ประสบการณ์การไปบำเพ็ญกุศลที่วัดอัมพวัน
วิเชียร บุนนาค
R7022
ข้าพเจ้าเดินทางจากบ้าน
จ.ขอนแก่นไปวัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี ตามคำแนะนำของท่านอาจารย์บุญส่ง ออกจากบ้าน
๒๑.๓๐ น. มาตามเส้นทางบ้านไผ่ ชนบท มัญจคีรี
ช่องสามหมอ แก้งคล้อ อีกประมาณ ๒๐ กม. จะถึงชัยภูมิ ไฟหน้ารถเกิดดับไปเฉย ๆ
จอดรถข้างทาง อาศัยไฟฉายเล็กที่นำมาด้วย เปิดฝากระโปรงรถยนต์ดูก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร
เพราะผู้ที่ร่วมเดินทางไป ผู้ชาย ๔ ผู้หญิง ๑ ขับรถเป็นทุกคน แต่ดูเครื่องไม่เป็นสักคน
จอดรถอยู่ประมาณ ๒๐ นาที เลยให้ลองสตาร์ทรถดูใหม่ ลองไฟก็ติดดี จึงขับเรื่อยมา
ไฟหน้า ไฟต่ำ ไฟสูง ติด ๆ ดับ ๆ มาตลอดจนถึงชัยภูมิ แวะร้านข้าวต้ม ๒๔ น.
เศษแล้ว ในใจผมคิดว่าเราคงจะไม่มีบุญวาสนา กินข้าวต้มแล้ว ถ้ารถไฟไม่ติดใช้ไม่ได้ก็จะกลับ
ตอนนั้น ในใจผมคิดคนเดียว และคิดกราบไปถึงหลวงพ่อใหญ่ วัดอัมพวัน ว่า
ถ้าบุญผมมีจะได้ไปกราบหลวงพ่อใหญ่ที่ จ.สิงห์บุรี ก็ขอให้รถยนต์มีไฟหน้ารถสะดวก
อย่าให้การเดินทางมีอุปสรรคใด ๆ เลย
เมื่ออธิษฐานในใจแล้ว
ก่อนจะเดินทาง ข้าพเจ้าตั้งใจไว้ว่า
ถ้ารถยนต์ไม่เรียบร้อยก็จะสั่งเดินทางกลับขอนแก่น
แต่เมื่อทดลองเครื่องเปิดไฟรถยนต์ ทั้งไฟใกล้ ไฟไกล ไฟหรี่
ก็ยังไม่ดีเท่าเก่า ตอนนี้คุณสุธีได้ไปจับ ๆ คลำ ๆ ตรงสายไฟรวม ตรงสวิตช์ไฟรถยนต์
ได้ดึงเอาเศษสำลีเบาะรถกระจุกหนึ่งประมาณก้อนเท่าหัวแม่มือ แล้วทดลองไฟรถใหม่ ปรากฏว่าดีขึ้น
ไฟรถใช้งานได้ดีเหมือนปกติ ก็ดีใจ และพากันเดินทางต่อไป จ.สิงห์บุรี
นี่เป็นเหตุการณ์เริ่มต้น
คล้ายอิทธิปาฏิหาริย์ อธิษฐานถึงหลวงพ่อใหญ่
ขอมากราบเท้าพระเดชพระคุณให้ถึงที่วัด
ผมมีโรคประจำตัว
คือ โรคความดันโลหิตสูง และ โรคเบาหวาน ซึ่งเป็นมาแต่ปี ๒๕๒๒ กินยาฝรั่งคุมมา ๑๔
ปีแล้ว ตอนนี้มีอาการจะต้องปวดปัสสาวะตลอดเวลา ประมาณถึงหนึ่งชั่วโมงครึ่ง
จะต้องปวดและออกไปปัสสาวะ บางครั้งก็ปวดหนักด้วย
แม่ชีสมคิดก็แนะให้อยู่ปฏิบัติที่ศาลาเล็กติดกับกุฏิแม่ใหญ่
ไม่ต้องไปรวมกับกลุ่มใหญ่ แต่เมื่อถึงเวลาเดินแถวเกือบ ๑๓.๐๐ น.
