สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๕

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

ธันวาคม ๒๕๓๗

S00005

 

๕...

          พระบัวเฮียวนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ทั้งที่รู้ว่าท่านสัพยอก แต่ใจก็แสนจะปลื้ม อย่างน้อยมันเป็นนิมิตหมายอันดีว่าสักวันหนึ่ง ท่านคงจะได้ “เห็นหนอ” เช่นคนอื่น ๆ บ้าง ก็คุณนายสำไยอ่านหนังสือไม่ออกแท้ ๆ ยังได้นี่นา ท่านมีภาษีกว่าคุณนายคนนั้นตั้งแยะ แถมยังเดินจงกรม นั่งสมาธิเป็นอีกด้วย กำลังคิดเพลิน ๆ ท่านพระครูก็เอ่ยขึ้นว่า

                “เอาละ ต่อไปนี้อาตมาจะสอนเดินจงกรมระยะที่สอง ซึ่งเป็นระยะที่ยากที่สุดในบรรดาการเดินหกระยะ ไหนบัวเฮียวลองบอกมาซิว่า เดินจงกรมระยะที่สอง มีกี่หนอ”

          “สองหนอครับ ระยะที่สามมีสามหนอ”

          “ถูกแล้ว ระยะที่สองให้บริกรรมว่า “ยก – หนอ เหยียบ – หนอ” ขณะที่ปากว่า “ยก” ก็ให้ยกเท้าขวาขึ้นช้า ๆ สูงจากพื้นประมาณสามนิ้ว ยกเสร็จจึงว่า “หนอ” แล้วนิ่งไว้สักหนึ่งวินาที จึงค่อย ๆ เลื่อนเท้าไปข้างหน้าช้า ๆ โดยไม่ต้องบริกรรม ที่ว่ายากมันยากตอนนี้ ตอนที่ไม่มีองค์บริกรรม เลื่อนเท้าเสร็จก็นิ่งไว้หนึ่งวินาที แล้วจึงว่า “เหยียบ” พร้อมกับเหยียบลงไปช้า ๆ เมื่อเท้าถึงพื้นเรียบร้อยแล้ว จึงว่า “หนอ” จากนั้นจึงย้ายสติมาไว้ที่เท้าซ้าย ทำแบบเดียวกัน เมื่อเดินจนสุดทางแล้วให้กำหนดกลับ”

            ท่านเดินให้ดูอีกสามสี่ก้าว แล้วจึงบอกคนทั้งสี่ มีพระหนึ่ง คฤหัสถ์สามทดลองเดิน คนเป็นครูเดินได้โดยไม่ยากนัก แต่คนเป็นพระถึงกับเหงื่อตก คิดจะค้านพระอุปัชฌาย์ว่า

          “ก็ไหนหลวงพ่อว่าให้เดินวันละหนึ่งระยะยังไงล่ะ แล้วทำไมสามคนนี้ถึงเดินวันละสองระยะได้” ก็เลยเลิกล้มความตั้งใจ กระนั้นเสียงพระอุปัชฌาย์ก็ยังลอยมาเข้าหูว่า

          “สามคนนี้เดินระยะที่หนึ่งหกชั่วโมงติดต่อกันโดยไม่หยุดพัก ก็เลยให้มาเดินระยะที่สองได้”

          เมื่อเห็นว่าแต่ละคนเดินได้ถูกต้องดีแล้ว ท่านพระครูจึงสั่งว่า

          “เอาละ กลับไปเดินระยะที่หนึ่งกับระยะที่สองอย่างละครึ่งชั่วโมง นั่งอีกหนึ่งชั่วโมง พยายามใช้เวลาเดินกับนั่งให้เท่า ๆ กัน ใครปฏิบัติครบสองชั่วโมงแล้วยังไม่ง่วง ก็ให้ทำใหม่อีกรอบหนึ่งจนกว่าจะง่วง เมื่อล้มตัวลงนอนก็ให้เอามือวางบนท้อง พยายามจับให้ได้ว่า หลับไปตอนพองหรือตอนยุบ แล้วก็อย่าลืม ตีสี่ต้องลุกมาเดินหนึ่งชั่วโมง นั่งหนึ่งชั่วโมง พรุ่งนี้แปดโมงเช้าค่อยมาสอบอารมณ์ แต่ถ้าใครมีปัญหาก็มาที่กุฏิอาตมาได้ตลอดเวลา ไม่ต้องเกรงใจ ถ้าหลับอยู่ก็ให้เด็กปลุกได้”

