บันทึกถึงคุณยาย

จิตนิภา เวชพันธุ์

R7028

 

            วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๕ หลานได้โทรศัพท์ถึงคุณแม่ ขอให้คุณแม่ช่วยไปดูแลน้องเดช น้องณัฐ เพราะวันที่ ๒๘ หลานจะเดินทางไปวัดอัมพวันกับคณะ เพื่อกราบเรียนหลวงพ่อพระราชสุทธิญาณมงคล (หลวงพ่อจรัญ) เกี่ยวกับการเข้าค่ายปฏิบัติธรรมที่โรงเรียน หลานแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เมื่อคุณแม่บอกว่าคุณยายอาการทรุดลงมาก ให้อะไรก็ไม่ยอมทาน เพราะวันที่หลานไปเยี่ยมคุณยายที่โรงพยาบาล คุณยายยังพูดคุย ดื่มนม กินขนมที่หลานกับพี่น้อยนำไปเยี่ยมได้เหมือนคนปกติ ยังจำได้ว่าคุณยายบ่นตลอดว่าอยากกลับบ้าน และบอกนางพยาบาลว่า คุณยายปัสสาวะออกแล้ว ทำเอานางพยาบาล คนไข้ข้างเตียงและหลานหัวเราะกันใหญ่ ขำที่คุณยายลงทุนพูดปดเพราะอยากกลับบ้าน

            หลังจากทราบข่าวคุณยายคืนนั้น หลานได้จุดธูปห้าดอกตามคำแนะนำของคุณลุงบุญส่ง ที่ได้เคยแนะนำเอาไว้ว่าหากต้องการให้หลวงพ่อแผ่เมตตาให้ ให้จุดธูปห้าดอก อธิษฐานถึงหลวงพ่อแล้ว นำไปปักไว้กลางแจ้ง หลานได้อธิษฐานขอให้หลวงพ่อช่วยแผ่เมตตาให้คุณยายหายวันหายคืนโดยเร็ว ถ้าหากคุณยายจะต้องจากลูกหลานไปก็ขอให้คุณยายจากไปอย่างสงบและมีสติ

            วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๕ คณะหลานได้ออกเดินทางจากโรงเรียนขามแก่นนคร คุณลุงบุญส่งได้เมตตามารอส่งคณะหลานที่หน้าโรงเรียนขอนแก่นวิทยายน และบอกว่าถ้าเป็นไปได้ก็ให้พักกันสักคืน สำหรับคุณลุงไปด้วยไม่ได้เพราะไม่สบายและเพิ่งกลับจากพาคณะอื่นไป ขณะที่นั่งรถไป ความดีงามของคุณยายได้ผุดขึ้นมาในความทรงจำมากมายโดยเฉพาะภาพที่คุณยายกับหลานเคยไปปฏิบัติธรรมด้วยกัน แม้สังขารคุณยายจะเสื่อมถอยลุกเดินแทบไม่ไหว แต่คุณยายก็เพียรถือไม้เท้าเดินจงกรมกลับไปกลับมา แม้จะดึกดื่นเพียงใดเมื่อหลานลืมตาขึ้นก็ยังเห็นคุณยายนั่งภาวนาและคอยปลุกหลานให้ลุกขึ้นปฏิบัติ คุณยายจะบอกกับหลานเสมอว่า “เวลาทุกนาทีมีค่ายิ่ง เริ่มปฏิบัติเร็วเท่าใดยิ่งดี อย่าให้เหมือนคุณยายที่เริ่มเมื่ออายุมากแล้ว คนที่ผัดวันประกันพรุ่งคือคนที่กำลังเดินถอยหลัง”

