เวทนา
กุญแจสู่ภพชาติ และ การสิ้นเวรต่อกัน
นิฐิวงศ์
วงศ์ช่างหล่อ
R9011
เมื่อวันที่ ๑๙
กุมภาพันธ์ ผมได้ไปถึงวัดอัมพวันในตอนเช้า
ขณะนั้นหลวงพ่อกำลังให้โอวาทนักเรียนที่มาอบรมปฏิบัติธรรม ผมและเพื่อนเดินทางมาจากโคราช
เพื่อมานมัสการหลวงพ่อ และตัวผมเองก็จะอยู่ปฏิบัติกรรมฐาน ๗ วัน โดยจะออกจากกรรมฐานในวันที่
๒๖ ซึ่งเป็นวันเกิดผมพอดี แต่หลวงพ่อท่านติดภารกิจในช่วงเช้า
เพื่อนของกระผมจึงเดินทางกลับไปก่อน ในขณะนั้นผมไม่มีโอกาสทราบเลยว่า
กรรมฐานในครั้งนี้จะทำให้ผมได้พบความอัศจรรย์
ซึ่งจะนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ผมไปตลอดชีวิต การเริ่มต้นปฏิบัติ ผู้ที่เข้าปฏิบัติจะต้องรับศีลแปด
เรียนรู้การเดินจงกรม การกำหนดจิต และนั่งสมาธิ
จากท่านพระอาจารย์ผู้รับหน้าที่แนะนำการปฏิบัติเบื้องต้น
ส่วนผู้ที่เคยได้รับการฝึกแล้วก็จะแยกไปปฏิบัติ
ส่วนผมเองได้เคยมาปฏิบัติกรรมฐานที่วัดอัมพวันเป็นครั้งแรกในชีวิต สมัยที่ยังเป็นนักศึกษาอยู่ที่
สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง โดยในครั้งนั้น ยุวพุทธิกสมาคมฯ
เป็นเจ้าภาพ คุณแม่สิริ กรินชัย และคณะเป็นวิทยากร
โดยมีวัดอัมพวันเป็นเจ้าของสถานที่ ผมในขณะนั้นลงเรียนวิชาพุทธปรัชฌา ซึ่งท่านอาจารย์วันดี
ศรีสวัสดิ์ เจ้าของวิชาได้พาพวกกระผมมาปฏิบัติธรรม (ประมาณ ๕-๖ ปีมาแล้ว)
และผมก็ได้พบสิ่งที่ตนเองแสวงหามานาน
หลังจากนั้น ผมก็จะหาเวลามาปฏิบัติกรรมฐานให้ได้ทุก
ๆ ปี ปีละ ๗ วัน และในปีนี้ก็ได้กลับมาปฏิบัติที่นี่อีกครั้งหนึ่ง
การปฏิบัติที่วัดอัมพวันนี้
จะมีเวลาปฏิบัติมาก ผู้ที่ปฏิบัติต้องเพิ่มเวลาในการเดินจงกรมและนั่งสมาธิตามลำดับ
จากวันแรกครึ่งชั่วโมง วันต่อมาจะเพิ่มเป็น ๑ ชั่วโมง ถัดมาเป็น ๗๕ นาทีเป็นต้น
ตัวกระผมเองนั้น
เป็นคนมีความพิการมาแต่กำเนิด คือ อัมพาตชนิดเกร็ง ไม่สามารถเหยียดเข่าให้ตรงได้
การเดินจึงมีลักษณะผิดปรกติไป และได้ใช้ไม้เท้าช่วยในการทรงตัว และในการเดินจงกรม
กระผมจะยึดพื้นที่ข้างฝา เพื่อช่วยการทรงตัวในการเดินจงกรม ในการปฏิบัติครั้งแรก ๆ
นั้น ผมรู้สึกท้อแท้บ้างว่า ทำไมจะสร้างบุญกุศลบ้างก็ลำบากลำบนกว่าคนทั้งหลาย
แต่เมื่อปฏิบัติไปเรื่อย ๆ ก็แว่วเสียวสติที่อุตส่าห์ฝึกฝนให้เข้มแข็งขึ้น
