สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

S00008

 

๘...

        รัฐมนตรี คุณหญิง และผู้ติดตามพากันกลับไปแล้ว พระบัวเฮียวซึ่งนั่งสงบเสงี่ยมฟังท่านพระครูเล่าเรื่องคุณนายลำไยตั้งแต่ต้นจนจบ ได้ถามขึ้นว่า

        “หลวงพ่อครับ ทำไมคุณหญิงนั่นแกกราบเบญจางคประดิษฐ์ไม่ได้ แต่ยังได้เป็นคุณหญิงเล่าครับ

        ท่านพระครูมองหน้าคนถาม ยิ้มตามแบบฉบับของท่านที่ใคร ๆ ชมว่ามีเสน่ห์ แล้วจึงพูดขึ้นว่า

        “เอ...ถามแปลกดี รู้สึกว่าเธอชอบถามอะไรแปลก ๆ อยู่เรื่อยนะ”

        “ก็ผมอยากรู้นี่ครับ” ตอบซื่อ ๆ

        “จะรู้ไปทำไม” บางครั้งท่านพระครูก็คิดว่า การได้ต่อปากต่อคำกับคนช่างซักก็ทำให้เพลินดีเหมือนกัน

        “รู้ไว้เพื่อประดับความรู้ซีครับหลวงพ่อ”

        “อ้อ...ถ้าอย่างนั้นก็จะได้บอกให้เอาบุญ”

        “ครับ รับรองว่าหลวงพ่อได้บุญล้ายหลาย”

        “เอ...เธอถามว่าอะไรนะ จำไม่ได้แล้ว” ท่านแกล้งยั่ว

        “หลวงพ่อความจำชักไม่ดีแล้วน่ะซีครับ แสดงว่าแก่แล้ว” คนซื่อได้ที

        “ชะชะ ได้ทีขี้แพะไหลเชียวนะ บัวเฮียวนะ”

        “เขาเรียกว่า ได้ทีขี่แพะไล่ต่างหากล่ะครับ”

        “ไล่ใครล่ะ”

        “ไล่แมวครับ”

        “งันก็แล้วไป นึกว่าไล่เธอละก็ยุ่งเชียวละ” คนซื่ออยากรู้เร็ว ๆ จึงถามขึ้นอีกว่า “หลวงพ่อยังไม่ได้ตอบผมเลยครับว่า ทำไมคนกราบเบญจางคประดิษฐ์ไม่เป็น ถึงได้เป็นคุณหญิง”

        “ก็ทำไมคนกราบเป็นถึงไม่ได้เป็นคุณหญิงเล่า การเป็นคุณหญิงเขาตัดสินหรือวัดกันที่การกราบการไหว้เมื่อไหร่ล่ะ คนที่จะได้เป็นคุณหญิงเขาต้องได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ หรือที่เรียกว่า สายสะพายนั่นไง สงสัยอีกซีว่าเครื่องราชอิสริยาภรณ์ คืออะไร” ท่านพระครูแกล้งดักคอ

        “เครื่องราชอิสริยาภรณ์ก็คือสายสะพายน่ะซีครับ” คนความจำดีตอบ

        “อ้อ...เก่งนี่” ท่านพระครูออกปากชม

        “แต่ผมก็ยังสงสัยอยู่ดีว่า ไอ้สายสะพายนี่มันเป็นแบบเดียวกับสายตะพายที่เขาเอามาร้อยจมูกวัวจมูกควายหรือเปล่า ถ้าเป็นแบบเดียวกัน คุณหญิงคุณนายมิต้องถูกร้อยจมูกหรือ” คนขี้สงสัยถามอย่างสงสัย

        “มันไม่เหมือนกันหรอก สายตะพายนั่นมันเป็นเชือก เวลาเขาเอาเชือกมาร้อยจมูกวัวจมูกควาย เขาเรียกว่า สนตะพาย แต่สายสะพายเป็นผ้าแถบยาว ๆ กว้างประมาณคืบนึง พอจะเข้าใจหรือยังล่ะ”

