เมื่อสามีและลูกไปปฏิบัติกรรมฐานที่วัดอัมพวัน

แสงจันทร์ ชัยวิศิษฏ์

R7019

 

       ในช่วงโรงเรียนปิดภาคฤดูร้อน ปี พ.ศ. ๒๕๓๖ สามีของข้าพเจ้าคือ คุณสมภพ ชัยวิศิษฏ์ และลูกชายคือลูก ชัชวาล ชัยวิศิษฏ์ ได้มีโอกาสไปปฏิบัติกรรมฐานที่วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี ร่วมกับคณะจังหวัดขอนแก่น

          ในระหว่างวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๓๖ ถึงวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๓๖ ในครั้งนี้ ข้าพเจ้าไม่ได้มีโอกาสร่วมเดินทางไปปฏิบัติกรรมฐานด้วย เพราะในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ข้าพเจ้าต้องเข้าพบแพทย์ตามนัด เพื่อทำการรักษาโรคประจำตัวที่เป็นอยู่ในต่อเนื่องกัน ซึ่งข้าพเจ้าป่วยมาเป็นระยะเวลา ๕ เดือน

            โรคที่เป็นคือ ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ ระยะรุนแรง แพทย์วินิจฉันว่า อาการของโรคที่เป็นในระยะนี้ ต้องกินยาติดต่อกันไปอย่างน้อย ๔ ปี

            โอกาสที่จะหายขาดมีเพียง ๖๐% ถ้าการรักษาไม่ต่อเนื่องกันก็อาจกินเวลามากกว่านี้ ข้าพเจ้าจึงต้องเข้าพบแพทย์ตามนัดไม่ขาด และไม่คลาดเคลื่อนวันนัดแม้เพียงครั้งเดียว

          จากเหตุผลนี้ จึงทำให้ข้าพเจ้า ไม่มีโอกาสไปปฏิบัติกรรมฐานพร้อมกับสามีและลูก ข้าพเจ้าจึงต้องเฝ้าบ้านและรอวันนัด (๒๖ มีนาคม ๒๕๓๖) ของแพทย์

          ในระหว่างที่สามีและลูกปฏิบัติกรรมฐานที่วัดอัมพวันนี้ มีเหตุการณ์และสิ่งไม่คาดฝันที่เกิดกับข้าพเจ้าผู้อยู่เบื้องหลัง ซึ่งข้าพเจ้าอยากจะนำมาเล่าให้ท่านฟัง

          เพื่อท่านผู้อ่านที่กำลังข้องใจสงสัย ไม่แน่ใจได้รับทราบ และจะได้ตัดสินใจเดินทางไปพบกับแสงสว่างและทางปฏิบัติตนได้ถูกต้อง

          กล่าวคือ ในระหว่างที่สามีและลูกชายคนโตไปวัดอัมพวัน ก็เป็นเวลาเดียวกับลูกชายคนเล็กไปเข้าโรงเรียนกวดวิชา ที่กรุงเทพมหานคร เพื่อทำการสอบเข้าเรียนในระดับสูงขึ้น

          เมื่ออยู่บ้านคนเดียว ข้าพเจ้าได้มีโอกาสโทรศัพท์ติดต่อกับลูกที่อยู่กรุงเทพฯ ทุกวันมิได้ขาด ทั้งตอนเช้าและตอนเย็น วันละ ๒ เวลา ทั้งนี้ก็เพราะเป็นห่วง ลูกไม่เคยใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ ไม่เคยไปกรุงเทพฯคนเดียว ในการที่เขาไปอยู่คนเดียว ผู้เป็นแม่ย่อมต้องห่วงหาอาทรเป็นธรรมดา

          ข้าพเจ้าติดต่อกับลูกเช่นนี้เป็นกิจวัตรประจำวัน แต่แล้วในวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๓๖ เมื่อข้าพเจ้าโทรศัพท์ติดต่อกับลูก ปรากฏว่าลูกไม่ได้อยู่ที่ห้องพัก ทั้ง ๆ ที่เวลาขณะนั้น ๒ ทุ่มครึ่งแล้ว