บอกมาว่า ลำบากนั่นแหละดี วิริยะ บารมีจะแก่กล้า หลังจากกระผมมีความรู้สึกนี้
ผมจึงไม่เคยย่อท้อต่อการปฏิบัติอีกเลย
สิ่งที่ผู้ปฏิบัติจะต้องเผชิญในการทำกรรมฐาน
คือ ความปวดเมื่อย อันเป็นเวทนา ผู้ที่ดูแลการปฏิบัติมักจะบอกอยู่เป็นระยะ ๆ ว่า
เมื่อมีเวทนาเกิดขึ้น ให้พยายามพิจารณาเวทนา กำหนดปวดหนอ ๆๆ ช้า ๆ
แต่ระวังไม่ให้จิตเกาะติดในเวทนานั้น ซึ่งผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจนัก
ต่อมาในวันที่
๒๒ กุมภาพันธ์ หลวงพ่อจรัญได้เทศน์ให้ผู้ปฏิบัติฟัง
และได้กล่าวถึงการกำหนดเวทนาว่า ให้พยายามแยกแยะเวทนาให้ได้
จะได้เกิดปัญญาขึ้น อย่าได้หลีกหนี และสิ่งที่จะเป็นเครื่องช่วยให้สู้เวทนาได้ก็คือ
การตั้งสัจจะอธิษฐาน พยายามอดทนให้ได้ โดยใช้ขันติบารมีเป็นเครื่องมือสำคัญ หลังจากที่ได้ฟังเทศน์แล้ว
ผมจึงกำหนดไว้ในใจว่าจะตั้งสัจจะ และพยายามแยกแยะเวทนาตามที่หลวงพ่อบอก
หลังจากวันนั้น
ผมได้อธิษฐานสัจจะว่าจะนั่งสมาธิ ๗๕ นาที โดยไม่ขยับเขยื้อนเลย
เมื่อตั้งใจแล้วปรากฏว่า เจ้าเวทนาก็มาทักทายตั้งแต่เริ่มทีเดียว
อาการปวดเข่าข้างซ้ายก็ทวีแรงขึ้น ผมได้ใช้ขันติความอดทนและการกำหนด ปวดหนอ
โดยพิจารณาดูในอาการปวด พิจารณาเห็นความเจ็บปวดยิ่ง ๆ ขึ้น
ในเวทนานั้นมากมายขึ้นอย่างเหลือเชื่อ ความปวดเมื่อยอย่างยิ่ง
จนเกิดอาการทั้งแสบทั้งร้อน
ราวกับจะรู้ถึงจำนวนเส้นประสาทที่มาเลี้ยงที่บริเวณที่เกิดอาการ
จนมาถึงจุดที่บอกกับตัวเองว่า โอย จะทนไม่ไหวแล้ว
แต่อีกใจหนึ่งก็ประคองจิตไว้ว่า ถ้าหากยอมพ่ายแพ้ก็จะต้องพ่ายแพ้ตลอดไป ทนอีกหน่อย
ความรู้สึกขัดแย้งได้ต่อสู้กันอยู่ โดยเฉพาะ ๑๕ นาทีสุดท้าย ราวกับว่าจะเป็น ๑๕
นาทีนรกก็ไม่ปาน ความปวดแสบทวีขึ้นอย่างเหลือเชื่อกว่าจะพ้นมาได้ ก็ชนะอย่างสะบักสะบอมทีเดียว
วันนั้นชนะได้ก็เพราะมีขันติเป็นพระเอก สัจจะเป็นผู้ช่วยสำคัญ
ในการปฏิบัติครั้งต่อมา
เมื่อผมผ่านความทรมานมาแล้ว ก็สามารถดำรงสติไว้ได้ สามารถทนต่อเวทนาได้
และได้หลักการว่า ต้องพิจารณาเวทนาโดยใช้สติให้เหมือนกับมีผ่าตัดของหมอ ส่วนหนึ่งกำหนดเข้าไปในเวทนา
เหมือนใบมีดจมลงในแผล เพื่อพิจารณาลักษณะของเวทนา เหมือนใบมีดจมลงบนแผล