        “ครับ ถ้าอย่างนั้นก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ที่ผมแอบสังเกตเห็นคือ คุณหญิงแกท่าทางข่มผัวน่าดูเลย แล้วก็ไม่มีมารยาท ไปแอบฟังท่านคุยกัน ขนาดสมชายไปบอกก็ไม่ยอมลงมา นี่ถ้าเป็นเมียผมละก็ ฮึ่ม...ตบล้างน้ำเลย”

        คนช่างสังเกตยกมือขวาขึ้นตบอากาศอยู่ไปมาพลางทำเสียง “เฟี้ยว ๆ” ไปด้วย เห็นคนฟังไม่ว่ากระไร จึงวิจารณ์ต่อ

        “ท่าทางรัฐมนตรีก็กลัวเมียน่าดูเลย เสียเชิงชายหมด”

        “เอาเถอะน่า ใครเขาจะข่มกัน จะกลัวกันยังไงก็เรื่องของเขา มันหนักกบาลเธอหรือไงเล่า ถึงได้เดือดร้อนนัก” ท่านพระครูว่าให้

        “มันก็ไม่หนักหรอกครับ แต่ว่ามันก็ไม่ดีนัก ตัวเองออกใหญ่โตทั้งรูปร่างและตำแหน่ง ไม่น่ามากลัวผู้หญิงตัวเล็กนิดเดียว”

        “นี่แน่ะบัวเฮียว” คราวนี้ท่านพระครูพูดเป็นงานเป็นการ

        “นักปฏิบัติน่ะเขาไม่สนใจเรื่องของคนอื่นหรอก คือสติปัฏฐาน ๔ นั้น ไม่มีข้อไหนที่บอกให้สนใจสิ่งนอกตัว กาย เวทนา จิต ธรรม ล้วนอยู่ในตัวเราทั้งสิ้น เอาละทีนี้จะได้อธิบาย จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ซึ่งเป็นสติปัฏฐานข้อที่สาม สองข้อแรกมีอะไรบ้าง ไหนบอกมาซิ” ท่านทดสอบความจำคนเป็นศิษย์

        “กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน กับ เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ครับ”

        “เธอเข้าใจแล้วใช่ไหมว่าคืออะไร”

        “ครับ”

        “ดีแล้ว คราวนี้ก็มาพูดถึง จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ที่เธอกำลังคิด กำลังพูดอยู่นี่ มันเป็นจิตตานุปัสสนา เพราะเธอเอาจิตออกไปนอกตัว ไม่ใช้สติตามดูจิตของตัวเอง ปล่อยให้จิตซัดส่ายไปในเรื่องไม่เป็นเรื่อง เหมือนอย่างที่เธอกำลังพูดเรื่องคนอื่นอยู่ขณะนี้

        ดังนั้นนักปฏิบัติที่ดีจะต้องไม่มองออกนอกตัว ไม่วิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น ใครจะเป็นอย่างไรก็เรื่องของเขา หน้าที่ของนักปฏิบัติคือ ใช้สติตามดู ตามรู้ กาย เวทนา จิต ธรรม ที่เกิดขึ้นในตัวเอง อย่ามองออกนอกตัว จำไว้”

        “หลวงพ่อครับ การใช้สติตามดูกายกับเวทนานั้น ผมพอจะเข้าใจ แต่ตามดูจิตนี่ผมยังไม่เข้าใจครับ หลวงพ่อกรุณาอธิบายได้ไหมครับ”

        “ก็กำลังจะอธิบายอยู่นี่ไง เอาละ ฟังให้ดี จิตตานุปัสสนานั้น ถ้าว่ากันโดยหลักก็คือ การใช้สติตามดุจิตของตน ตามรู้จิตของตน รู้ชัดว่าจิตของตนในขณะนั้น ๆ เป็นอย่างไร เช่น มีราคะ โทสะ โมหะ หรือไม่ ฟุ้งซ่าน หรือเป็นสมาธิ หลุดพ้นหรือไม่หลุดพ้น เป็นต้น