          ท่านพระครูพูดเปิดทางเอาไว้เพราะ “เห็นหนอ” บอกว่าคืนนี้พระใหม่จะเจอปัญหา

          แยกกันไปยังที่พักของตนแล้วครูสามคนก็ลงมือปฏิบัติตามที่ท่านเจ้าอาวาสสอน คือเดินหนึ่งชั่วโมง นั่งหนึ่งชั่วโมง เสร็จแล้วครูบุญมีกับครูอรุณจึงสวดมนต์ไหว้พระ ปูเสื่อกางมุ้งแล้วก็นอน ส่วนครูสฤษดิ์คิดว่า จะต้องตักตวงความรู้กลับไปบ้านให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จึงปฏิบัติต่ออีกรอบหนึ่ง ดังนั้นขณะที่ครูน้อยสองคนกำลังหลับอย่างมีความสุขอยู่นั้น ครูเป็นครูใหญ่ก็กำลัง “ยก – หนอ เหยียบ – หนอ” อย่างมีความสุขไม่แพ้กัน

          สวดมนต์ทำวัตรเย็นเสร็จ พระบัวเฮียวตั้งนาฬิกาปลุกไว้หนึ่งชั่วโมง แล้วจึงเดินจงรมระยะที่หนึ่ง เดินอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงจึงเปลี่ยนเป็นระยะที่สองซึ่งท่านไม่ถนัดนัก หากก็เดินจนกระทั่งเสียงกริ่งนาฬิกาดังขึ้น ท่านเดินไปกดปุ่ม ตั้งใหม่อีกหนึ่งชั่วโมง แล้วกำหนดนั่งสมาธิ อาการ พอง – ยุบ คล่องตัวขึ้น ไม่อึดอัดขัดข้องเหมือนเมื่อตอนเช้า

          ท่านนั่งไปเรื่อย ๆ กระทั่งสี่สิบห้านาทีผ่านพ้นไป จึงรู้สึกปวดขาทั้งสองข้าง แรก ๆ ก็พอทนได้ ท่านจึงกำหนด “รู้หนอ” ครั้นปวดมากเข้าจึงเปลี่ยนเป็น “ปวดหนอ” แล้วก็ไม่ใส่ใจกลับไปจับ พอง – ยุบ ต่อไปไม่ยอมเปลี่ยนท่านั่ง

          เมื่อจิตเริ่มตั้งมั่นเป็นสมาธิ อาการปวดดูเหมือนจะทุเลาลง ท่านรู้สึกสบายขึ้นเรื่อย ๆ ถึงขึ้นกำหนด “สุขหนอ” ได้ จึงเสียดายนักเมื่อกริ่งนาฬิกาดังขึ้น พระใหม่กำหนดลืมตา เอื้อมมือไปกดปุ่มนาฬิกา แล้วลุกขึ้นเดินจงกรมระยะที่หนึ่งใหม่

