๕ ครั้ง ได้คล่องแคล่วว่องไวแล้ว พอเห็นคนเดินมา มองหน้าดูศีรษะถึงปลายเท้า แบบที่เราดูตัวเอง เดินเข้ามาอีก จิตเราจะสัมผัสทันทีว่า คนนี้มาทำไม ยิ้มมาเลย ตั้งแต่เข้าประตูมาแล้ว

          เราก็กำหนดเห็นหนอ  เห็นตั้งแต่ศีรษะลงปลายเท้า สัมผัสบอกแล้ว “เป็นมิตรตอนกู้ เป็นศัตรูตอนทวง” คนมาขอยืมเงินต้องไม่ให้

          อยากจะเรียนถามโยมว่า จะโกรธหนเดียวหรือโกรธหลายหนดี ถ้าโกรธหนเดียวอย่าให้

          พอไม่ให้สะบัดก้นไปเลย วันหน้าเขาจะมองหน้าสนิท ถ้าโกรธหลายหนเป็นอย่างไร “ทวงทีไร โกรธทุกที”

          เพื่อนบอกว่า “เงินไม่มีหรืออย่างไร ถึงไม่ให้ยืม” ถ้าเรามีต้องบอกว่ามี อย่าโกหก แต่เงินที่มีอยู่นั้นเราจำเป็นต้องใช้ ต้องส่งลูกเรียน ต้องซื้อบ้านให้ลูก ถ้าเพื่อนเอาไปเสียแล้ว ลูกจะเอาที่ไหนเล่า

          บางคนโกหกเลย เงินมีอยู่ในตู้บอกว่าไม่มี อย่าโกหกนะ เงินหนีเลย เงินมันจะเสียใจเลยหนีไปอยู่กับคนนั้นเลย

          ทองลุกได้ ทองหนีได้ เงินหนีได้นะ ถ้า คนไหนมีมงคล คนนั้นเงินไหลนอง ทองไหลมา ถ้าคนนั้นเป็นอัปมงคล ทองจะหนีออกนอกบ้าน อย่าโกหกนะ

          ก็โกรธกันหนเดียว คือไม่ให้แล้วก็แจงให้เขาฟังว่า เราจำเป็นต้องใช้เงินก้อนนี้ไปให้ลูก สำคัญโกรธบ่อย ๆ นี่แย่มาก ทวงทีไรโกรธทุกที เลยเพื่อนกันไม่พูดกันจนบัดนี้

          ถ้าใครยืมเงินเราไป อธิษฐานจิตแผ่เมตตา ว่า เขาเอาไปแล้ว ขอให้เขารวย เขาจะได้นำมาใช้เรา

          ถ้าเป็นศัตรูกันแผ่ไม่ไป ต้องนั่งกรรมฐานพัฒนาจิตให้ลึกซึ้งและก็ขออโหสิกรรมก่อนแล้วแผ่เมตตาถึงจะออก ถ้าไม่อย่างนั้นยิ่งแผ่ยิ่งไปกันใหญ่เลย

เรื่องที่ ๑

          มีอยู่เรื่องหนึ่ง สมัย ๒๐ ปีมาแล้ว มีอาเสี่ยคนหนึ่งอยู่ที่เยาวราช กรุงเทพมหานคร มีเพื่อนแซ่เดียวกันมาจากเมืองจีนด้วยกันมาขอยืมเงินไป ๓ ล้าน

          ให้ไปแล้วเขาก็นำไปค้าขาย เกิดค้าขายขาดทุนไม่มีดอกเบี้ยส่ง ดอกเบี้ยก็เพิ่มพูนไปเป็นเวลา ๑๕ ปี ทบต้นไปเรื่อย ๆ รวมแล้ว ๑๐ กว่าล้าน

          เมื่อไม่เอาเงินมาคืน อาเสี่ยจึงฟ้องร้องต่อศาลเป็นคดีแพ่ง ไม่ใช่คดีอาญา ต่างคนต่างยิงกันไปคนละศพ มีแต่เวรกรรมสนองงานตลอดมา

          ไปหาหมอดู หมอดูก็บอกให้สร้างโบสถ์ สร้างศาลา สะเดาะเคราะห์ ก็ยังไม่ได้ จึงแช่งชักหักกระดูกเป็นกฎแห่งกรรม เป็นศัตรูต่อกัน พอดีคนกรุงเทพฯ เขาพามาที่วัดนี้ เขาก็พูดไทยไม่ชัดทั้งสามีภรรยา