        ขณะที่เธอเดินจงกรมหรือนั่งสมาธิแล้วจิตคิดไปในเรื่องต่าง ๆ เธอก็ต้องรู้ในขณะนั้นว่า จิตกำลังฟุ้งซ่าน ก็พยายามทำให้มันเป็นสมาธิ ด้วยการเอาสติมาจดจ่ออยู่กับอิริยาบถ จะเป็นขวาย่าง ซ้ายย่าง หรือ พอง – ยุบ ก็แล้วแต่เธอกำลังเดินหรือนั่ง พูดง่าย ๆ ก็คือ ให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ตลอดเวลาทุกขณะจิต อย่าลืม

        พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์นั้น เมื่อย่อลงแล้วเหลือเพียงข้อเดียวคือสติ ปัจฉิมโอวาทที่ประท่านแก่พระอานนท์และภิกษุห้าร้อยรูป ตอนใกล้จะปรินิพพานก็ทรงเน้นเรื่องสติ รู้ไหมปัจฉิมโอวาทนั้นว่าอย่างไร” ท่านถามพระบวชใหม่ทั้งที่รู้ว่าฝ่ายนั้นไม่รู้

        “ไม่ทราบครับ หลวงพ่อก็ทราบว่าผมไม่ทราบ แล้วยังจะแกล้งถามให้ผมอับอายขายหน้า” พระใหม่ตัดพ้อ

        “อ้าว ก็เปิดโอกาสให้เธอได้พูดบ้างยังไงล่ะ เดี๋ยวจะมาหาว่าฉันตีตั๋วพูดอยู่คนเดียว”

        “นิมนต์หลวงพ่อพูดเถอะครับ ผมขอตีตั๋วฟังอย่างเดียว”

        “เอาละ ถ้าอย่างนั้นก็ฟังต่อ ปัจฉิมโอวาทที่พระพุทธองค์ทรงประทานแก่บรรดาภิกษุมีใจความว่า.........ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราผู้ตถาคตเตือนท่านทั้งหลายให้รู้ สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลาย จงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่นให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด....

        นี่แหละเป็นพระวาจาสุดท้ายของพระพุทธองค์ เพราะหลังจากตรัสเช่นนี้แล้วมิได้ตรัสอะไรอีก ทีนี้เธอเห็นหรือยังว่า คำสอนทั้งปวงที่ได้ประทานตลอด ๔๕ พรรษานั้นมาจบลงที่สติตัวเดียวนี้”

        “ไม่เห็นมีคำว่าสติเลยนี่ครับหลวงพ่อ” คนจำเก่งแต่คิดไม่เก่งท้วงขึ้น

        “อ้าว ก็ที่ทรงเตือนให้ไม่ประมาทนั้นไม่ใช่สติหรอกหรือ ไม่ประมาทก็คือให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ทุกลมหายใจนั่นเอง ในสมัยที่พระองค์ยังทรงพระชนมชีพอยู่นั้น ทรงให้ภิกษุตื่นนอนตั้งแต่ตีสี่มาเดินจงกรม นั่งสมาธิ และกำหนดรู้อิริยาบถ ซึ่งก็คือการเจริญสติปัฏฐาน ๔ อันถือเป็นหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติ ไหนเธอลองบอกมาซิว่า หน้าที่ของนักบวชในพุทธศาสนามีอะไรบ้าง”

        “แห่ะ แห่ะ ไม่ทราบครับ ก็หลวงพ่อยังไม่เคยสอน ท่านมหาก็สอนแต่กิจวัตรสิบอย่างตอนก่อนจะบวช มีหนึ่ง ลงอุโบสถ สอง บิณฑบาตเลี้ยงชีพ สาม สวดมนต์ไหว้พระ สี่ กวาดอาวาสวิหาร ลานพระเจดีย์ ห้า รักษาผ้าครอง หก อยู่ปริวาสกรรม เจ็ด โกนผม ปลงหนวด ตัดเล็บ แปด ศึกษาสิกขาบทและปฏิบัติพระอาจารย์ เก้า เทศนาบัติ สิบ พิจารณาปัจเวกขณ์ทั้ง ๔ เป็นต้น ไม่ทราบว่าจะเป็นอันเดียวกับที่หลวงพ่อถามหรือเปล่า