ข้าพเจ้าไม่เข้าใจก็เดินรวมติดกลุ่มใหญ่เข้าไปปฏิบัติที่ศาลาใหญ่กับเขาด้วย
แปลกที่ข้าพเจ้าไม่ปวดปัสสาวะในเวลาที่เข้าปฏิบัติเลย ยังนึกแปลกใจตนเอง
คงจะเป็นเพราะ
๑. ตื่นเต้น
๒. อิ่มบุญที่เราได้ตั้งใจมาปฏิบัติ
๓. เกรงใจคนอื่นอีกจำนวนมาก
จะทำให้เขาเสียสมาธิ และจะเป็นบาปแก่ตัวเอง
๔. สมกับคำทักทายของ
อ.บุญส่ง ที่แนะนำไปว่าอย่างคุณวิเชียรนี้สบายมาก ผมแน่ใจว่า
คุณจะต้องหายจากโรคเบาหวาน ๑,๐๐๐ % ขอให้ได้ไปพบหลวงพ่อใหญ่ และเข้าปฏิบัติเถิด
จะไม่ผิดหวังแน่นอน นี่เป็นเหตุการณ์ที่ ๒ ที่ข้าพเจ้ามาปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันกับหลวงพ่อใหญ่
ต่อไปเป็นประสบการณ์ประการที่
๓ ที่ข้าพเจ้าเห็นว่าควรจะเล่าให้ผู้สนใจฟังด้วย ประกอบการพิจารณาสำหรับผู้ที่คิดว่าจะไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันด้วยคือ
อาจจะเป็นด้วยความไม่รู้และคอยดูทำตาม ๆ เขาไป ทำให้ข้าพเจ้าไม่ได้กราบพระรับศีล ๘
ปวารณาตัวเข้ากรรมฐานเหมือนคนอื่น ๆ พอเข้าคืนวันที่ ๓ ของการปฏิบัติ
ข้าพเจ้าและคุณสุธีรู้สึกหิวน้ำ จึงเดินไปเพื่อจะหาน้ำดื่ม
พวกสุนัขที่นอนเฝ้าแถวนั้นต่างเห่ากันเกรียวกราว และวิ่งเข้ามาเป็นหมู่
คุณสุธีถอยมาอยู่หลังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็หยุดและพูดกับสุนัขที่วิ่งเข้ามาเหล่านั้นว่า
ผมมาดี ผมมาปฏิบัติอยู่ที่นี่ ผมหิวน้ำครับ ผมจะมาหยิบน้ำไปกินครับ ผมมาดี
พวกสุนัขเหล่านั้นเขาพากันกลับไปนอนตรงที่เดิมที่เขานอนอยู่
รุ่งขึ้นเป็นประสบการณ์ที่
๔ ซึ่งเห็นว่าก็คงจะเล่าให้ฟังด้วยโดยไม่อาย
จะได้เป็นตัวอย่างและข้อคิดที่ดีของผู้ที่ตั้งใจจะไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันต่อไปครับ
คือ วันที่ ๙ มี.ค. ๓๖ ซึ่งเป็นวันที่ ๔
ของการเดินทางมาที่วัดอัมพวันเพื่อปฏิบัติธรรม คุณโพธิ์ที่ไปด้วย
เดินทางกลับขอนแก่นแล้ว ตอนเช้า ขณะจะไปรับประทานอาหารผ่านห้องแม่ใหญ่ ได้ยินผู้ที่อยู่ในห้องแม่ใหญ่
กำลังสนทนากันดัง ๆ เป็นการว่ากล่าวพวกที่มาปฏิบัติธรรมว่า ห้องพวกนี้
ผู้ทำหน้าที่ซักผ้าด้วยเครื่องไปพบมาฟ้องว่า ทำเหมือนกับอยู่โรงแรม
ห้องรกไม่เป็นระเบียบ มีการสูบบุหรี่และเขี่ยขี้บุหรี่ไว้ พวกนี้ไม่ได้มาทำบุญ