          อาตมาบอกว่า โยมสองคนอยากได้เงินคืนไหมล่ะ เขาเอาของเราไปจะใช้ไหม และประการที่สอง เมื่อชาติก่อนเราไปเอาของเขามาก่อนหรือเปล่าประการใด ต้องนั่งกรรมฐานแผ่เมตตาให้เขา แล้วไปถอนฟ้องเสีย เขามาเข้ากรรมฐานอยู่ ๑๕ วัน จึงปลงตก

          ตอนที่อาตมาบอกให้เถ้าแก่กับอาซิ้มมานั่งกรรมฐาน เขาบอกว่า “เขาเป็นคนจีนนั่งไม่เป็น”

          อาตมาก็บอกว่า “เป็นซิ อย่านั่งให้มันตายซิ ตั้งสติไว้ มานั่งแล้วแผ่เมตตาให้เขา ถอนฟ้อง อย่าไปเอาเลย ยกให้เขาไปเถอะ”

            อาซิ้มบอก “ไม่ล่าย ไม่ล่าย”

            อาตมาก็บอกว่า “ยกให้ไม่ได้แล้วจะไม่ได้คืนนะ ปลงให้มันตก ยกให้เขาซะ กลับไป ไปถอนฟ้อง อย่าไปฟ้องเขา มันมีทางจะได้ ยิ่งฟ้องยิ่งไม่ได้”

            อาซิ้มถามว่า “หลวงพ่อจะให้อิฉันทำอาลายฮะ”

          หลวงพ่อก็พูดเลียนแบบว่า “ก็แผ่เมตตาให้มันฮะ”

          อาซิ้ม “โอ้โฮ! หลวงพ่อเอ้ย ปลงไม่ตก ถ้าหลวงพ่อเป็นอิฉันบ้าง จะเป็นยังไงฮะ”

            หลวงพ่อ “โอ้! ถ้าเป็นของหลวงพ่อนะ ยกให้มันไปนานแล้ว ยกให้ดีไหม”

          อาซิ้ม “ไม่ล่าย”

          หลวงพ่อ “เอ้า! ไม่อย่างนั้นไม่ได้คืนนะ ต้องมาเจริญกรรมฐาน แผ่เมตตา ยกให้”

            เถ้าแก่นั่งได้ ๓ วัน ปลงตกเลย มาบอกว่า “หลวงพ่อ ผมปลงตกแล้ว ผมไม่เอาเลย มันเป็นเพื่อนกันมาจากซัวเถา ก็ไม่เป็นไร ให้กันได้ แซ่เดียวกัน อยู่คนละตำบล”

          แต่อาซิ้มกว่าจะปลงตก ต้องหลาย ๆ วัน ปลงอย่างไรรู้ไหม

          พอนั่งกรรมฐานเสร็จแล้ว หลวงพ่อให้ว่าอย่างนี้หนอ สัพเพสัตตาหนอ ก็เงิน ๓ ล้าน ๔ ล้านเดี๋ยวนี้เป็น ๑๐ ล้านหนอ ก็ยกให้มันไป ไม่ต้องเอาอะไรแล้วไปถอนฟ้องด้วย

          พออั๊วคิดถึงเรื่องเก่า แหม! เงินกว่าจะได้มาแต่ละสลึง ได้ยากเหลือเกิน เหงื่ออาบลูกคาง แบกของเป็นจับกัง กว่าจะได้เงินรวมมาเป็นนายห้างนี้แสนจะยาก พอนึกมาถึงตอนนี้ ขอให้แม่มันฉิกหาย ๆๆ ให้ฉิกหายไปเลย อาซิ้มก็ฉิกหายเลยนะ กว่าจะปลงตกได้

          อาตมาก็บอกให้ ตั้งสติเข้าไว้ และบอกว่าอาซิ้มเอ้ย เงินทองของนอกกาย เรายังไม่ตายหาใหม่ได้ ยกให้เขาเถอะ นึกว่าเวรกรรม เมื่อชาติก่อนเราไปเอาของเขามา เราก็ใช้หนี้เก่าไป และเราก็ไม่ทราบได้ว่าไปเอาของเขาหรือไม่ มาตอนนี้ก็ไม่มีอะไรกัน ก็ให้เขาไปได้ง่าย เราก็มีเงินมีทองแล้ว อาซิ้มมาจากซัวเถา มีอะไรติดตัวมา