        “ที่เธอว่ามานั้นเป็นรายละเอียด แต่หน้าที่หลักของบรรพชิตที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้มีเพียงสามข้อ คือศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรม และสั่งสอนธรรม อันนี้เป็นหน้าที่หลัก ศึกษาธรรม ก็คือต้องเรียนรู้วิธีปฏิบัติ เช่น วิธีเจริญสติปัฏฐาน ๔ เมื่อรู้แล้วต้องลงมือปฏิบัติ ไม่ใช่รู้เฉย ๆ เหมือนอย่างพวกนักปรัชญา เมื่อปฏิบัติได้แล้วก็ต้องสั่งสอนคนอื่นได้”

        “เหมือนกับที่หลวงพ่อปฏิบัติอยู่ใช่ไหมครับ”

        “ใช่ ฉันเป็นลูกพระพุทธเจ้า ก็ต้องปฏิบัติตามที่พระองค์ทรงสอน ถึงเธอก็เช่นเดียวกัน กล่าวกันว่า ในสมัยพุทธกาล มีเมืองเล็ก ๆ เมืองหนึ่งชื่อ กุรุ ชาวเมืองกุรุนิยมเจริญสติปัฏฐาน ๔ กันมาก ถึงขนาดเอามาเป็นคำทักทายปราศรัยกันในชีวิตประจำวัน

        เช่นเวลาเขาเดินไปพบคนรู้จัก แทนที่จะถามว่า “สวัสดี ไปไหนมาจ๊ะ ทานข้าวหรือยัง” อะไรทำนองนี้ เขากลับทักทายกันว่า “ท่านผู้เจริญ ท่านเจริญสติปัฏฐาน ๔ แล้วหรือยัง” ถ้าเขาตอบว่า “ฉันเจริญสติปัฏฐาน ๔ อยู่จ้ะ” เขาก็จะยกมือขึ้นสาธุ สาธุ แปลว่า ดีแล้ว ดีแล้ว แต่ถ้าคนตอบ บอกว่า “ยังเลยจ้ะ” คนถามก็จะพูดว่า “อัปเปหิ อัปเปหิ” แปลว่า จงหลีกไป จงหลีกไป” แล้วเขาก็จะรีบเดินหนีเหมือนดั่งว่า พบสิ่งอัปมงคล

        เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่ยังไม่ได้เจริญสติปัฏฐาน ก็ต้องรีบปฏิบัติ จะได้เป็นมงคลทั้งกับตัวเองและผู้อื่น เมื่อชาวเมืองกุรุพากันเจริญสติปัฏฐาน ๔ เป็นนิจศีล ก็ทำให้เมืองเล็ก ๆ นั้นเจริญรุ่งเรือง ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์

        ครั้นพระพุทธองค์ทรงทราบ จึงเสด็จไปที่เมืองนั้น และทรงทำนายว่าต่อไปในกาลข้างหน้า เมืองกุรุจะกลายเป็นเมืองใหญ่ที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก ซึ่งก็เป็นจริงตามพุทธทำนาย เพราะเมืองกุรุในปัจจุบันก็คือ เมืองนิวเดลีซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศอินเดีย

        ทีนี้เธอเห็นหรือยังล่ะว่า การเจริญสติปัฏฐาน ๔ มีประโยชน์ มีอานิสงส์มากมายเพียงใด”

        “เห็นแล้วครับ และผมตั้งใจว่าจะพากเพียรให้ถึงที่สุด”

        “ดีแล้ว เดี๋ยวกลับไปเดินจงกรมชั่วโมงครึ่ง เอาระยะละครึ่งชั่วโมง แล้วนั่งสมาธิอีกชั่วโมงครึ่ง เวลานอนก็อย่าลืมกำหนด พอง – ยุบ ไปจนกว่าจะหลับ พยายามจับให้ได้ว่า หลับไปตอนยุบหรือตอนพอง จับได้หรือยังล่ะ”

