สวดพระพุทธคุณช่วยให้ได้ของคืน

ดวงกมล จันทรางศุ

จากหนังสือ กฎแห่งกรรม – ธรรมปฏิบัติ เล่มที่ ๘

พระราชสุทธิญาณมงคล (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)

วัดอัมพวัน สิงห์บุรี

R8016

            ดิฉันได้มีประสบการณ์เกี่ยวกับการสวดมนต์บทสวดมนต์ถวายพรพระ (พาหุงมหากาฯ) ดังนี้คือ เมื่อประมาณต้นปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ดิฉันบังเอิญทำล็อกเกตหยกล้อมเพชร ซึ่งติดอยู่กับเข็มกลัดเพชรหายไป และจำได้ว่าหลังจากที่ดิฉันได้ใช้ครั้งสุดท้ายเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ ได้ใส่ไว้ในซองพลาสติก เมื่อจะนำมาใช้อีกครั้งก็หาไม่พบ นึกไม่ออกว่าได้เอาไปเก็บไว้ที่ไหน

            ดิฉันเพียรพยายามค้นหาในที่ ๆ เคยเก็บไว้ และที่ ๆ ควรจะอยู่จนอ่อนใจ เพราะหาเท่าใดก็ไม่พบจนเกิดความร้อนอกร้อนใจ จนกระทั่งปลายเดือนพฤษภาคม ดิฉันได้ย้ายไปอยู่บ้านใหม่ ก็ได้พยายามค้นหาตามกล่องที่เก็บอัญมณีทั้งหมดที่มีอยู่อีกครั้งก็ยังหาไม่พบ ด้วยความเสียใจและอยากได้ของคืน จึงได้ไปหาหมอดูตาทิพย์ซึ่งทำนายแม่นมาก เคยทำให้ดิฉันได้ลาภเป็นเงินแสนมาแล้ว หมอดูเขาบอกว่า “มีคนเอาไปแล้ว” โดยระบุว่าลูกชายและเพื่อนเอาไปโดยไม่ตั้งใจ หากแต่ว่าของมันวางอยู่ในที่ล่อตาล่อใจ เลยเอาไปขายและพากันไปเที่ยวจนเงินที่ได้มาหมดแล้ว

            ดิฉันมาคิดทบทวนดูว่า มันจะเป็นไปได้อย่างไร? มันจะเป็นไปได้หรือ? ก็ลูกเราเลี้ยงมากับมือ ไม่เคยมีประวัติเป็นอย่างนี้มาก่อน จากการอบรมเลี้ยงดูมาด้วยดีโดยตลอด ท่ามกลางความรักและเอาใสใส่จากญาติพี่น้อง เขาจะกล้าทำเชียวหรือ? จริงอยู่ว่าเป็นบางครั้งที่เคยทะเลาะกัน ลูกเคยพูดว่า “คอยดูนะ จะทำให้แม่เจ็บที่สุด” หรือว่าอารมณ์ชั่ววูบของวัยรุ่นบวกกับความรักเพื่อน จะทำให้เป็นไปดังที่หมอดูทำนาย

            ความเสียดายของที่หายไปนั้นมีอยู่มาก เพราะเป็นอัญมณีประจำราศีเกิดก็เรื่องหนึ่ง บวกกับความเสียใจที่ว่า ลูกเราจะมีพฤติกรรมไม่ดีติดตัวต่อไปในภายหน้าก็อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งสาเหตุประการหลังนี้ทำให้เป็นทุกข์มากที่สุด ความขุ่นข้องหมองใจสร้างความระแวงสงสัยมาให้ดิฉันตลอดเวลาที่ของหายไป

            จนกระทั่งปลายปี ๒๕๓๖ ดิฉันได้มีโอกาสไปกราบพระหลวงน้า ที่เป็นญาติทางคุณน้าสะใภ้ ซึ่งพวกธนาคารที่ดิฉันรู้จักเชื่อถือและศรัทธามาก เวลาทำเงินขาดหายไปจะต้องไปกราบขอคำพยากรณ์จากหลวงน้าเสมอ แล้วก็ได้ของคืนทุกครั้งไป ดิฉันได้รับคำทำนายจากท่านว่า “คนผิวดำเอาของไปแล้ว ไม่ได้คืนหรอก” ดิฉันก็สบายใจไปเปราะหนึ่งว่าไม่ใช่ลูกเราเอาไป แต่ก็ยังไปพานสงสัยเด็กที่มาช่วยซักผ้า ทั้ง ๆ ที่เคยใช้สอยกันมาหลายปี เขาก็ซื่อสัตย์ดี เมื่อพบเงินที่ลืมไว้ในกระเป๋าเสื้อหรือกางเกงทีไร ก็นำมาคืนทุกครั้งไม่ว่าจะมากหรือน้อย

            แต่ทว่าตราบใดที่ยังไม่ได้ของคืน จิตใจของดิฉันก็หม่นหมองทุกครั้งที่นึกถึง วันหนึ่งได้มีโอกาสมากราบนมัสการหลวงพ่อ ดิฉันนึกขึ้นมาได้ถึงเรื่องของหาย จึงกราบเรียนถามและปรารภเรื่องลูกชาย หลวงพ่อได้เมตตาแนะนำว่า “โยมหมอ อย่าไปคิดอย่างนั้น เป็นบาปเปล่า ๆ สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากาฯ เข้า เผลอ ๆ ได้คืนเอง”