แต่พากันมาเอาบาปกลับไป
ตอนนั้นผมได้ยิน
รู้สึกโกรธและเสียใจมากที่มีการกล่าวหากัน
โดยไม่ทราบว่าผมได้ผ่านมาได้ยินและยืนฟังอยู่ แต่ผมก็ไม่ได้เข้าไปโต้ตอบแต่ประการใด
ได้แต่นึกโกรธและเสียใจเป็นอย่างมาก เพราะเห็นว่าการกล่าวหานั้นเป็นการไม่ถูกต้องกับความจริงนัก
ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้
ผมคิดมากและเสียใจมาก จนจิตใจไม่เป็นปกติ พวกเขาขึ้นศาลากันหมดแล้ว
ผมจึงออกจากห้องไปพบแม่ใหญ่
ตั้งใจว่าจะไปเล่าให้แม่ใหญ่ฟังถึงเหตุผลจากการที่ถูกกล่าวหาดังกล่าวที่เล่ามาข้างต้น
เมื่อพบแม่ใหญ่แล้วก็ได้แต่พูดแสดงความเสียใจ และรับผิดตามที่ถูกกล่าวหา ทั้ง ๆ
ที่ตัวไม่ได้ทำผิด และแม่ใหญ่ก็มิได้ว่ากล่าวแต่ประการใด
ผมจึงขออนุญาตแม่ใหญ่ปฏิบัติอยู่ที่ศาลาเล็กข้างกุฏิแม่ใหญ่ อ้างว่าจิตใจไม่สงบ จน
๑๑.๐๐ น. ถึงเวลารับประทานอาหาร ก็ออกมาร่วมรับประทานอาหารพร้อมกัน เนื่องจาก ๒
ชั่วโมงที่ปฏิบัติอยู่ที่ศาลาเล็กข้างกุฏิแม่ใหญ่ ความรู้สึกนึกคิดทีแรกสับสนมาก
ทั้งโกรธ ทั้งเสียใจ จิปาถะ แต่เมื่อนั่งปฏิบัติไปประมาณ ๑ ชั่วโมงผ่านไป ก็มีความรู้สึกผิด ชอบ
ชั่ว ดี เกิดขึ้นแก่ตนเอง เริ่มพิจารณาความผิดของพวกตน
เหตุที่เขาฟ้อง จนกระทั่งมาถึงผลที่ได้รับ เกิดจากอะไร
อะไรเป็นต้นเหตุ อะไรเป็นความผิดที่เกิดขึ้น จนมีการกล่าวหาเหล่านี้
ทำให้คิดได้ว่า ถ้าเราไม่ทำสิ่งนี้ไว้ แล้วจะมีการกล่าวหาหรือ ต้องแก้ที่ต้นเหตุ
เราเป็นผู้ผิดจริง เราเป็นผู้กระทำไว้ ถ้าเราไม่กระทำไว้
ก็จะไม่มีการกล่าวหาเกิดขึ้นแน่นอน
เมื่อคิดได้และเห็นสิ่งผิดเป็นครู
จึงกลับมีความรู้สึกขอบคุณผู้ซักผ้า ที่เป็นผู้กล่าวหาพวกผม
และกลับรู้สึกขอบพระคุณท่านผู้นั้น ที่ได้เป็นครูแก่ตัวผมโดยไม่รู้สึกตัว
และผมก็กลับรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณผู้ที่ทำให้ผมได้คิด
นึกอะไรได้อีกหลายอย่างที่จะเกิดประโยชน์มหาศาลจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้
จนกระทั่งวันสุดท้าย
วันที่ ๖ ของการมาปฏิบัติธรรม ตอนเย็นเมื่อเวลากรรมฐานแล้วขึ้นปฏิบัติบนศาลาตามปกติ
จนเลิกประมาณ ๒๒.๐๐ น. กลับมาที่ห้องพัก จึงปรากฏการณ์แปลกขึ้น เป็นปรากฏการณ์ประการที่
๕ ที่กระผมจะได้เล่าให้ฟังต่อไปนี้