          อาซิ้มบอกว่า อั๊วไม่มีเลย หลวงพ่อเอ๋ย มีเสื่อ ๑ ผืน หมอนใบเดียว อั๊วก็มาเป็นลูกจ้างเขาที่ท่าเตียน และทำโน่นทำนี่ จนมีเงินทองมากมายก่ายกอง นี่คิดถึงเรื่องเก่า อิฉันปลงตกแล้วหลวงพ่อ

          เจริญกรรมฐาน แผ่เมตตา ไม่จำเป็นต้องเป็นคนไทยนะ อาซิ้มแกพูดไม่ชัด ทีแรกก็บอกว่า พองหนอ ยุบหนอ พองหนอ ยุบหนอ เลยตอนหลังไม่เอาหนอดีกว่า เลย พองยุบ พองยุบ ดีกว่านะ อาหลวงพ่อนะ

          พองแล้วยุบ ยุบแล้วก็พอง หนักเข้า อั๊วไม่พองที่ท้องแล้ว อั๊วเอาปาก พองหนอ ยุบหนอ พองหนอ ยุบหนอ มันสบายดีแล้วหนอ เทียวไล้เทียวขื่อแล้ว

          ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็อุทิศส่วนกุศลให้คู่ปรปักษ์ศัตรูนั้นเป็นมิตร ที่เคยจ้างมือปืนฆ่ากันมา

          อาซิ้มก็บอกว่า “ขอให้อาช้อง (คู่ปรปักษ์) รวย ๆ นะ ขอให้ลื้อมีเงินมีทองมาก ๆ นะ อั๊วเคยแช่งลื้อให้ฉิกหาย อั๊วถอนคำพูดนะ หลวงพ่อให้พรอั๊วแล้ว พระยถาสัพพีให้อั๊วแล้ว อั๊วก็บอกให้ลื้อรวย ๆๆๆ มากมายก่ายกอง ไม่ให้อั๊วก็ไม่เป็นไร อั๊วปลงตกแล้ว” ก็ว่าอย่างนี้นะ

          เป็นคนจีนก็สามารถทำได้ดีปลงตกจิตใจดี ทำบุญเก่ง ตัดสินใจได้เก่งมาก

          ก็ได้ความว่า คู่ปรปักษ์ที่เป็นศัตรูนั้นก็กลายเป็นมิตรกัน เจอกันก็สวัสดีกัน ไม่เหมือนแต่ก่อน มีอารมณ์ดีด้วยกัน แผ่เมตตาด้วย กรรมฐานดีที่สุด

          อาช้องเขาก็ไปค้าขายกับไต้หวัน ค้ากับฮ่องกง ญี่ปุ่น รวยมหาศาล ตั้ง ๑๐ กว่าล้าน เขาก็นำเงินมาใช้หนี้ทั้งเงินต้น ทั้งดอกเบี้ย และพากันมาถวายสังฆทานที่วัดอัมพวันและเล่าความหลังให้ฟัง

          อาตมาจึงรู้เรื่องนี้ละเอียด และอาช้องเขาก็เป็นคนดี มีลูก ๓ คน ก็ไปเรียนต่างประเทศหมด เดี๋ยวนี้รวยกว่าเก่า อยู่ในกรุงเทพมหานคร เขาไม่เคยนั่งกรรมฐานและไม่เคยสนใจด้วย มาเล่าให้อาตมาฟัง เขาก็พูดไทยไม่ชัด

          อาหลวงพ่อเอ้ย อั๊วเนี่ยมันเป็นศัตรูกันมันฟ้องกัน เสียเวลาไปศาลนะ ตั้ง ๔-๕ ปี ก็ไม่เลิกกัน แล้วมันก็ฆ่าลูกน้องอั๊วตาย และไม่รู้เป็นยังไงนะหวงพ่อนะ ตั้งแต่เพื่อนอั๊วมันไม่ไปศาล ไปถอนฟ้อง และได้ข่าวว่ามาอยู่ที่วัดอัมพวัน อั๊วก็ไม่รู้เรื่อง

          เขากลับไป เขาก็ทักทายปราศรัยดี ไปกินเลี้ยงที่สมาคมจีน เขาก็นั่งโต๊ะเดียวกัน เขาก็ตักไอ้โน่น ไอ้นี่ให้ อั๊วก็แปลกใจ เขาก็ยิ้มแย้มแจ่มใสกับอั๊วดี เป็นอย่างไรหนอ