        “ยังครับ”

        “เอาละ ยังไม่ได้ก็ไม่เป็นไร คืนนี้พยายามใหม่ ได้เมื่อไหร่ให้มาบอกทันที เข้าใจไหม”

        “ครับ แล้วตอนสองทุ่มผมก็ไม่ต้องมาสอบอารมณ์ใช่ไหมครับ เพราะนี่ก็ทุ่มกว่าแล้ว”

        “ไม่ต้อง กลับไปอาบน้ำอาบท่า แล้วลงมือปฏิบัติไปจนกว่าจะถึงเวลานอน พรุ่งนี้ก็ตื่นตี ๔ มันจะง่วงเหงาหาวนอนก็ต้องฝืนใจ การทำความดีต้องฝืนใจจึงจะสำเร็จ เอาละ กลับไปได้แล้ว คืนนี้ฉันจะสอนครูสามคนให้เดินจงกรมระยะที่ ๔ เหลือเวลาพรุ่งนี้อีกวันเดียว เขาก็จะกลับกันแล้ว”

        “พรุ่งนี้หลวงพ่อจะให้เขาต่อระยะที่ ๕ กับ ๖ เลยไหมครับ”

        “ก็คิดว่ายังงั้น แต่ก็ต้องดูกำลังเขาก่อนว่าจะรับได้ไหม คนเป็นครูใหญ่คงได้ แต่อีกสองคนไม่ค่อยแน่ใจ สำหรับเธอวันละหนึ่งระยะดีแล้ว ค่อยเป็นค่อยไป เพราะเธอต้องอยู่ที่นี่อีกนาน”

        ท่านอธิบายเพื่อไม่ให้คนเป็นพระน้อยใจว่าท่านให้ความสำคัญกับคนเป็นฆราวาสมากกว่า

        “ถ้าเช่นนั้น ผมกราบลาละครับ เดี๋ยวต้องกลับไปสรงน้ำแล้วสวดมนต์ ทำวัตรเย็น จากนั้นจึงจะลงมือปฏิบัติ”

        “ไปเถอะ ขอให้พากเพียรให้ดี บุคคลจะล่วงทุกข์ได้ก็ด้วยความเพียร นี่แหละ จำเอาไว้”

        พระบัวเฮียวกลับไปแล้ว ท่านพระครูจึงได้สรงน้ำชำระร่างกาย เหลือเวลาอีก ๒๐ นาทีจะสองทุ่ม ท่านจึงเขียนหนังสือคู่มือสอบอารมณ์กรรมฐาน ซึ่งเขียนมาได้ปีเศษแล้ว และคงต้องใช้เวลาเขียนอีกหลายปีกว่าจะเขียนเสร็จ

        วันใดที่ภารกิจรัดตัวมาก อย่าว่าแต่จะเจียดเวลามาเขียนหนังสือเลย แม้เวลาจะจำวัดก็ยังไม่มี ยิ่งเรื่องขบฉันด้วยแล้ว ท่านให้ความสนใจน้อยที่สุด

        ด้วยเหตุนี้ สุขภาพของท่านจึงไม่อยู่ในข่ายที่เรียกว่าสมบูรณ์แข็งแรงเท่าใดนัก แม้จิตของท่านจะปลอดโปร่ง ไม่หิว ไม่ง่วง และไม่รู้สึกกระวนกระวาย แต่สังขารร่างกายของท่านก็ยังอยู่ภายใต้กฎธรรมชาติ ซึ่งย่อมจะต้องทรุดโทรมและร่วงโรยไปเร็วกว่าร่างกายที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดีและสม่ำเสมอ

        เวลาสองทุ่มตรง คณะของครูสฤษดิ์ก็มาถึง ท่านพระครูสอบอารมณ์ให้ทีละคน แล้วจึงสอนการเดินจงกรมระยะที่สี่ซึ่งมี “สี่หนอ” โดยเพิ่ม “ยกส้น – หนอ”  ลงไปอีกหนึ่ง นอกนั้นเหมือนกับระยะที่สามทุกประการ การเดินจงกรมระยะที่สี่ จึงบริกรรมว่า “ยกส้น – หนอ ยก – หนอ ย่าง – หนอ เหยียบ – หนอ” เดินเป็นกันแล้ว ท่านจึงให้กลับไปปฏิบัติต่อยังศาลาที่พัก คนทั้งสามลุกออกไปเมื่อเวลาสามทุ่มครึ่ง