            อีกภาพที่โดดเด่นในใจหลานตลอดมา คือ ภาพที่คุณยายนั่งรอใส่บาตร คุณยายนั่งรออย่างมีความสุข เมื่อหลวงพ่อมา สายตาอันฝ้าฟางของคุณยายมองดูหลวงพ่ออย่างชื่นชม ปีติ มือไม้อันสั่นเทาของคุณยายค่อย ๆ หยิบอาหารใส่บาตรอย่างบรรจง ก่อนกลับบ้านช่วงที่รอคุณแม่มารับ คุณยายพูดตลอดเวลาว่าตั้งแต่เกิดมาไม่เคยฟังเทศน์ได้อิ่มเท่าครั้งนี้เลย

          ตลอดเวลาที่คิดถึงภาพต่าง ๆ ของคุณยาย น้ำตาแห่งความภาคภูมิใจในตัวคุณยายได้ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ประมาณ ๑ ทุ่ม รถก็ถึงวัดอัมพวัน หลานและคณะได้เข้าไปกราบหลวงพ่อ หลานได้กราบเรียนหลวงพ่อเกี่ยกับการเข้าค่ายปฏิบัติธรรมเพราะใจหลานเป็นห่วงคุณยาย หลานได้กราบเรียนถามหลวงพ่อว่าก่อนมาที่วัดหลานได้รับข่าว คุณยายไม่สบายมาก ไม่ทราบว่าขณะนี้คุณยายจะเป็นประการใด ก่อนตอบหลวงพ่อได้เมตตาเทศน์เรื่อง “อายุขัย” สรุปใจความว่าอายุของคนเรามีกำหนดจริง แต่เราสามารถเลื่อนกำหนดนั้นได้ด้วยกรรมฐาน สุดท้ายหลวงพ่อได้บอกกับหลานว่า ฝากกลับไปบอกทุกคนด้วยว่า “ถ้าไม่กินข้าว แล้วไม่หายใจ ตายแน่นอน และบอกยายไม่เป็นอะไรแล้วนะ สบายแล้ว” ถึงแม้ทุกคนจะเข้าใจตรงกันว่าหลวงพ่อกำลังบอกว่า คุณยายได้จากไปแล้วและจากไปอย่างไม่มีวันกลับ หลวงพ่อจึงพูดย้ำคำว่า “ไม่กินเข้า ไม่หายใจ ตายแน่นอน” แต่หลานก็ไม่อยากให้คุณยายจากไป หลานตั้งใจเอาไว้ว่า ถ้าคุณยายหายป่วย หลานจะพาคุณยายไปเข้ากรรมฐานที่วัดอัมพวัน

          เกือบ ๔ ทุ่ม คณะหลานจึงได้กราบลาหลวงพ่อ ทั้ง ๆ ที่หลวงพ่ออยากให้ทุกคนพักที่วัดก่อนสักคืน ตอนเช้าค่อยกลับ อีกทั้งยกตัวอย่างเกี่ยวกับประสบอุบัติเหตุของหลาย ๆ คนที่หลวงพ่อเคยห้ามไม่ให้กลับแล้วไม่เชื่อ หลวงพ่อจะพูดย้ำอยู่ตลอดว่า “เดี๋ยวนี้หลวงพ่อไม่อยากห้ามใครแล้วละ เพราะห้ามแล้วก็ไม่ฟัง” คงเพราะกฎแห่งกรรมอย่างที่หลวงพ่อเทศน์จึงไม่มีใครเฉลียวใจว่า หลวงพ่อกำลังเตือนว่าอย่ากลับเลย ถ้ากลับแล้วจะเป็นเหมือนเรื่องที่หลวงพ่อเล่าให้ฟัง

          ความจริงคณะมีโปรแกรมจะพักที่วัด ๑ คืน แต่เนื่องจากมีสมาชิกบางท่านต้องกลับไปทำธุระเกี่ยวกับพิธีเปิดงานไหม จึงต้องพากันกลับ ทั้ง ๆ  ที่ตั้งใจจะอยู่ปฏิบัติกันสักคืน ก่อนกลับหลวงพ่อได้เมตตารดน้ำมนต์พร้อมทั้งแจกเหรียญที่ระลึกครบรอบอายุ ๖๐ ปีให้กับทุกคนโดยหลวงพ่อออกตัวกับคณะอื่นที่นั่งอยู่ด้วยกันว่าจะให้คณะครูขามแก่นเท่านั้นนะ เพราะหลวงพ่อเตรียมไว้เท่านี้