หลังจากกลับมาห้องพักแล้ว
ทำธุระส่วนตัว เข้านอนกำหนดอยู่นาน แต่กลับมีจิตคิดฟุ้งซ่าน คิดถึงบ้าน
คิดถึงสุนัขที่บ้านที่กำลังท้องจะออกลูกหรือยัง เรียกจิตกลับมา คิดหนอ คิดหนอ
อยู่หลายตลบ จิตกลับมา พอกำหนดไปได้หน่อย จิตก็เตลิดไปอีก
คิดว่าเรามาที่นี่ที่วัดอัมพวันนี้ ๗ วัน ได้แต่วิธีปฏิบัติไป
ไม่เห็นได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน อ.บุญส่งเล่าให้ฟังว่า
มาวัดนี้แล้วจะเห็นบุญเห็นกุศลทันตาเห็น คิดหนอ คิดหนอ
เรียกจิตที่คิดเตลิดกลับมาอีก กำหนดต่อก็คิดเตลิดอีก จนหลับไป มารู้สึกตัวตื่น
ตัวเองกำลังนั่งร้องไห้อยู่ด้วยความดีใจ เพราะเมื่อหลับไปแล้ว รู้สึกว่าจะฝันก็ไม่ใช่
เป็นความรู้สึกคล้าย ๆ ครึ่งหลับครึ่งตื่น เห็นใบหน้าคนทั้งผู้หญิงผู้ชาย
เป็นใบหน้าของคนแปลก ๆ คล้ายคนโบราณ ก็มีประมาณ ๓๐-๔๐ คน มีคนรู้จักเพียง ๓-๔ คน
เป็นใบหน้าลอยมาให้เห็น บางหน้าก็เห็นชัดแต่ไม่รู้จัก บางใบหน้าก็เห็นจาง ๆ
เยอะแยะรอบตัวเรา
สุดท้ายเห็นใบหน้าแม่ชัดเจนลอยมาและยิ้มให้เหมือนเมื่อตอนแม่ยังมีชีวิตอยู่
ต่อจากเห็นใบหน้าแม่แล้วก็เห็นใบหน้าพ่อลอยมาชัดเจนและยิ้มให้เหมือนเมื่อตอนมีชีวิตอยู่เช่นกัน
เท่านั้นแหละผมมีความรู้สึกดีใจที่ได้เห็นหน้าพ่อแม่จนตัวเองร้องไห้ดีใจมาก
แล้วรู้สึกตัวเองคล้ายเพิ่งตื่น นั่งร้องไห้อยู่ด้วยความดีใจ คุณพ่อ
คุณแม่ผมได้เสียชีวิตไปประมาณ ๒๐ กว่าปีแล้ว เคยฝันเห็นท่านเพียงครั้งเดียว ตั้งแต่ท่านเสียชีวิตไป
พยายามคิดนึกก่อนนอนขอฝันเห็นท่านอีก ก็ไม่เคยปรากฏให้เห็น
ครั้งนี้จึงรู้สึกดีใจมากจนน้ำตาไหลพรากเลย แต่ก็พยายามเก็บความรู้สึกไว้ ครั้นเผลอคิดถึงเรื่องเห็นหน้าพ่อ-แม่ก็ดีใจน้ำตาไหลทุกที
ข้าพเจ้าจึงได้รู้สึกซึ้งถึงการเดินทางไปปฏิบัติที่วัดอัมพวันของหลวงพ่อใหญ่ตอนนี้เองว่า
การที่เราปฏิบัติธรรมนั้น จะส่งผลให้ทั้งในชาติปัจจุบันและในชาติหน้าต่อไป
ถ้าเรายังไม่หมดกรรมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่อีก ทั้ง ๆ
ที่ในการเดินทางไปวัดอัมพวันนั้น ข้าพเจ้าและคณะไปอย่างมืด ๆ ไม่รู้อะไรเลย
และแม้กระทั่งกลับมาถึงบ้านแล้ว ก็ยังรู้สึกครึ่ง ๆ กลาง ๆ มืดบ้างสว่างบ้าง
ยังไม่รู้ซึ้งถึงขีดสุดในการปฏิบัติ ต่อเมื่อได้กลับมาถึงบ้าน
