สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๑๔

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

ธันวาคม ๒๕๓๗

S00014

 

๑๔...

          พระบัวเฮียวกับนายจ่อยมาถึงกุฏิท่านพระครูก่อนเวลาสิบแปดนาฬิกาเล็กน้อย นางสาวจุกเตรียมพานดอกไม้ธูปเทียนรออยู่แล้ว หล่อนมากับแม่ชีวัยกลางคน ซึ่งนายจ่อยไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน แม่ชีก้มลงกราบพระบัวเฮียวสามครั้ง และนางสาวจุกก็ทำตาม

                “จุกมารอที่นี่นานแล้วหรือ” นายจ่อยถามคู่หมั้น หล่อนดูแปลกตาเมื่ออยู่ในชุดแม่ชี แม้จะไม่ได้โกนผม

          “ก่อนหน้าพี่จ่อยนิดเดียวเองจ้ะ” หญิงสาวตอบ พระบัวเฮียวดูคู่หมั้นของนายจ่อย ตั้งข้อสังเกตว่าปากของหล่อนเป็นสีชมพูเรื่อ ๆ ไม่ยักกะเป็นสีแดงเหมือนปากโยมผ่องพรรณกับโยมวรรณวิไล สามเมืองกรุงกับสาวบ้านนอกคงจะต่างกันตรงสีของปากนี่เอง แต่ถึงอย่างไรคุณโยมสองพี่น้องก็สวยกว่า ท่านคิดเองสรุปเองเสร็จสรรพ

          “หลวงพี่อย่ามองคู่หมั้นผมนานนักซี หึงนะ” นายจ้อยเย้า

          “อ้าว...คู่หมั้นคุณหรอกหรือ ก็ไม่แนะนำแล้วอาตมาจะไปรู้ได้ยังไง” พระบัวเฮียวเย้าบ้าง

          “ก็ใครจะไปทราบได้ล่ะครับว่าหลวงพี่ไม่รู้ หลวงพี่ฉลาดปราดเปรื่องออกจะตายไป ไม่น่ามาตกม้าตายตอนจบเล้ย” นายจ่อยเปรียบเทียบไปคนละเรื่อง

          “อ้าว นี่จะจบแล้วหรือ ก็ยังไม่ทันได้ออกแขก ไหงจะลาโลงเสียแล้ว” พระบัวเฮียวอุตส่าห์โต้ตอบให้เข้าเรื่อง นางสาวจุกมองหน้าคู่หมั้นที มองหน้าพระที ออกสงสัยว่าเขากำลังพูดเรื่องอะไรกัน นึกได้ว่ายังไม่ได้ให้นายจ่อยรู้จักแม่ชี จึงพูดขึ้นว่า “พี่จ่อยจ๊ะ นี่แม่ชีเจียนที่หลวงน้าให้ฉันไปอยู่ด้วย เป็นหัวหน้าสำนักชีของวัดนี้” นายจ่อยยกมือไหว้ พลางออกปากฝากฝัง “ผมขอฝากคู่หมั้นด้วยนะครับ”

          “ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ สมชายเขาบอกฉันแล้วว่าหนูจุกเขาเป็นคู่หมั้นของหลานชายหลวงพ่อ” แม่ชีเรียกท่านพระครูว่า “หลวงพ่อ” เช่นเดียวกับที่คนอื่น ๆ เรียก แม้เธอจะแก่กว่าท่านหลายปีก็ตาม

“แม่ชีมาอยู่วัดนี้นานแล้วหรือครับ” นายจ่อยถาม

          สมัยที่เขาเป็นเณรอยู่ที่วัดนี้ยังไม่มีชีอยู่ในวัด

          “เข้าปีที่หกแล้วจ้ะ ฉันมาจากวัดบ้านใต้โน่น” พูดพลางชี้มือไปทางทิศใต้ของวัด

          “แล้วทำไมย้ายวัดเสียล่ะครับ”

          “โอ๊ย ไม่ย้ายยังไงไหว ทั้งพระทั้งเณรขาดระเบียบวินัย ศีลขาด ศีลพร่องจนแทบไม่มีเหลือ ข้างฝ่ายพวกชีด้วยกันก็อิจฉาตาร้อน ทะเลาะเบาะแว้งกันไม่เว้นแต่ละวัน หาความสงบไม่ได้” แม่ชีเล่า นายจ่อยแอบคิดในใจว่า “เอาอีกแล้ว รายการตำหนิพระอีกแล้ว เฮ้อ ไม่เข้าใจเลยว่าพระสมัยนี้ ท่านคิดยังไงกันถึงได้ทำให้คนเขาว่าอยู่เรื่อย”

            “ฉันก็เลยมาขอหลวงพ่ออยู่วัดนี้ พาเพื่อนชีมาด้วยอีกสามคน หลวงพ่อท่านให้พวกฉันอยู่บนศาลา สองปีต่อมาท่านถึงสร้างสำนักชีให้ ก็ค่อยเป็นสัดเป็นส่วนหน่อย ตอนนี้มีแม่ชีอยู่ราว ๆ สามสิบคน” แม่ชีชี้แจง