        ท่านพระครูกำลังจะขึ้นไปเขียนหนังสือต่อ ก็พอดีลูกศิษย์วัดมาเรียนว่า มีแขกมาขอพบ เมื่อท่านอนุญาต ชายหญิงคู่หนึ่งจึงเดินเข่าเข้ามาหาในมือประคองพานคนละใบ มีผ้าไตรเนื้อดีหนึ่งสำรับวางอยู่ในพานของผู้ชาย ส่วนของผู้หญิงเป็นดอกไม้ธูปเทียน เมื่อเดินเข่าเข้ามาใกล้ในระยะหัตถบาส จึงวางพานไว้ทางขวามือของตน แล้วกราบเบญจางคประดิษฐ์สามครั้ง

        “เจริญพร โยมมายังไงกันค่ำ ๆ มืด ๆ” ท่านเจ้าอาวาสทัก

        “กระผมขับรถมาเองครับ จะพาภรรยามาขอขึ้นกรรมฐานจากหลวงพ่อครับ” ชายผู้เป็นสามีตอบ

        “อ้อ...แล้วจะอยู่กี่วันล่ะ”

        “ไม่อยู่ครับ จะให้เขากลับไปปฏิบัติที่บ้าน ผมสอนเดินจงกรม นั่งสมาธิให้เขาบ้างแล้ว มีปัญหาอะไรค่อยมากราบเรียนถามหลวงพ่อ” สามีเป็นคนตอบเช่นเคย

        ท่านพระครูจำได้ว่าชายผู้นี้ได้มาเข้ากรรมฐานที่วัดนี้เป็นเวลาเจ็ดวัน เมื่อปีที่แล้ว หลังจากนั้นก็ไป ๆ มา ๆ อยู่เสมอ

        “ถ้ายังงั้นก็ตามใจ แต่ถ้ามีโอกาสก็น่าจะมาอยู่สักเจ็ดวัน อยู่บ้านมันรักษาอารมณ์ได้ไม่ค่อยต่อเนื่อง เดี๋ยวเรื่องโน้นเรื่องนี้มากระทบ”

        “ค่ะ ดิฉันก็ว่าจะหาโอกาสมาให้ได้ รอให้ลูกคนเล็กโตอีกสักหน่อย ตอนนี้เพิ่งจะได้สามขวบกับสี่เดือน” ภรรยาพูดบ้าง

        “จะเอายังงั้นก็ได้ แต่บางคนลูกยังเล็กอยู่เขาก็มา ลูกศิษย์อาตมาคนหนึ่งเป็นอาจารย์อยู่กรุงเทพฯ เขามาเข้ากรรมฐานครั้งแรกเมื่อลูกชายอายุได้สี่เดือน มาอยู่ตั้งเจ็ดวัน แล้วก็มาบ่อย ๆ ใจเด็ดดีเหลือเกิน เขาบอกอาตมาว่า “หลวงพ่อคะ หนูไม่ยอมให้ลูกเต้ามาเป็นเกาะแก่งกันกลางทางกุศลเหมือนคนอื่น ๆ เขาหรอกค่ะ” อาตมาฟังแล้วก็นึกว่า เออเข้าใจคิด เข้าใจพูด”

        “อาจารย์ตัวที่เล็ก ๆ หน้าคม ๆ สวย ๆ ใช่ไหมครับ ผมเคยเห็นมาที่นี่บ่อย ดูเหมือนอายุจะราว ๆ ยี่สิบ ไม่น่าเชื่อว่ามีลูกแล้ว”

        “นั่นแหละ อายุสามสิบกว่าแล้วแต่ดูหน้าเด็ก ระวังนะ ชมคนอื่นว่าสวยต่อหน้าแม่บ้าน กลับไปเนื้อเขียว อาตมาไม่รู้นะ”