          ข้าพเจ้ารอจนถึง ๖ ทุ่ม ก็โทร.ติดต่ออีก ปรากฏว่าเงียบเหมือนเคย ข้าพเจ้าแปลกใจและเริ่มใจไม่ดี เพราะปกติลูกไม่เคยเกเร ไม่เที่ยวเตร่ ไม่ทำให้พ่อแม่หนักอกหนักใจแม้เพียงครั้งเดียว

          คืนนั้นเวลาประมาณตีสอง ข้าพเจ้าก็ลุกขึ้นมาโทรศัพท์ไปกรุงเทพฯอีก ผลก็เหมือนเดิม คือไม่มีใครมารับสาย ถึงตอนนี้ข้าพเจ้าร้อนใจมาก นอนไม่หลับเลย

          พอรุ่งเช้าของวันใหม่ ข้าพเจ้าติดต่อไปอีก ผลก็ออกมาในรูปเดิม คือ เงียบ ถึงวันนี้ข้าพเจ้าไม่นิ่งนอนใจเลย โทร.ตามหาที่บ้าน เพื่อน ๆ ที่คิดว่าจะไปทุกหนทุกแห่ง

          ปรากฏว่าไม่มีวี่แววของลูก เพื่อนทุกคนบอกว่าไม่พบเลย มันทำให้ข้าพเจ้าทรมาน ทุรนทุรายมาก เกรงว่าจะเกิดอันตรายขึ้นกับลูก หวาดวิตาไปต่าง ๆ นานา

          เมื่อเข้าตาจน ข้าพเจ้า นึกถึงห้องพระ และ หลวงพ่อจรัญ ซึ่งขณะนั้นสามีและลูกชายคนโตปฏิบัติกรรมฐานอยู่กับท่าน

          ข้าพเจ้าไม่รอให้เสียเวลา รีบเข้าห้องพระ สวดมนต์ ไหว้พระ และ หยิบรูปหลวงพ่อจรัญ ซึ่งได้มาจากอาจารย์บุญส่ง อินทวิรัตน์ มากราบ และยกมืออธิษฐานจิตถึงท่าน

          ถ้าหากลูกปลอดภัย และมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนอยู่ ขอให้เขาติดต่อกลับไปหาข้าพเจ้าด้วยเถิดเพราะขณะนี้ ข้าพเจ้าไม่มีที่พึ่งอื่นใดอีกแล้ว หมดปัญญาที่จะตามหาลูกได้พบ

          ข้าพเจ้านั่งหลับตาอธิษฐานในใจ “ขอบารมีหลวงพ่อจงช่วยด้วยเถิด ๆๆ” อยู่อย่างนี้ นานประมาณ ๑๐ นาที ข้าพเจ้าจึงออกมานั่งข้างนอกห้องพระ ยอมรับว่าอ่อนล้าไปหมดทั้งกายใจ คิดหนักที่ต้องแก้ปัญหาอยู่คนเดียว

          ในขณะที่กำลังนั่งคิดที่จะแก้ปัญหานั้น เสียงกริ่งโทรศัพท์ก็ดังกังวานขึ้น ข้าพเจ้าสะดุ้งสุดตัว รีบไปรับโทรศัพท์ กลัวว่าสัญญาณจะขาดหายไป

          ท่านเชื่อไหมคะว่า เสียงที่พูดมาตามสายนั้นเป็นเสียงลูกชายของข้าพเจ้าจริง ๆ ข้าพเจ้าดีใจจนบอกไม่ถูก ขนลุกซู่ไปทั้งตัว ในใจก็คิดว่า เป็นไปได้อย่างไร

          สอบถามจากลูกได้ความว่า มีญาติห่าง ๆ ทางกรุงเทพฯ มารับไปค้างที่บ้านของเขา อารามรีบเก็บข้าวของ เลยลืมบอกแม่ว่าไม่อยู่เพิ่งจะมานึกขึ้นได้เมื่อกี้นี้เอง ตอนมองเห็นโทรศัพท์