          คราวนี้ท่านไม่ตั้งเวลา จะเดินจะนั่งจนเป็นที่พอใจโดยไม่ต้องให้เวลามาเป็นตัวกำหนด ท่านเดิน “ขวา – ย่าง – หนอ  ซ้าย – ย่าง – หนอ” อยู่พักใหญ่ ๆ จึงเปลี่ยนมาเป็น “ยก – หนอ  เหยียบ – หนอ” ระยะที่สองเดินยาก ท่านเลยเดินน้อยหน่อย เสร็จแล้วจึงกำหนดนั่ง อยากได้อารมณ์เหมือนเมื่อตะกี้ เพราะมันสุขสบายดีแท้ ๆ ภิกษุหนุ่มไม่รู้ตัวดอกว่า กำลังจะถูกมารหลอกล่อให้หลงทางเสียแล้ว ท่านนั่งกำหนด “พอง – หนอ  ยุบ -  หนอ” ไปเรื่อย ๆ รู้สึกชุ่มชื่นเย็นฉ่ำในหัวใจ อาการปวดเมื่อยไม่ปรากฏ ท่านสบายเสียจนไม่ยอมกำหนด “สุขหนอ” เพราะกลัวมันจะหายไป

          พระบัวเฮียวเพลิดเพลินในสุขกระทั่งลืมแม้องค์บริกรรม เมื่อไม่กำหนด พอง – ยุบ สติก็เผลอไผล จิตจึงฟุ้งซ่านล่องลอยไป ในภาวะนั้น ท่านเห็นตัวเองลอยอยู่กลางนภากาศ มีรัศมีสวยงามแผ่ซ่านออกมาจากกาย เสียงไพเราะกระซิบข้างหูว่า

          “ท่านสำเร็จแล้ว ท่านสำเร็จแล้ว ไปสิท่องเที่ยวไป อยากไปไหนก็ไปได้ทุกแห่งหน”

          “ถ้าอย่างนั้นฉันอยากไปนรก ช่วยพาฉันไปหน่อย” ท่านพูดโต้ตอบกับเสียงไพเราะนั้น

          “ไม่ต้องพา ท่าไปเองได้เพียงแค่นึกก็ถึงแล้ว”

          “จริงหรือ เอาละ ถ้าอย่างนั้นฉันนึกอยากไปเมืองนรก แล้วท่านก็รู้สึกว่าตัวเองล่องลอยไปถึงเมืองนรก เห็นยมบาลกำลังตักน้ำที่กำลังเดือดอยู่ในกระทะทองแดงกรอกปากบิดา ท่านจึงพูดกับยมบาลว่า

          “ท่านยมบาล อาตมาจะพาไปเที่ยวเมืองสวรรค์ ขอให้ช่วยโยมบิดาของอาตมาขึ้นจากนรกด้วยเถิด คนที่ท่านกำลังเอาน้ำร้อนกรอกปากอยู่นั้นแหละ คือโยมบิดาของอาตมา”

          “หลวงพี่ที่เคารพ นับประสาอะไร ที่จะช่วยโยมบิดาของหลวงพี่ได้เล่า แม้แต่แม่ยายผม ผมยังช่วยไม่ได้ ช่วยไม่ได้จริง ๆ ภรรยาเขาก็ขอร้องมา บอกให้ช่วยแม่ด้วยนะพี่นะ นึกว่าสงสารแก”

          “แม่ยายท่านทำบาปอะไรมาล่ะ”

          “แกฆ่าสัตว์ พวกหมู เป็ด ไก่ ห่าน ฆ่ามาไหว้เจ้าตอนตรุษจีนน่ะ ใจคอแกโหดเหี้ยม ทารุณดุร้าย”

          “ก็ท่านยมบาลทำไม่ช่วยไม่ได้เล่า”

          “โธ่หลวงพี่ ไอ้ผมก็อยากจะช่วย แต่โจทก์มันมาประท้วงกันเต็มไปหมด ทั้งหมู เป็ด ไก่ ห่าน ดูสิมันยืนประท้วงอยู่นั่น ส่งเสียงร้องระงมเลย”

          พระบัวเฮียวมองออกไปก็เห็นจริงดังยมบาลว่า สัตว์เหล่านั้นส่งเสียงร้องเซ็งแซ่ จับความได้ว่า

          “ไม่ได้นะยมบาล ช่วยไม่ได้ ยายคนนี้ทำให้พวกฉันทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ถ้ายมบาลช่วยมัน พวกฉันจะไปฟ้องพญายมราช ให้ลงโทษท่าน” โจทก์ขู่