          ประมาณตี ๒ สิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น รถที่คณะหลานนั่งกลับได้ประสบอุบัติเหตุพลิกคว่ำที่อำเภอมัญจาคีรีซึ่งอยู่ห่างจากโรงพยาบาลมัญจาคีรีไม่มากนัก น่าอัศจรรย์ไม่มีใครเป็นอะไรมาก ทั้ง ๆ ที่รถที่มาประสบเหตุเห็นเหตุการณ์เมื่อเห็นสภาพรถต่างพูดตรงกันว่า “แบบนี้ต้องมีคนตายอย่างแน่นอน” หลานมั่นใจว่าต้องเป็นบารมีที่หลวงพ่อแผ่เมตตาให้อย่างแน่นอน เพราะจำได้ว่าขณะที่รถกำลังจะพลิกคว่ำ เสียงหลายคนหวีดร้องเรียกชื่อหลวงพ่อรวมทั้งตัวหลานเอง หลานมีความรู้สึกว่าเหมือนมีกระแสอันอบอุ่นโอบอุ้มทุก ๆ คนเอาไว้ หลังจากออกจากตรวจเช็คร่างกายที่โรงพยาบาล กลับถึงบ้าน อ้อมกับนารายงานว่า โกต๋องโทรมาบอกว่า คุณยายเสียแล้วตั้งแต่เมื่อวาน

          คุณแม่เล่าให้ฟังว่าคุณยายมีอาการไม่ดีมาตั้งแต่เช้าวันที่ ๒๘ แต่คุณยายก็มีสติ เจ๊เนี้ยวบอกว่าที่หลานฝากให้บอกคุณยายว่า หลานจะไปวัดอัมพวัน จะขอความเมตตาจากหลวงพ่อ ให้หลวงพ่อเมตตาให้คุณยาย และขอให้คุณยายพยายามระลึกถึงหลวงพ่อ บอกคุณยายให้แล้ว แม้คุณยายจะพูดไม่ได้ แต่คุณยายได้พยายามยกมือเหมือนจะบอกว่า คุณยายรับรู้แล้ว

          ก่อนที่คุณยายจะจากไป คุณแม่เล่าว่าคุณยายพยายามยกมือ ๒ ข้างขึ้นพร้อมกัน แต่เนื่องจากสังขารของคุณยายเกร็งไปหมดจึงยกได้เพียงให้ ๒ มือค้างไว้ในลักษณะที่เสมอกัน นั่นแสดงว่าก่อนสิ้นลมหายใจ คุณยายก็ยังมีสติจึงได้พยายามยกมือขึ้นพนม

          ความจริงทุกคนได้พยายามทำใจนับแต่วันที่คุณยายได้บอกกับคุณแม่ว่า “เมื่อคืนแม่สวดพระกัณฑ์ไตรปิฎกจบหมดแล้ว ต้มกบที่ทำให้แม่กินก็อร่อยมาก แม่กินจนหมดเลย” ทั้ง ๆ ขณะนั้นคุณยายมีอาการหนักมากและทานอะไรแทบไม่ได้แล้ว

          คุณยายขา...คุณยายได้จากทุกคนไปแล้วจริง ๆ และเป็นการจากไปอย่างสงบและมีสติตามที่หลานได้อธิษฐานขอหลวงพ่อเอาไว้

                                                                                      จากหลาน

จิตนิภา เวชพันธุ์

อาจารย์โรงเรียนขามแก่นนคร

ถ.กสิกรทุ่งสร้าง อ.เมือง

จ.ขอนแก่น ๔๐๐๐๐

----------- จบ -----------