          จะด้วยเหตุบังเอิญหรืออะไรก็แล้วแต่ ข้าพเจ้าเชื่อว่าที่ลูกชายของข้าพเจ้า ติดต่อกลับไปหาข้าพเจ้า เพราะอำนาจแห่งบุญบารมีของหลวงพ่อท่านได้เมตตาช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในห้วงทุกข์ทรมาน ให้หลุดพ้นไปได้

            ข้าพเจ้าพูดกับลูกเสร็จ ก็รีบเข้าไปกราบรูปของท่านด้วยความสำนึกในพระคุณเป็นล้นพ้น หาที่เปรียบมิได้

          ดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า ข้าพเจ้าป่วยมาเป็นเวลาเกือบ ๕ เดือน ซึ่งเป็นช่วงที่ทนทรมานด้วยโรคร้ายเบียดเบียน จนบางครั้งหมดกำลังใจ อยากจะลาออกจากราชการมาอยู่กับบ้าน

          แต่ติดที่เพื่อนร่วมงานทัดทานไว้ว่า ถ้าอยู่คนเดียวก็ยิ่งจะเงียบเหงา โรคภัยก็จะไม่มีทางหายขาด ยิ่งจะเป็นหนักเข้าไปอีก

          ในช่วงที่สามีและลูกชายไปปฏิบัติกรรมฐาน และกลับมาได้เล่าถึงการปฏิบัติให้ฟังว่า หลังจากการปฏิบัติทุกครั้ง สองพ่อลูกได้พากันตั้งจิตอธิษฐาน

            ขออำนาจแห่งบารมีจากการปฏิบัติกรรมฐาน จงช่วยให้ข้าพเจ้าหายจากการเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยเถิด ข้าพเจ้าก็รับฟังด้วยความซาบซึ้งใจ ในการเป็นห่วงเป็นใยของพ่อและลูก

          และในเวลาต่อมา เมื่อถึงวันนัดตรวจครั้งสุดท้ายเพื่อวินิจฉัยว่า จะให้ยาอย่างไร โดยก่อนหน้านี้ได้เจาะเลือดตรวจไว้ และมาฟังผลเพื่อรักษาต่อ

          ในครั้งนี้เอง ที่ข้าพเจ้ามีความดีใจตื่นเต้นจนอธิบายไม่ถูก เพราะพอแพทย์ดูผลจากเลือดแล้ว ท่านก็บอกว่า ข้าพเจ้าได้หายขาดจากโรคภัยที่เป็นอยู่

          ข้าพเจ้ารับฟังด้วยความดีใจอัศจรรย์ใจเป็นอย่างมาก คิดว่าเป็นไปได้จริง ๆ หรือ ที่แรงอธิษฐานของคนที่เรารักจะประสบผลสำเร็จ จะเป็นจริงไปได้ถึงขนาดนี้

          ข้าพเจ้ากราบลาคุณหมอ และคุณพยาบาลที่ให้ความอนุเคราะห์ให้กำลังใจมาตลอดระยะเวลาการรักษา

          วันนั้นพอออกจากห้องนายแพทย์ ข้าพเจ้าก็มาบอกลาเพื่อนคนป่วยด้วยโรคเดียวกัน บางคนก็รำพึงรำพันว่า เขาเองรักษามาตั้ง ๗-๘ ปี ทานยาก็แล้ว ดื่มน้ำแร่ก็แล้ว ผ่าตัดก็แล้ว ยังไม่มีทีท่าว่าจะหายอีก

          ส่วนข้าพเจ้าเพิ่งจะมารักษา ทำไมจึงหายเร็วอย่างนี้ ข้าพเจ้าไม่ทราบจะอธิบายให้พวกเขาเหล่านั้นเข้าใจได้อย่างไร