          “เห็นไหมหลวงพี่ เห็นหรือยังว่า ผมช่วยไม่ได้จริง ๆ ถ้าผมช่วยโยมบิดาของหลวงพี่ เดี๋ยวพวกวัวควายมันก็ไล่ขวิดผมตายเท่านั้น ก็โยมบิดาของหลวงพี่ฆ่าวัว ฆ่าควายไว้เป็นร้อยเป็นพันตัว ถ้าไม่เชื่อผมจะไปเปิดบัญชีให้ดูก็ได้”

          “ไม่ต้องหรอกท่านยมบาล อาตมาเชื่อท่าน” พูดกับยมบาลแล้วจึงหันไปพูดกับโยมบิดาว่า

          “โยมพ่อ อาตมาพยายามช่วยแล้ว แต่ยมบาลเขาไม่ยอม โยมพ่ออดทนไปก่อนนะ อาตมากำลังปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอยู่ที่วัดป่ามะม่วง แล้วจะแผ่ส่วนกุศลมาให้ อาตมาขอลา จะไปดูสวรรค์สักหน่อย”

          แล้วท่านก็ล่องลอยออกจากเมืองนรกไปเมืองสวรรค์ เยี่ยมเยียนสวรรค์เสียทุกชั้นตั้งแต่ จาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตดี ได้เห็นเทพบุตร เทพธิดาเหาะไปมาอยู่ในอากาศ รูปร่างสะสวยงดงาม มีเครื่องประดับทำด้วยเพชรนิลจินดา ส่องแสงเป็นประกายวูบวาบ

          เมื่อเห็นท่านลอยผ่านหน้า เทพบุตร เทพธิดาเหล่านั้นต่างยกมือทำความเคารพ ท่านทักทายปราศรัยอยู่กับพวกเขา จนได้เวลาอันสมควรแล้วจึงลอยกลับมายังกุฏิ เห็นกายเนื้อของท่านกำลังนั่งสมาธิอยู่ก็รู้ว่า ร่างที่ล่องลอยอยู่นี้เป็น “กายทิพย์” จึงลอยไปเข้ากายเนื้อ แล้วจึงกำหนดลืมตา

          เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับท่านสด ๆ ร้อน ๆ นี้ ทำให้ท่านเข้าใจผิดคิดไปว่าตัวเองสำเร็จแล้ว จึงอยากจะไปกราบเรียนให้ท่านพระครูทราบ ขณะนั้นเป็นเวลาตีสอง คงจะรอให้ถึงรุ่งเช้าไม่ไหว เพราะใจมันร้อนรน อยากให้พระอุปัชฌาย์ได้รู้ว่า ลูกศิษย์ของท่านสำเร็จแล้ว ได้ “เห็นหนอ” แล้ว

          พลันก็นึกถึงที่ท่านพูดอนุญาตไว้ เพราะตอนสามทุ่มเศษ ๆ แสดงว่าท่านจะต้องรู้ว่าศิษย์ของท่านจะมาหาในคืนนี้ คิดได้ดังนั้นจึงเดินดุ่ม ๆ ไปยังกุฏิเจ้าอาวาส โดยไม่สะทกสะท้านต่อความหนาวเย็นของอากาศ

          สุนัขสามสี่ตัวเห็นคนเดินดุ่ม ๆ มาในยามวิกาลเช่นนั้น ก็ส่งเสียงเห่ากรรโชกขึ้น แล้วพากันวิ่งกรูเข้ามา พระบัวเฮียวจึงต้องส่งเสียงทักทายออกไป สุนัขเหล่านั้นพร้อมใจกันหยุดเห่า แล้ววิ่งกลับไปยังที่ที่ตนนอน

          “สมชาย สมชาย เปิดประตูหน่อย” ท่านตะโกนเรียกลูกศิษย์วัด เด็กหนุ่มงัวเงียลุกขึ้นมาเปิดประตู แล้วจึงถามอย่างไม่พอใจนัก