เพื่อพิจารณาลักษณะของเวทนา และรักษาส่วนด้ามมีดคือสติอีกส่วนหนึ่งไว้
เหมือนมีดในมือหมอ แต่งานนี้หมอกับคนไข้เป็นคนเดียวกัน
เมื่อพิจารณาลักษณะของเวทนาโดยเพ่งลงไปจะเกิดเวทนาแรงกล้าขึ้น
ทำให้ได้ข้อสรุปประการแรกคือ แม้เวทนาเท่าเดิม แต่จิตเพ่งมากขึ้นก็กลับปวดมากขึ้น
เมื่อลดการเพ่งลงก็ปวดน้อยลง ดังนั้นปัจจัยสำคัญคือ จิต
ประการที่สอง
เมื่อพิจารณาต่อไปในความปวดนั้น จะรู้สึกถึงเส้นเลือดที่เต้นตุบ ๆ
ความแสบร้อนจะทำให้รู้ว่าเส้นประสาทมาหล่อเลี้ยง เมื่อเวลาผ่านไปแม้จะทรงจิตไว้ที่เดิมแต่เวทนาก็เพิ่มขึ้นตามปัจจัยของร่างกาย
อันเป็นลักษณะของร่างกายเป็นเช่นนั้นเอง ทำให้เข้าใจคำกล่าวที่ว่า เวทนาเปรียบเสมือนลูกศร
๒ ดอก ดอกหนึ่งปักที่ใจ อีกดอกหนึ่งปักที่ร่างกาย
โดยแจ้งใจ
ในค่ำของวันถัดมา
ขณะที่ผมกำลังจะเดินจงกรม มีผู้ปฏิบัติเล่าเรื่องของนิมิตของเขา
ทำให้ผมต้องฉุกคิดถึงนิมิตในสมาธิที่ปรากฏ เป็นสิ่งก่อสร้างและซากปรักหักพัง
แต่ที่น่าแปลกคือในสิ่งที่เห็นนั้น มีหุ่นทหารยืนนิ่งอยู่ และได้เห็นยานพาหนะสิ่งของสมัยโบราณอยู่เหมือนกัน
แต่กำหนดเห็นหนอ เห็นหนอแล้ว ภาพนั้นก็หายไป ท่านแม่ชีท่านยังแนะนำต่อไปอีกว่า
ถ้าเห็นนิมิตอีกท่านให้ส่งกระแสจิตไปที่ภาพเพื่อขออโหสิกรรมต่อกัน
เมื่อผมนั่งสมาธิ
และเห็นสิ่งก่อสร้างซากปรักหักพังอีกจึงได้พิจารณาเห็นว่า เป็นค่ายทหาร ที่มีตุ๊กตาไทยโบราณยืนนิ่งอยู่
ผมก็ได้กำหนดเห็นหนอ และรู้สึกสงสัยหนอ และแล้วลักษณะที่แปลกของนิมิตก็เกิดขึ้น
คือเห็นนิมิต
ภาพภูเขาจำลองขนาดสูงประมาณเข่า ยืนมองลงไปจากมุมสูง
และถัดมาจากภูเขาที่มีตุ๊กตาทหารตัวเล็กขนาดเท่าปลายนิ้วก้อย แต่เห็นหน้าตาและการแต่งตัวเป็นทหารไทยโบราณ
รายล้อมภูเขา หันหน้ามองมาทางผมก็มีภาพจำลองค่ายทหารขนาดเล็ก ภาพที่เห็นทั้งหมด
ตั้งอยู่บนแท่นค่อย ๆ เลื่อนไปช้า ๆ คล้ายกับตู้โชว์สินค้าในห้าง ที่ว่าน่าแปลกก็คือตลอดเวลาที่เห็นภาพเหล่านี้ตาของผมเคลื่อนไหวอยู่ใต้หนังตา
และหนังตามีลักษณะกระพริบยิบ ๆ อยู่โดยที่ผมไม่สามารถบังคับได้
ภาพที่เห็นมีลักษณะเป็น ๓ มิติ ผิดกับภาพที่เห็นหรือการนึกภาพธรรมดาที่มีลักษณะเป็น
๒ มิติทั่วไป
ผมกำหนด เห็นหนอ
แต่ยังไม่เข้าใจ เพราะถ้าเห็นนิมิตเป็นคนหรือสัตว์ ก็คงเป็นเจ้ากรรมนายเวร