        “ดิฉันชินแล้วค่ะหลวงพ่อ ลูกคนอื่น เมียคนอื่นเขาชมว่าดีว่าสวยไปหมด ทีลูกตัวเมียตัว ไม่มีอะไรดีสักอย่าง ถึงดีก็ว่าไม่ดี” ฝ่ายภรรยาตั้งท่า “เปิดศึก” ท่านพระครูเห็นท่าไม่ดีจึงพูดจาไกล่เกลี่ยว่า

        “ผู้ชายก็อย่างนี้ทุกคนแหละโยม ไปถือสาให้เสียอารมณ์ทำไมเล่า ว่าแต่ว่าที่โยมจะกลับไปทำกรรมฐานที่บ้านน่ะ อาตมาขออนุโมทนาด้วย ทำได้วันละนิดละหน่อยก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำ นึกว่าสะสมหน่วยกิตเอาไว้ ท่านใช้คำพูดทันสมัย

        เสร็จจากพิธีขอกรรมฐาน สองสามีภรรยาจึงช่วยกันประเคนผ้าไตรถวายแด่ท่านพระครู แล้วจึงบอกลา

        “เดี๋ยวก่อนอย่างเพิ่งกลับ ประเดี๋ยวจะให้ดูของดี โน่นมากกันโน่นแล้ว”

        ท่านบุ้ยใบ้ไปที่ชายหญิงกลุ่มใหญ่ซึ่งพากันเดินตรงมาที่กุฏิของท่าน คนเดินหน้าถือถาดทองขนาดใหญ่มาด้วยใบหนึ่ง เมื่อมาถึง ยังไม่ทันได้ทำความเคารพเจ้าของกุฏิ พวกเขาก็พากันถอดเครื่องประดับ เช่น สร้อยคอ แหวน นาฬิกาข้อมือ สร้อยข้อมือ ออกใส่ถาดจนเต็มแล้วจึงช่วยกันยกไปวางต่อหน้าท่านพระครู

        สามีภรรยาผู้มาก่อนแอบนึกในใจว่า “โธ่เอ๋ย เราเอาแค่ผ้าไตรสำรับเดียวมาถวาย แต่คนกลุ่มนี้ช่างใจบุญ ใจกุศลกว่าเราหลายเท่านัก ขนาดของมีค่าในตัวก็พากันถอดมาถวายจนหมด ใจบุญแท้ ๆ”

        แล้วพวกเขาเหล่าก็พากันคะยั้นคะยอว่า “หลวงพ่อเสกหน่อย ช่วยเสกให้หน่อยจะได้ขลัง” ท่านพระครูจึงทำทีเป็นนั่งหลับตาทำปากขมุบขมิบแล้วเป่าพรวด ๆ ลงไปสามครั้งจึงลืมตา พูดว่า

        “เอ้าเสกแล้ว เสกให้แล้ว พอท่านพูดจบ คนเหล่านั้นก็กรูกันเข้ามาที่ถาด หยิบคนละหมุบคนละหมับเอาของของตัวคืน แล้วจึงพากันลากลับ ไม่ลืมเอาถาดทองใบใหญ่กลับไปด้วย เพราะเดี๋ยวนี้จะต้องไปให้หลวงพ่อวัดโน้นเสกอีก

        ท่านพระครูส่ายหน้าแล้วพูดกับสองสามีภรรยาว่า “พวกนี้เขาอีกระดับหนึ่ง ชวนให้มาเข้ากรรมฐาน เขาไม่เอา ชอบให้เสกให้เป่าตะพรึด ของจริงไม่ชอบ ชอบของปลอม” ท่านพูดยิ้ม ๆ