          “หลวงพี่มาทำไมดึก ๆ ดื่น ๆ ผมกำลังหลับสบาย ๆ”

          “หลวงพ่อหลับหรือยัง” ถามแทนคำตอบ ศิษย์วัดมองขึ้นไปเห็นไฟยังสว่างอยู่จึงตอบว่า

          “ยังมั้ง ไฟยังเปิดอยู่นี่”

          “ขอขึ้นไปพบท่านหน่อยได้ไหม”

          “ให้ผมไปถามท่านดูก่อน ปกติท่านไม่อนุญาตให้ใครขึ้นไปข้างบน” พูดแล้วก็ขึ้นไปหาท่านพระครู ยังไม่ทันพูดอะไร ท่านก็พูดขึ้นเสียก่อนว่า

          “พระบัวเฮียวใช่ไหม บอกให้รออยู่ก่อน ประเดี๋ยวฉันจะลงไป” แล้วท่านก็ก้มหน้าก้มตาเขียนหนังสือต่อไปอีกสักครู่ จึงลงมาข้างล่าง

          “มีอะไรหรือ” ท่านทักขึ้น

          “หลวงพ่อยังไม่จำวัดอีกหรือครับ” พระใหม่ถาม

          “ยัง หมู่นี้งานยุ่งมาก ฉันลืมนอนมาหลายวันแล้ว”

          “หลวงพ่อไม่ง่วงหรือครับ”

          “ฉันกำหนดสติอยู่ตลอดเวลา มันก็เลยแก้ง่วงได้ จำไว้เวลาเธอง่วงมาก ๆ ให้ตั้งสติไว้ตรงลิ้นปี่แล้วกำหนด “ง่วง – หนอ  ง่วง – หนอ”  รับรองหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง”

            พระบัวเฮียวกำลังจะเอ่ยปากพูด ก็พอดีท่านพระครูพูดขึ้นว่า

          “นี่เธอรู้ไหม ฉันกำลังเขียนหนังสือคู่มือสอบกรรมฐาน เขียนมาได้ร้อยกว่าหน้าแล้ว เผื่อว่าฉันตายไป จะได้มีตำราไว้สอบอารมณ์ในการปฏิบัติ หนังสือแบบนี้ยังไม่เคยมีใครเขียนมาก่อน”

            “จวนเสร็จหรือยังครับ”

          “ยัง คงอีกหลายปี นี่ฉันเขียนมาปีกว่าแล้ว เพิ่งได้ร้อยกว่าหน้าเอง มันไม่ใช่จะเขียนได้ง่าย ๆ เอาละทีนี้ เธอมีอะไรก็ว่าไป เสร็จธุระแล้วฉันจะได้กลับไปเขียนหนังสือต่อ” ท่านต้องพูดกันเอาไว้ก่อนเพื่อให้ผู้เป็นศิษย์รู้ว่าท่านมีงานที่จะต้องทำรออยู่

          “หลวงพ่อครับ ผมได้ “เห็นหนอ” แล้วครับ” บอกอย่างปีติ

          “อ้อ... เร็วถึงขนาดนั้นเชียวหรือ แล้วรู้ได้ยังไงว่าได้ หรือว่ามีใครมาบอก”

          “ครับ มีเสียงมากระซิบข้างหูผม”

          “กระซิบว่ายังไง”

          “บอกว่า “ท่านสำเร็จแล้ว ท่านสำเร็จแล้ว” ครับ”

            “อ้อ...” ท่านพระครูพูดยิ้ม ๆ พระบัวเฮียวเลยทำหน้าปั้นยาก ท่านพระครูยิ้มแบบนี้ทีไร เป็นได้เรื่องทุกที

          “แล้วเสียงที่เธอได้ยิน เป็นเสียงเดียวกันกับที่ได้ยินเมื่อปีที่แล้วหรือเปล่า”