แต่ทำไมที่ผมเห็นกลับเป็นตุ๊กตา แต่แล้วในที่สุดก็มีความคิดเป็นคำตอบบอกออกมาว่า ที่เราเห็นเขาเป็นตุ๊กตา
เพราะผมเป็นผู้ทำให้เขาเหล่านั้นต้องย่อยยับลงเพราะผมใช้เขาเป็นตุ๊กตา
หรือตัวหมากในงานของผม
ผมไม่ได้ก่อกรรมโดยตรงกับนาย
ก. นาย ข. เป็นเฉพาะบุคคล จึงไม่มีใครเห็นเป็นตัวบุคคล
แต่ก่อกรรมเป็นลักษณะไม่จำเพาะเจาะจง เป็นปาณาติบาตครั้งใหญ่ ส่งผมให้เกิดมาขาพิการทั้งสองข้าง
ทำให้ผมเกิดสลดจากกรรมที่สร้างไว้ในอดีตชาติ
ถึงตอนนี้ภาพที่เห็นค่อย
ๆ หมุนขึ้นสู่เบื้องสูงอย่างช้า ๆ จนลับสายตาไป
และได้ดึงเอาสิ่งที่ดูคล้ายกับปะรำพิธีที่อยู่กับพื้นขาดติดขึ้นไปข้างบนด้วย
เมื่อภาพนิมิตได้เคลื่อนคล้อยไปหมดแล้ว
ความรู้สึกก็กลับมาที่หัวเขาซ้าย ผมกำหนดสู้เข้าไปในเวทนา แบบไม่กลัวตาย เพราเวทนาแค่นี้เทียบไม่ได้กับกรรมที่ทำมา
และแล้วสิ่งที่น่าพิศวงกว่าภาพยนตร์ที่เพิ่งจบไป
คือ ความรู้สึกของขาที่เกิดอยู่กับพื้น รู้สึกว่าพื้นนี้มีลักษณะนิ่มลงเหมือนโคลนเย็น
ๆ และที่ใต้เข่าซ้าย และรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างเย็น ๆ หมุนวนอยู่ตรงข้อพับ
ผมได้กำหนด รู้หนอ ตามอาการความอัศจรรย์ใจ
และรู้ว่ามีความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายกำลังจะเกิดขึ้น ความรู้สึกนี้เกิดอยู่ประมาณ
๓-๔ นาที และอีกไม่กี่นาทีต่อมา ผมก็ต้องกำหนดออกตามเวลา
จากนั้นผมเริ่มกำหนดจิตแผ่เมตตาให้กับเจ้ากรรมนายเวรอย่างตั้งใจเต็มที่
และเมื่อลุกขึ้นยืนขาซ้ายก็เหยียดตรงเหมือนกับเมื่อผมยังเป็นเด็กไปรับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลศิริราช
โดยผ่าตัดเลื่อนจุดเกาะของเอ็นที่ข้อพับ ซึ่งในช่วงแรกขาซ้ายก็เหยียดตรงได้ ส่วนขาขวาก็งอเล็กน้อย
แต่หลังจากนั้นไป ๖ เดือน ปรากฏว่า เข่าซ้ายงอกลับมาที่เดิม
ผมยังจำคำพูดของคุณหมอที่พูดว่า เห็นแล้วแทบร้องไห้เลย
แต่กรรมฐานที่วัดอัมพวัน กลับทำให้คืนกลับได้ภายใจ ๗ วัน
สิ่งที่น่านำมาพิจารณาคือ
๑. ภาพที่เห็นเป็นสิ่งที่คิดไปเองหรือเปล่า เป็นที่ถกเถียงกันมานานแล้วว่าผู้ที่ทำกรรมฐาน หรือบำเพ็ญสมาธิ อาจมีการสร้างภาพคิดไปเองซึ่งอาจจะเป็นไปได้ แต่ก็จะนำไปสู่คำถามที่สองว่า
๒.