         ดิฉันก็น้อมรับและปฏิบัติตามเรื่อยมาด้วยศรัทธาและเชื่อมั่น ซึ่งจำไม่ได้ว่ากี่เดือน รู้แต่ว่าทำไมมันนานเหลือเกินจนชักท้อแท้ (อันที่จริงก็ยังสวดได้ไม่ถึง ๖ เดือน) แต่ดิฉันเป็นคนใจร้อนและไม่ค่อยอดทน) เลยเลิกสวดมนต์ จำได้ว่าเลิกตั้งแต่สิ้นปี ๒๕๓๖ เป็นต้นมา

            อยู่มาวันหนึ่งเมื่อต้นปี ๒๕๓๗ ดิฉันจะไปงานแต่งงานของเพื่อน จึงเข้าไปหาเครื่องประดับให้เข้ากันกับชุดเสื้อผ้า พอเปิดกล่องแหวนเปล่า ๆ อันเก่า (เพราะได้นำเอาแหวนทั้งหมดที่มีอยู่ไปรวมไว้ในกล่องใหญ่) พอเปิดกล่องออกมา ดิฉันก็ได้พบล็อกเกตห้อยอยู่กับเข็มกลัดเพชรใส่ถุงพลาสติก ซึ่งอยู่ในฝากล่องรูปโค้งมนรับกับซองพลาสติกไว้อีกที ดิฉัน ดีใจจนมือสั่น ความรู้สึกในตอนนั้นมันปลอดโปร่งใจมาก

            คิด ๆ ดูก็เห็นเป็นเรื่องแปลก เพราะตลอดระยะเวลา ๒ ปีที่ผ่านมา ดิฉันจะเฝ้าค้นหาทุกครั้งที่นึกขึ้นได้ กล่องเปล่าเหล่านี้ก็เคยเปิดดูหมดแล้วตั้งหลายครั้ง ทำไม หนอจึงได้คลาดสายตาไปได้

            จากเหตุการณ์นี้ทำให้ซาบซึ้งถึงคำโบราณว่าไว้ “ของหายสะพายบาป” มันเป็นอย่างนี้เอง ใจของเราไปคิดรุ่มรามตามหมอดู หลงเสียอกเสียใจ ระแวงสงสัยอยู่ตั้งนาน

            บางครั้งยังคิดน้อยใจว่าหลวงพ่อไม่เมตตาดิฉันเลย มีทุกข์หนัก ๆ มาทีไรก็ไม่ได้คำตอบเสียที ดิฉันคงมีบาปมากจนหลวงพ่อโปรดไม่ได้ บางทีก็คิดว่า หลวงพ่อคงจะต้องการให้ดิฉันปฏิบัติเอง รู้เอง จะได้ไม่มากวนใจ วันหนึ่ง ๆ มีแต่สารพันปัญหา มีแต่คนมีทุกข์เดือดร้อนทั้งนั้น ต่างก็พกพาปัญหามาทับถมที่หลวงพ่อเป็นร้อยเป็นพัน จนกายสังขารหลวงพ่อรับไม่ไหว อาพาธอยู่บ่อย ๆ

            ซึ่งอันที่จริงแล้ว ดิฉันเองเป็นผู้ไม่ระวังรักษาใจของตัวเองเลย เที่ยวไปโทษโน่นโทษนี่แส่ส่ายหาทุกข์หาบาปเสียจริง ๆ ทำให้รู้ตัวว่าสติยังอ่อนอยู่มาก ไม่สามารถจะควบคุมใจให้อยู่ในทิศทางที่ถูกที่ควรได้ทันเวลาในขณะที่ใจคิด (คือไม่ได้กำหนดทันปัจจุบันนั่นเอง) ต่อไปจะต้อง “คิดหนอ – รู้หนอ” ให้ทันจะได้ไม่ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ๕๐๐ ชาติเพราะอำนาจโมหะ

            นี่เพียงแค่มโนกรรมอย่างเดียวที่คิดล่วงเกินต่อพระสุปฏิปันโน ทำให้เห็นว่าคำสอนของพระพุทธองค์ ช่างละเอียดลึกซึ้งถึงกรรมทั้ง ๓ ตั้งแต่ กายกรรม วจีกรรม (ซึ่งเป็นกรรมหยาบ) ไปจนถึง มโนกรรม (กรรมอันละเอียด)

            จากเหตุการณ์นี้ ดิฉันต้องกราบขออโหสิกรรมต่อหลวงพ่อ ที่ได้คิดล่วงเกินต่อว่าน้อยอกน้อยใจมา ณ โอกาสนี้ด้วย และดิฉันขอให้สัตย์ปฏิญาณว่า “จะเร่งมือเจริญสติให้ทันปัจจุบันและจะเพียรสวดพุทธคุณ พาหุงมหากาฯ ต่อไปอย่างไม่หยุดอีก จนกว่าชีวิตจะหาไม่

            และดิฉันขอกราบพระคุณในเมตตาจิต ที่หลวงพ่อมีให้กับศิษย์ทุกคนอย่างเสมอภาคตลอดมา