ได้ปฏิบัติต่อเนื่องกันมาเหมือนอย่างที่ปฏิบัติที่วัด ได้อ่านหนังสือกฎแห่งกรรมของหลวงพ่อให้
๑ ชุด ๖ เล่ม ที่บูชามาพร้อมทั้งฟังเทป ๕-๖ ม้วนที่หลวงพ่อใหญ่ได้อบรมสั่งสอนเทศน์ให้เราฟังทั้งเก่าและใหม่
พร้อมวิดีโอ ที่หลวงพ่อสอนวิธีปฏิบัติกรรมฐาน จึงได้เข้าใจลึกซึ้งถึงแก่น
ทุกบททุกตอนที่อ่านหนังสือกฎแห่งกรรม และฟังเทปที่ท่านเทศน์ง่าย ๆ แต่เข้าใจแจ่มแจ้ง
ง่ายแก่การปฏิบัติต่อไป เป็นสิ่งที่จะเกิดรู้แจ้ง เห็นจริง ทุกขั้นตอน
มีกำลังใจปฏิบัติธรรม เร่งให้เกิดความก้าวหน้าทางการปฏิบัติด้วยเป็นอย่างมาก
ก่อนจะจบเรื่องนี้
มีข้อสังเกตอีกนิด ท่านที่ไปวัดอัมพวันทีหลังอาจจะได้เห็นเหมือนข้าพเจ้าคือ
มีสุนัขตัวเมียหลายตัวที่กุฏิแม่ใหญ่ แต่มีอยู่ตัวหนึ่ง ถึงเวลาตีระฆัง เรียกผู้มาปฏิบัติธรรมเข้าแถวรอเดินไปศาลา
สุนัขตัวเมียสีขาว ๆ ตัวนี้ เขาจะมาเดินตรวจแถวดูทั้งซ้าย ขวา
ทั้งแถวผู้หญิงและแถวผู้ชาย แล้วเขาก็จะไปนั่งรออยู่ตรงหัวแถวระหว่างแถว
หญิงชายที่ยืนอยู่ เมื่อพี่เลี้ยงเห็นว่าพร้อมก็จะมาเดินนำแถวไปยังศาลา สุนัขตัวที่ว่านี้
เขาก็จะเดินตามพี่เลี้ยงไปส่งที่ศาลาทุกครั้ง ลองมอง ๆ ดูเถอะครับ
เขาคงเป็นมนุษยชาติมาก่อนแล้วต้องมาเกิดใช้กรรมในชาตินี้ก็เป็นได้
สุดท้าย ข้าพเจ้าขออวยชัยให้พรแก่ผู้ที่บุญถึง
คิดจะไปกราบหลวงพ่อใหญ่ที่วัดอัมพวัน
ได้เดินทางไปบำเพ็ญกุศลปฏิบัติธรรมให้ได้สมความตั้งใจปรารถนา
และสำเร็จลุล่วงการปฏิบัติและรับผลกุศลกรรมดีที่ปฏิบัติได้รับเท่าทันตาเห็นเช่นข้าพเจ้าเช่นนี้
เทอญ
อนึ่ง ได้ทราบมาจากท่าน
อ.บุญส่ง ว่า ขณะนี้มีผู้บริจาคที่ประมาณ ๑๐๐ ไร่ ที่เขื่อนอุบลรัตน์
เพื่อให้หลวงพ่อใหญ่ท่านสร้างวัด
โดยมีข้อแม้ให้หลวงพ่อใหญ่ได้โปรดขยายสาขาการปฏิบัติธรรมขึ้นที่วัดที่จะสร้างขึ้นใหม่นี้
เพื่อประโยชน์ของคนทางภาคอีสานอีกมากที่มีศรัทธา แต่ไม่มีกำลังจะเดินทางไปที่วัดอัมพวัน
จ.สิงห์บุรี จะได้มีโอกาสได้ปฏิบัติธรรม ณ ที่วัดที่สาขาที่จะสร้างขึ้นใหม่นี้
ขอให้สำเร็จลุล่วงสมประสงค์ตามเจตนาโดยเร็วด้วยเถิด
เพื่อพวกชาวอีสานและตัวข้าพเจ้าขอปวารณาตัวเป็นผู้รับใช้ด้วยผู้หนึ่งตามกำลังและความสามารถที่มีอยู่
และถ้ายังมีชีวิตอยู่ด้วยนะครับ
----------- จบ
-----------