ทำไมเส้นเอ็นที่ข้อพับจึงเหยียดตรงได้หลังจากเกิดนิมิต ทั้ง ๆ
ที่นั่งขัดสมาธิ ถ้าหากเดินจงกรมแล้วเส้นเอ็นยืดออก อาจเป็นเหตุบังเอิญที่พยายามยืดขาให้ตึงก็ได้
อันที่จริงการที่เส้นที่ข้อพับยืดขึ้นนี้เป็นครั้งที่สองในชีวิตผม
ครั้งแรกเกิดที่วิทยาลัยครูสวนสุนันทาที่คุณแม่สิริ กรินชัย เป็นผู้ให้การอบรมกรรมฐาน
ครั้งนั้นผมอธิษฐานจิต ขอให้ความพิการหายหรือเบาคลายไปในคืนวันที่ ๖ ของการปฏิบัติ
เพื่อจะได้ใช้ตนเองเป็นกรณีอ้างอิง แสดงให้เห็นความมหัศจรรย์ของวิชาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดมของเราชาวพุทธ
ในครั้งนั้นการยืดออกของเอ็นข้อพับเกิดขึ้นเกือบจะทันทีหลังจากอธิษฐานจิต
ด้วยใจที่ปราศจากความลังเลในอานิสงส์กรรมฐาน ยืดออกมาประมาณครึ่งหนึ่ง
ความรู้สึกตอนนั้นผมไม่มีวันลืม
ที่แตกต่างกันคือ
ครั้งนั้นผมยังไม่ทราบว่าการกำหนดเวทนาทำได้อย่างไร แต่ ณ วันนี้ผมได้ทราบแล้วว่า เวทนานั้นคือแหล่งข้อมูลอันยิ่งใหญ่แห่งจิตที่คอยให้เราทราบ
นอกจากจะมีอาการทางกายดีขึ้นแล้ว ผมยังทราบผลกรรมในอดีตชาติที่สร้างไว้
และอโหสิกรรมกันไป
ท่านเป็นเจ้าของกุญแจไขภพชาติ
และกฎแห่งกรรมของท่านด้วยอินทรีย์ ๕ พละ ๕ และองค์ธรรมแห่งกรรมฐานที่ถูกส่วน
ก็จะถอดรหัสแห่งสัจธรรมปรากฏแก่ท่านเองไม่ต้องถามใคร ตัวผมเองสิ้นสงสัยในเรื่องเหนือวิทยาศาสตร์
เหล่านี้สิ้นแล้ว
ก่อนที่จะจบบันทึก
ผมขอบอกท่านผู้อ่านว่า ไม่ประสงค์ให้ท่านเชื่อ แต่ประสงค์ให้ท่านสงสัย
เพราะผมเองเคยได้ฟัง เขาเล่ามาถึงอานิสงส์กรรมฐานช่วยรักษาโรคหายพิการอย่างนี้มาหลายราย
แม้จะรู้ว่า กรรมฐานเป็นสิ่งดีแก่ชีวิต ก็ยังทำใจปลงเชื่อไม่ได้จนวินาทีนั้นมาถึงต่อหน้า
จึงหวังว่าท่านจะมากล้าทดลอง ด้วยใจที่เอาจริง
แล้วท่านก็จะพบกับสิ่งที่ดีที่สุดของชีวิต นั่นคือการปฏิบัติธรรม
----------
จบ ----------