          ต่อจากนั้นมา อั๊วก็ขายดิบขายดี ส่งของให้ฮ่องกง ญี่ปุ่น ไต้หวัน ได้เงินมามากมายก่ายกอง อั๊วก็มาถวายหลวงพ่อและเงินทองอั๊วได้คืนให้หมดแล้ว

          เพื่อนเขาก็ดีเหลือเกิน ไม่เอาดอกเบี้ยเลยแม้แต่สตางค์เดียว ขอต้นคืนเท่านั้น

          ดูซิโยม ไม่ยอมรับดอกเบี้ยตั้งหลายล้าน เพราะนั่งกรรมฐานปลงตกแล้ว

          อาช้องก็ไปร่ำรวยมากกว่าเถ้าแก่นี้ ก็เลยอุปการะลูกบ้านนี้ต่อไป และได้อาศัยเข้าหุ้นบริษัทกันต่อไป ร่ำรวยมหาศาล

          นี่ ปฏิบัติกรรมฐานอย่างเดียวนะ ถ้าเป็นไปได้ แผ่เมตตาไป เขาก็ได้เงินได้ทอง

          ถ้าเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากเราไปโกงเขามาก่อน ก็ขอให้อโหสิกรรมต่อกันไป ไม่ต้องเอาคืน

            โยม ถ้าใครโกงเราดี ดีว่าเราไปโกงเขา ถ้าเราโกงเขาไม่ดีหรอก เราเกิดมามีให้เขาโกงนะดีที่สุดแล้ว นั่งปลงให้ตก จะเห็นดังนี้

          ถ้าปลงไม่ตก จะบอกว่า หลวงพ่อพูดอย่างนี้อีกแล้ว ไม่ใช่อะไรนะ อาตมายังโดนเลย

เรื่องที่ ๒

          ขอเจริญพรญาติโยม นี่คือเรื่องจริงที่ประสบกับอาตมา ตอนบวชอยู่ที่วัดพรหมบุรี มีเจ๊คนหนึ่งเอารถบรรทุกทราย บรรทุกหินมาขาย อาตมาไม่เคยรู้จักบ้านเขาเลย ไม่ทราบว่าหัวนอนปลายเท้าอยู่ที่ไหน เขาบรรทุกหินบรรทุกทรายมาช่วยอาตมาสร้างวิหาร

          วันหนึ่งเกิดรถเสีย เขาก็มาหาอาตมา บอกว่า “นี่ท่านขอยืมเงินสัก ๑,๕๐๐ บาทเถอะ รถเสีย”

          อาตมาก็บอกว่า “โอ้โฮ! ไม่มีเลยเจ๊”

            สมัยก่อนเป็นพระลูกวัด ไม่ค่อยมีเงินหรอก

          เขาบอกว่า “หลวงพี่ไปขอยืมใครมาก่อน” ตอนนั้นยังเป็นหลวงพี่

          อาตมาจึงไปขอยืมคนรู้จักกันในตลาดปากบางมา ๑,๕๐๐ บาท ให้เจ๊คนนี้ไป เขาก็ไปเอารถที่แก้ไว้ที่สิงห์บุรี อาตมาก็ไม่รู้จักบ้านของเขา

          อยู่ต่อมาอีกไม่ช้า เจ๊คนนี้มาขอยืมอีก ๕,๐๐๐ บาท บอกว่ารถเกิดถอยหลังไปชนร้านกาแฟพัง

          อาตมาก็นึกในใจว่า โอ้โฮ! ๑,๕๐๐ บาท ยังไม่ได้ จะเอา ๕,๐๐๐ อีกหรือนี่

          เขาก็บอกว่า “หลวงพี่ไปขอยืมใครมาก่อน”

          อาตมาก็ไปขอยืมเจ้าเก่าอีก ยืมมา ๕,๐๐๐ บาท

          เขาก็บอก “เอาบ่อยจัง เอาไปทำไม”

          เขาก็ให้มาอีก อาตมาก็ให้เจ๊คนนั้นไป

          จากนั้นมา เจ๊ก็เงียบ ให้ตั้งแต่เจ๊กำลังท้องลูกคนโตเป็นสาวและแต่งงานแล้วก็ยังเงียบ

          วันหนึ่งเขามาหาอาตมาบอกว่า “หลวงพี่ นิมนต์ไปฉันที่บ้าน”

          อาตมาก็นึกว่า “โอ้โฮ! เจ้าประคุณ ได้เงินคืนคราวนี้แล้ว ได้คืนแน่ ๆ”