          “ไม่ใช่แน่ ๆ ครับ เสียงเมื่อคืนไพเราะน่าฟังกว่า”

          “แล้วเขาว่ายังไงอีก” พระอุปัชฌาย์ซัก

          “เขาบอกให้ผมท่องเที่ยวไป อยากไปไหนก็ไปได้ทุกหนทุกแห่ง เพียงแต่นึกเท่านั้นก็ไปได้ แล้วผมก็เลยไปเที่ยวเมืองนรกเมืองสวรรค์ ที่เมืองนรกผมพบโยมพ่อด้วย ผมขอร้องให้ยมบาลให้ช่วยพ่อ แต่ท่านบอกว่าช่วยไม่ได้เพราะแม้แต่แม่ยายท่านเอง ท่านก็ยังช่วยไม่ได้”

          “เหมือนฉันเปี๊ยบเลย” ฉันก็เคยไปเห็นเมืองนรกมาแล้ว ก็เจออย่างที่เธอเล่ามานี่แหละ” พระบัวเฮียวยิ้มแป้นเมื่อท่านพระครูบอกว่า ท่านก็เคยเห็นนรกมาแล้วเช่นเดียวกัน

          “ถ้าอย่างนั้นผมก็สำเร็จแล้วจริง ๆ ใช่ไหมครับ” ถามอย่างตื่นเต้น

          “ใครบอกเธอล่อบัวเฮียว เธอถูกมารมันหลอกเอาน่ะซิ ถูกมารหลอกเหมือนกับที่ฉันเคยถูกหลอกมาแล้ว”

          คราวนี้พระบัวเฮียวถึงกับใจฝ่อแฟบลงไป ถามท่านเสียวอ่อยว่า

          “หมายความว่าอย่างไรครับ แสดงว่าผมเห็นไม่จริงใช่ไหมครับ”

          “จริงซิ เธอเห็นจริง ๆ แต่สิ่งที่เธอเห็นมันไม่จริง เข้าใจหรือยังล่ะ”

          “ยังไม่เข้าใจครับ หลวงพ่อกรุณาขยายความหน่อยเถิดครับ ผมชักงง” คนซื่อตอบซื่อ ๆ

          “คือที่เธอไปเห็นนรกสวรรค์น่ะ เธอเห็นจริง ๆ เหมือนกับตอนที่ฉันเห็น ฉันก็เห็นจริง ๆ แต่นรกสวรรค์ที่เธอเห็นหรือที่ฉันเห็นนั้น มันไม่จริง เรียกว่า เราสองคนต่างก็ไปเห็นของไม่จริงมาว่างั้นเถอะ ที่ว่าไม่จริง เพราะมันเป็นภาพลวงตาที่จิตของเราเป็นผู้สร้างขึ้น เขาเรียกว่า เทวบุตตมาร ฉันถึงว่าเธอถูกมารหลอกเอาไงล่ะ”

          “ถ้าอย่างนั้นแสดงว่า นรกสวรรค์ไม่ได้มีอยู่จริงใช่ไหมครับ”

          “มีซี เป็นชาวพุทธจะว่านรกสวรรค์ไม่มีได้ยังไง อีกหน่อยถ้ามีเวลาไปอ่านพระไตรปิฎกซะ จะได้หายสงสัย นั่นอยู่ในตู้นั่น” ท่านชี้ไปที่ตู้พระไตรปิฎก ซึ่งมีหนังสือเล่มสีน้ำเงินบรรจุอยู่เต็ม

          “หลวงพ่อครับ ในเมื่อนรกสวรรค์มีจริง แล้วทำไมสิ่งที่ผมกับหลวงพ่อเห็นจึงไม่จริงเล่าครับ” พระใหม่ยังไม่หายสงสัย แทนคำตอบ ท่านพระครูกลับย้อนถามว่า

          “เธอไม่แปลกใจบ้างหรือบัวเฮียว ว่าเธอมาปฏิบัติแค่สองวันก็สามารถเห็นนรกสวรรค์ ทีคนอื่น ๆ เขาปฏิบัติกันมาเป็นสิบ ๆ ปี ก็ยังไม่เห็น”