          เมื่อกลับมาถึงบ้าน ได้บอกข่าวดีที่หายขาดจากการเจ็บป่วยให้สามีและลูก ๆ พร้อมบรรดาญาติพี่น้องได้รับฟัง ทุกคนต่างพากันดีใจและอัศจรรย์ใจไปตาม ๆ กัน ที่แรงอธิษฐานของคนที่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจะเป็นเรื่องจริงซึ่งประจักษ์แก่ข้าพเจ้ามาแล้ว

          ทุกวันนี้เมื่อพบเห็นใครที่ได้รับความทุกข์จากทางกายก็ดี ทางใจก็ดี ข้าพเจ้าก็แนะนำให้ท่านเหล่านั้นไปปฏิบัติกรรมฐานที่วัดอัมพวัน สิงห์บุรี ทั้งนี้เพื่อที่บุคคลเหล่านั้นจะได้พ้นจากการทุกข์ทรมานเหมือนข้าพเจ้าที่ประสบมาแล้ว

          ในการประกอบสัมมาชีพรับราชการนั้น รายได้อยู่ในวงจำกัด จะหาทางเพิ่มพูนรายได้จากอาชีพที่ปฏิบัติอยู่ก็ไม่มี ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงมีงานอดิเรกที่ทำเสริมรายได้ประจำของตนเอง คือ การติดต่อซื้อ-ขายที่ดิน

          ระยะ ๒ ปีที่ผ่านมา งานติดต่อซื้อ-ขายไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร มักจะมีอุปสรรคเกิดขึ้นเสมอ ๆ จนบางครั้งท้อถอย และคิดว่าจะเลิกทำอาชีพเสริมนี้

          พอปีนี้ในช่วงที่ปิดเรียน เป็นจังหวะเดียวกับที่ข้าพเจ้าหายป่วย ข้าพเจ้าลองคิดทำธุรกิจอย่างเดิม คราวนี้ประสบผลสำเร็จอย่างไม่น่าเชื่อ

          ที่ดินที่ติดต่อขาย เมื่อก่อนที่ดินเหล่านี้จะขายไม่ออก แม้จะลดราคาลงมาต่ำสุดแล้วก็ตาม บางครั้งต้องเสียเงินค่ามัดจำไปเป็นจำนวนมาก

          แต่มาคราวนี้ ที่ดินเหล่านั้นกลับขายได้ในราคางาม แทบไม่น่าเชื่อ คนซื้อโทรศัพท์เข้ามาติดต่อเป็นระยะๆ ที่บางแปลงมีคนต้องการ ๒-๓ คน เสนอราคาให้จนเจ้าของที่ดินพอใจ และซื้อขายกันไปด้วยราคาที่ผู้ซื้อพอใจ คนขายก็พอใจ

          เหตุการณ์กลับกลายเป็นอย่างนี้ และจากตัวอย่างที่เล่ามาให้ฟัง ๒-๓ ตัวอย่าง ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับตัวข้าพเจ้า และเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น

          จึงทำให้ข้าพเจ้าเชื่อว่าอานิสงส์ของการตั้งใจจริงในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ที่วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี ดินแดนที่มีแต่ความขลัง ศักดิ์สิทธิ์ ภายใต้การนำบุคคลให้พ้นทุกข์ของหลวงพ่อจรัญ เจ้าอาวาสวัดอัมพวันแห่งนี้มีจริง

          กรุณาอย่านิ่งนอนใจ ลองให้บุคคลในครอบครัวของท่าน หรือตัวท่านเอง ไปสัมผัส ไปฝึกปฏิบัติกรรมฐานที่วัดอัมพวันสัก ๗ วัน แล้วท่านจะได้พบข้อเท็จจริงกับสิ่งไม่คาดฝันที่เรามองไม่เห็น ดังที่ข้าพเจ้าได้ประสบมากับตัวเอง

แสงจันทร์ ชัยวิศิษฏ์

ร.ร.สนามบิน อ.เมือง

จ.ขอนแก่น ๔๐๐๐๐

 

 

----------- จบ -----------