        “หลวงพ่อไม่อธิบายให้เขาฟัง หรือครับ” ชายผู้สามีถาม

        โธ่โยม ต่อให้อธิบายจนขาดใจเขาก็ไม่ฟัง เขารับได้แค่นั้น ก็ต้องแล้วแต่กรรมของแต่ละคน พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสสอนไว้ว่า “กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้ทราบและให้ประณีต....ถ้าคนเราเข้าใจอะไร ๆ ได้เหมือนกันหมด โลกมันก็ไม่ยุ่งซี โยมเคยได้ยินชื่อหลวงพ่อเต๋ไหมเล่า”

“เคยครับ ได้ยินกิตติศัพท์ว่าท่านเก่งทางเสกเป่า”

“นั่นแหละ เสกจนตายคาที่เลย ขนาดท่านนอนพะงาบ ๆ จวนจะมรณภาพอยู่แล้ว พวกลูกศิษย์ยังเอาตุ๊กตามาให้เสกทีละหลายร้อยตัว ท่านก็ต้องเป่าต้องเสก เป่าจนลมไม่มี พวกลูกศิษย์ก็ว่าหลวงพ่ออดทนเอาหน่อย อดทนเอาหน่อย จวนเสร็จแล้ว ท่านก็ตามใจ เป่าให้จนลมหายใจสุดท้าย อาตมาเห็นแล้วสงสารท่าน แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะพวกลูกศิษย์เขาจะกันเอาอย่างนั้น พอพวกเขารู้ว่าท่านสิ้นลมกลับพากันบ่นเสียอีกว่า “แหมหลวงพ่อ ให้ช่วยแค่นี้ก็ต้องตายด้วย”

“หลวงพ่อครับ แล้วที่ว่าเสกเป่าแล้วจะทำให้ศักดิ์สิทธิ์หรือขลังจริงไหมครับ”

“มันจะไปขงไปขลังอะไรเล่า ก็เชื่อกันไปผิด ๆ หลวงพ่อเต๋เองท่านก็รู้ แต่ท่านบอกว่าห้ามเขาไม่ได้ อธิบายเขาก็ไม่ยอมฟัง ก็เหมือนกันที่อาตมาไม่สามารถอธิบายให้คนกลุ่มเมื่อกี้เข้าใจได้นั้นแหละ ถ้าจะเปรียบกับบัวสี่เหล่า ก็คงได้แก่พวกปทปรมะ สอนยังไงก็รับไม่ได้เพราะสติปัญญามีแค่นั้น แค่รับของปลอม”

“พวกบัวที่ติดโคลนตม ไม่มีโอกาสโผล่พ้นน้ำขึ้นมารับแสงอาทิตย์ได้ใช่ไหมครับ”

“นั่นแหละ พวกนั้นแหละ ผลสุดท้ายก็ตกเป็นเหยื่อของพวกเต่าพวกปลาไป โยมจำไว้เป็นตัวอย่างก็แล้วกัน

“ครับ เมื่อก่อนผมก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ต่อเมื่อมาพบหลวงพ่อถึงได้ตาสว่างขึ้น เพราะบารมีของหลวงพ่อแท้ ๆ เชียว”

        “ไม่ใช่บารมีของอาตมาหรอก บารมีของโยมเองนั่นแหละ ไม่งั้นคนกลุ่มเมื่อกี้เขาก็เหมือนโยมแล้วซี เรื่องอย่างนี้ต้องทำเองสร้างเองนะโยม”

        “ครับ เอ้อ...หลวงพ่อครับ กระผมกับภรรยารบกวนเวลาของหลวงพ่อมานาน เห็นจะต้องลากลับเสียที หลวงพ่อจะได้พักผ่อน”

        “จะกลับแล้วหรือ เอาละ ขอให้เจริญสุขนะโยมนะ หมั่นพากันเจริญกรรมฐานทุกวัน ไม่มีอะไรจะช่วยเราได้นอกจากตัวเราเอง แล้วว่าง ๆ อย่าลืมมาเข้ากรรมฐานสักเจ็ดวันนะโยมนะ” ท่านหันไปพูดกับคนเป็นภรรยา

        “ค่ะ” ฝ่ายนั้นตอบ แล้วสองสามีภรรยาจึงพากันลากลับ เมื่อเวลาเกือบสองยาม

 

มีต่อ........๙