          “มันแล้วแต่บุญบารมีของแต่ละคนนี่ครับ” คนซื่อเลี่ยงตอบไปอีกทางหนึ่ง

          “ตอบอย่างนั้น มันก็มีส่วนถูกอยู่เหมือนกัน นี่จำไว้นะบัวเฮียว อะไรก็ตามที่เธอเห็นตอนนั่งสมาธิ เธอสามารถพิสูจน์ได้ว่ามันจริงหรือไม่จริง”

          “พิสูจน์อย่างไรครับ” ถามอย่างสนใจ

          “ง่ายนิดเดียว เมื่อไหร่ที่เธอทิ้งองค์บริกรรม ก็แน่ใจได้เลยว่าสิ่งที่เธอเห็นมันเป็นภาพลวง แต่ถ้าเธอเห็นทั้ง ๆ ที่ยังมีสติรู้ตัวทั่วพร้อม สิ่งนั้นมันก็จริง พูดง่าย ๆ ก็คือต้องใช้สติไปเห็น ทีนี้เข้าใจหรือยังล่ะ”

          “เข้าใจแล้วครับ หลวงพ่อครับ เมื่อกี้หลวงพ่อพูดถึงเทวปุตตมาร มันเป็นอย่างไรครับ”

          “อ้อ... มารที่ว่านี้ก็คือสิ่งที่มาขัดขวางไม่ให้เราทำความดี อย่างการนั่งสมาธินี่ถือว่าทำความดีขั้นสูงสุด อย่าลืม ทาน ศีล ภาวนา สามอย่างนี้มีระดับไม่เท่ากัน

          การให้ทาน ถือเป็นความดีขั้นธรรมดา

          การรักษาศีล เป็นความดีขั้นสูงกว่าทาน

          การบำเพ็ญภาวนา เช่นการนั่งสมาธิ การเดินจงกรม ถือเป็นความดีขั้นสูงสุด

เมื่อไรที่เราทำความดี เมื่อนั้นจะต้องผจญมาร มารมี ๕ ประเภทด้วยกันคือ

            ขันธมาร       ได้แก่ ความปวดเมื่อย คนตรงโน้น เจ็บตรงนี้ เวลาที่เธอปวดขาแทบหลุด นั้นแหละเธอกำลังผจญกับขันธมาร

          กิเลสมาร       ได้แก่ กิเลสต่าง ๆ เช่น นั่งแล้วอยากเห็นเลข ก็เป็นโลภะ นึกขัดเคืองเคียดแค้นคนอื่น ก็เป็นโทสะ หรือนั่งเพลิน ๆ ติดสุข ก็เป็นโมหะ

          เทวปุตตมาร ก็เช่นเห็นเทพบุตร เทพธิดา เห็นนรกสวรรค์ อย่างที่เธอเผชิญมาแล้ว

          อภิสังขารมาร ก็ได้แก่ ความคิดปรุงแต่ง อยากเห็นโน่นเห็นนี่ อยากได้ “เห็นหนอ” อยากสำเร็จเป็นพระอรหันต์

          ส่วนอันสุดท้ายคือ มัจจุราช อันนี้ร้ายที่สุด เพราะถ้าตายเสียแล้วโอกาสที่จะมานั่ง พอง – หนอ  ยุบ – หนอ ก็ไม่มี เพราะฉะนั้นเธอจะต้องรู้เท่าทันมารเหล่านี้ ขอให้จำไว้ว่า “มารไม่มี บารมีไม่เกิด” เพราะฉะนั้น เธอต้องเอาชนะมารให้ได้”

          พระบวชใหม่เดินกลับกุฏิอย่างเหงาหงอย แอบรำพึงในใจว่า “ไม่น่าเล้ยตูเอ๊ย ถูกมารหลอกเข้าจนได้”

 

มีต่อ......๖