          อาตมาก็ไป เขาเอารถมารับ บ้านใหญ่โตอยู่นครนายก มีรถ ๑๐ ล้อตั้ง ๑๐ คัน สามีเป็นเถ้าแก่ใหญ่ เป็นช่างรับเหมาก่อสร้าง

          อาตมาก็ถามพระที่ไปสวดว่า “เจ๊คนนี้คยโกงใครไหม”

          พระท่านบอกว่า “ชื่อเสียงดี ไม่เคยโกงใครหรอก” แต่เอาของอาตมาไปตั้ง ๖,๕๐๐ บาทแล้ว

          พอเสร็จพิธี เขาก็บอกว่า หลวงพ่ออยู่ก่อนนะ ให้พระไปก่อน อาตมาก็นึกว่าเขาคงจะให้เงินเราแน่คราวนี้ เตรียมกระเป๋าไปใส่เงินด้วย แต่เขาไม่พูดถึง

          เงินที่อาตมาไปยืมเขามา อาตมาใช้หมดแล้ว กว่าจะใช้หมดตั้ง ๔-๕ ปี มาติกา บังสุกุลไปใช้เขา

          โอ้โฮ! เล่นเอาแย่เลย ก็ไม่ว่ากัน เจ๊ที่นครนายกรับเหมาก่อสร้าง บ้านใหญ่โตอย่างกับวัด เขาไม่เคยโกงใคร แต่ทำไมลืมเรา

            และเขาก็มาบ่อยนะ เอาของมาถวายเยอะแยะเลย เอ๊ะ! ทำไมไม่พูดเรื่องสตางค์ มันเป็นเพราะอะไร จนลูกในท้องแต่งงานก็ยังไม่พูดถึงอีก

          ลูกสาวเขาก็มาหาอาตมาบ่อย ๆ ตอนนั้นยังไม่เป็นสมภารและกรรมฐานยังไม่เชี่ยวชาญ ไปบ้านเขาคราวนั้นแล้วก็ไม่ได้ไปอีก

          อาตมาก็เจริญกรรมฐานมาตามลำดับ ก็ปรากฎ กฎแห่งกรรม ออกมาว่า

          “นี่พระคุณเจ้า เมื่อชาติก่อน ท่านไปเอาของเขามาแสนหนึ่งนะ ใช้ ๖,๕๐๐ ก็พอแล้ว”

          เหตุนี้เองจึงทำให้เขาลืมนะ เขาไม่พูดถึงจริง ๆ นี่เวรกรรมนะ เราไปเอาของเขามาจริง ไปเอาของเขามาแสนหนึ่ง แต่ใช้ ๖,๕๐๐ ก็พอแล้ว

          อาตมาก็แผ่เมตตาให้ จนป่านนี้แล้วไม่เคยเอามาให้

          นี่เล่าให้ฟังเป็น กฎแห่งกรรม ที่สะท้อนย้อนเข้ามาหาตัวเราเอง

เรื่องที่ ๓

          มีอีกเรื่องหนึ่งที่อาตมาประสบมา เมื่อครั้งไปเทศน์ที่กระทรวงศึกษาธิการ มีข้าราชการ ซี.๗ คนหนึ่งยังไม่ได้แต่งงาน ได้ติดตามมาที่วัดนี้

          ข้าราชการผู้นี้เป็นคนมีเงิน เพื่อนมากู้ไป และเป็นคนค้ำเพื่อนกู้ธนาคารด้วย เพื่อนก็ขนเงินไปให้แม่ชะม้อยหมด เมื่อหมดโอกาสที่จะได้เงินคืนเพื่อนถูกยื่นคำขาด ต้องหนีออกจากราชการไปอยู่เชียงใหม่สองสามีภรรยา

          มีหนี้สิน ๗-๘ ล้าน จะทำอย่างไร โดยเฉพาะที่กรมการศาสนา ๑.๕ ล้าน

          ธนาคารยื่นโนติสที่ไปค้ำเขาไว้ให้ใช้คืนโดยให้ผ่อนส่ง ก็เสียอกเสียใจ

          เพื่อนกับภรรยาก็หนีไปอยู่เชียงใหม่ เหมือนสุนัขหัวเน่า ไปอยู่ที่ไหนไม่มีใครนำพาเลย เป็นหนี้หลายเจ้าด้วยกัน ร่วม ๑๐ ล้านจะเป็นอย่างไร โยมติดตามฟังดังนี้

          ข้าราชการซี.๗ ก็ไปบวชชีพราหมณ์ที่ฝั่งธนฯ บวชแล้วพระท่านก็สอนใช้คาถาพระร่วงแช่งไป

          มานั่งกรรมฐานก็แช่ง ขอให้เพื่อนเราที่ทำให้เราช้ำใจ ทำให้เราต้องใช้หนี้ธนาคารแทน ขอให้ฉิบหาย ขอให้ไฟไหม้บ้านมัน

          อยู่ต่อมาไม่ช้า ไฟไหม้บ้านข้าราชการซี .๗ คนนี้เลย อยู่ทีฝั่งธนฯ ต้องซ่อมบ้านที่ไฟไหม้ไปตั้งสองแสนเจ็ดหมื่นบาท

          ท่านทั้งหลายเห็นไหม พฤติกรรมแสดงออกให้มันฉิบหาย ให้ไฟไหม้บ้านมัน มันก็อยู่ในจิตใจคนแช่ง จึงถูกไฟไหม้ก่อน เห็นชัดแล้ว

          เลยก็เสียอกเสียใจแช่งใหญ่ พระที่ไหนไม่ทราบให้คาถาพระร่วงแช่งเข้าไป มันอยากเอาของเราไป นี่พระนะ บวชชีพราหมณ์วัดไหนไม่ทราบ

          อาตมาไปพูดที่กระทรวงศึกษาธิการบอกแก้กรรมได้ เขาก็ติดตามมาวัดนี้

          เขาบอกว่า “หลวงพ่อคะ ฉันก็แผ่เมตตาด้วยการแช่ง ขอให้ไฟไหม้บ้านมัน ไฟไหม้บ้านฉันเข้าแล้ว”  นี่แหละบาปกรรมตัวเป็นคนทำ ไม่ใช่คนอื่นทำให้

          สองสามีภรรยาก็ไปทุลักทุเลอยู่เชียงใหม่ หลบหน้าไปเป็นลูกจ้างทำสวนอยู่กับเจ้าเชียงใหม่แห่งหนึ่ง แต่จะไม่กล่าวชื่อของท่านเหล่านั้น ทำสวนผลไม้ที่ ๕๐๐ กว่าไร่

          เจ้าเชียงใหม่ก็ไม่ทราบว่าสองสามีภรรยานี้เป็นใคร ทำงานไปบ้างครั้งก็ร้องไห้ เพื่อเขามาฝากไว้ทำไร่ทำสวน เพื่อหาเงินทองให้ตัวเอง

          อาตมาก็บอกกับโยม ซี.๗ นี้ว่า ให้มานั่งกรรมฐาน ๗ วัน ลาพักร้อนมา

          สุดท้ายขายที่ได้ สรุปความว่าได้กำไร ๑.๕ ล้าน เขามาซื้อสร้างบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม หลายอย่าง ดีใจมาก ได้เงินพิเศษจับเสือมือเปล่าได้ ๑๕ ล้าน สมความมุ่งมาดปรารถนา

          เขาก็ล่องมากรุงเทพฯ ใช้หนี้หมด แล้วก็มาหา ข้าราชการซี.๗ ที่ถูกกรรมการสอบสวน สอบแล้วไม่มีความผิด เลยได้สองขั้นไปเลย เป็นผู้อำนวยการกองทันที นี่อำนาจบุญกรรมฐานนะ

          นี่แหละกฎแห่งกรรม กรรมฐานแก้กรรมได้แน่ ๆ หมื่นเปอร์เซ็นต์ กรรมฐานรู้เหตุการณ์ได้ กรรมฐานแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ มีหลายเรื่องหลายรส แต่ขอชี้แจงบทความ ๓ ข้อคือ

๑.     ระลึกชาติได้

๒.    รู้กฎแห่งกรรมได้

๓.    แก้ปัญหาได้

และสามารถแก้ปัญหาปัจจุบันที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าได้ สรุปใจความจากข้อต้นถึงข้อสุดท้ายคือ

อย่ามารื้อฟื้น ไปไหนปากอย่าไว ใจอย่าเบา เรื่องเก่าอย่านำมารื้อฟื้น เรื่องของคนอื่นอย่านำมาคิด กิจที่ชอบทำ ปัจจุบันเป็นของเราแล้วคือเดี๋ยวนี้ อนาคตอย่าจับให้มั่นคั้นให้ตาย โยมจะผิดหวัง โยมจะเสียใจตลอดชีวิต ขอฝากข้อคิดไว้ด้วย

 

----------- จบ -----------