          “แล้วเป็นไง พระวัดนี้ดีหมดทุกรูปไหม” นายจ่อยตั้งใจ “จับผิด” พระวัดนี้ โดยเฉพาะองค์ที่ชื่อ “บัวเฮียว”

          “ถ้าหลวงพ่อละก็ดีไม่มีที่ติ แต่รูปอื่น ๆ ฉันไม่รับประกัน” แม่ชีแบ่งรับแบ่งสู้

          “โยม อาตมาก็ไม่เคยทำเสียหายอะไรนะโยม” พระบัวเฮียวร้อนตัว

          “ก็ดีแล้วนี่คะ จะได้อยู่ไปนาน ๆ ขืนทำเสียหายมีหวังถูกสั่งย้ายวัด” แม่ชีพูดตรงไปตรงมา พระใหม่เลยนิ่ง

          ท่านพระครูลงมาเวลาสิบแปดนาฬิกาตรง ทุกคนที่นั่ง ณ ที่นั้นต่างพากันทำความเคารพ ยิงมิทันที่ท่านจะได้พูดจาทักทายผู้ใด อาคันตุกะสามคน เป็นสตรีสอง บุรุษหนึ่งก็พากันคลานเข้ามา ท่าคลานของคนอายุน้อยที่สุดนั้นดูตุ้มต๊ะตุ้มตุ้ยเนื่องจากเจ้าตัวน้ำหนักมาก หล่อนกราบท่านพระครูสามครั้ง แล้วบอกบุรุษกับสตรีสูงอายุที่มาด้วยว่า

          “เตี่ยจ๊ะ แม่จ๊ะ นี่ท่านพระครูไงกราบท่านเสียซิ” บิดามารดาทำตามคำสั่งของบุตรสาว แล้วสตรีผู้นั้นจึงกล่าวขึ้นว่า

          “หลวงพ่อจำหนูได้หรือเปล่าคะ” หล่อนแทนตัวเองว่า “หนู” ทั้งที่อายุอานามแก่กว่าท่านพระครูถึงสามปี

          “จำได้สิ คุณนายดวงสุด ท่านผู้ว่าไม่ได้มาด้วยหรอกหรือ” ท่านถามถึงสามีของคุณนายซึ่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด

          “ไม่ได้มาค่ะ หนูมาจากท่าพระไปรับเตี่ยกับแม่มาเข้ากรรมฐาน เตี่ยชื่อเส็งค่ะ คนเขาเรียกกันว่า เถ้าแก่เส็ง ส่วนแม่ชื่อกิมง้อ” หล่อนแนะนำ

          “ดีจริง อุตส่าห์พาพ่อแม่มาสร้างกุศล ลูกดี ๆ อย่างนี้หายากนะเถ้าแก่นะ” ท่านพูดกับเถ้าแก่เส็ง ฝ่ายนั้นยิ้มพลางพยักหน้ารับ

          “แล้วคุณนายจะให้พ่อแม่อยู่กี่วันละ” ท่านถาม

          “เจ็ดวันค่ะ หรือเตี่ยกับแม่ว่าไง” หล่อนถามความเป็นจากบิดามารดา

          “ตามใจลื้อ ลื้อจาให้เตี่ยอยู่กี่วังก็แล้วแต่ลื้อ” ถ้าแก่เส็งตอบ เขาไม่เคยขัดใจบุตรสาว ไม่ว่าหล่อนจะให้ทำอะไร เขาทำได้ทั้งนั้น ก็มีลูกสาวอยู่คนเดียว อุตส่าห์ทะนุถนอมมาตั้งแต่หัวเท่ากำปั้น แล้วหล่อนก็ไม่เคยทำให้พ่อแม่ต้องผิดหวัง ความรู้ก็จบถึงมหาวิทยาลัย ฐานะก็เป็นถึงคุณนายผู้ว่าราชการจังหวัด และที่สำคัญที่สุดก็คือ หล่อนมีหลานชายหัวแก้วหัวแหวนให้เขาถึงสี่คน คนโตเรียนหมอใกล้จบแล้ว

          “งั้นก็ลองดูสักเจ็ดวันก่อน ถ้าชอบค่อยอยู่ต่อ” ลูกสาวสรุป

          “เมื่อไหร่คุณนายจะมาเข้าบ้างล่ะ” ท่านพระครูถาม คุณนายดวงสุดามาที่วัดนี้บ่อย มาทำบุญบ้าง ฟังเทศน์บ้าง แต่ยังไม่เคยเข้ากรรมฐาน

          “หนูยังไม่ว่างเลยค่ะหลวงพ่อ เดี๋ยวก็ต้องเตรียมจัดงาน หาเงินช่วยกาชาด เอาไว้ให้คุณเอี่ยมปลดเกษียณแล้วค่อยพากันมาเข้า” หล่อนหมายถึงสามีซึ่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด

          “อาตมาว่ามันจะไม่ยังงั้นน่ะซี พอถึงเวลานั้นเข้าจริง ๆ ก็จะมาบอกว่าต้องเลี้ยงหลาน มีหลายรายเชียวที่อาตมาชวนแล้วมาไม่ได้ เช่นอ้างว่าลูกยังไม่โต พอลูกโตก็มาไม่ได้ เพราะต้องเลี้ยงหลาน พอหลานโตยังไม่ทันได้เลี้ยงเหลน ก็กลับบ้านเก่าเสียแล้ว เลยไม่ได้บุญกุศลติดตัวไป อาตมากลัวว่าคุณนายจะเป็นเหมือนเขาน่ะสิ”

          “ไม่เหมือนค่ะ ไม่เหมือนแน่ ๆ หนูกับคุณเอี่ยมสัญญากันไว้แล้วค่ะ ว่าจะไม่ยอมเลี้ยงหลานเด็ดขาด ลูกใครใครก็เลี้ยงกันเอาเอง”

          “อ้อ คุณนายเลี้ยงลูกเองว่างั้นเถอะ” คราวนี้คุณนายยิ้มเขิน ๆ กล่าวแก้ว่า

          “ก็เตี่ยกับแม่เขาเห่อหลาน ไม่ยอมให้หนูเลี้ยงสักคน เขาคงสงสารหนู สงสารหลานที่ต้องระหกระเหินย้ายตามคุณเอี่ยมไปจังหวัดโน้นจังหวัดนี้ ก็เลยเหมาไปเลี้ยงให้ทั้งหมด”

            “ฉันเลี้ยงลูกคนเดียวมันไม่ทันเบื่อ ก็เลยเลี้ยงหลานเสียเบื่อเลยค่ะ” คุณกิมง้อพูดบ้าง เธอพูดไทยชัดกว่าผู้เป็นสามี เพราะเพื่อนฝูงของเธอเป็นคนไทยเสียเป็นส่วนใหญ่

          “ประเดี๋ยวมีหลานของลูกมาให้เลี้ยง ก็หายเบื่อมั้ง” ท่านพระครูหมายจะลองใจ

          “ไม่หายค่ะหลวงพ่อ ฉันสัญญากับเตี่ยหนูดวงไว้แล้วว่า ออกจากวัดไป เราจะปฏิบัติกรรมฐานกันทุกวัน งานการก็เลิกทำ เราสบายแล้ว เก็บหอมรอมริบไว้มากพอสมควร ในชัยชราก็จะหาบุญหากุศลใส่ตัวไปเป็นเสบียงในชาติหน้า ที่ฉันได้ดิบได้ดีในชาตินี้ก็คงจะเพราะทำบุญมาดี ก็ต้องทำดีต่อ ๆ ไป อีกเป็นการเติมเสบียงเข้าไว้” คุณกิมง้อจาระไน

          “แหม แจ๋วจริง ๆ ความคิดของอาม้านี่แจ๋ว ๆ” ท่านพระครูชมเปาะ ท่านมักเรียกสตรีที่อายุแก่กว่าท่านว่า “อาม้า”

          “นาน ๆ อาตมาถึงจะเจอคนแบบนี้สักคน ที่เห็น ๆ น่ะ ประเภทไม่ยอมละไม่ยอมวางแทบทั้งนั้น เมื่อวานมาหาอาตมาคนนึง หน้าตาเศร้าหมองมาเชียว ถูกเมียยักยอกเครื่องเพชรหนีตามหนุ่มไป ก็จะไม่ให้หนียังไงเล้า ตัวเองอายุเจ็ดสิบ เมียเพิ่งจะยี่สิบแปด อาตมาเคยเตือนแล้วเขาไม่เชื่อ มันเป็นไปตามกฎแห่งกรรม เอาละ ไหน ๆ ก็พูดมาแล้ว ก็จะเล่าให้ฟังเสียเลย ฟังไว้เป็นอุทาหรณ์นะ” แล้วท่านก็ออกตัวว่า “นี่อาตมาไม่ได้เอาเขามานินทานะ เพราะไม่ได้ออกชื่อออกเสียง ที่เล่าเพราะอยากให้เอาไปคิดเป็นการบ้านว่ากรรมดี กรรมชั่วมันมีจริง ๆ” ท่านหยุดทบทวนเรื่องราวประเดี๋ยวหนึ่งแล้วจึงเริ่มต้นเล่า

          “คนนี้เขาเป็นนายพล จะเป็นพลโทหรือพลเอก อาตมาก็จำไม่ได้เสียแล้ว เขาเคยมาหาอาตมาครั้งแรกเมื่ออายุ  ๕๘ ก็สิบสองปีมาแล้วมาถึงก็บอก “หลวงพ่อ ผมจะแต่งงานอีกได้ไหม” อาตมาก็ถามว่า “ตอนนี้ท่านอายุเท่าไรล่ะ”

          “ห้าสิบแปด”

          “แล้วเจ้าสาวล่ะ”

          “สิบหก เขาสวย เป็นลูกสาวจ่าลูกน้องผมเอง พ่อแม่เขาก็ยินดียกให้” นายพลเขาเล่าให้อาตมาฟังอย่างนี้ อาตมาก็ตั้งสติกำหนด “เห็นหนอ” ก็เห็นหมด เห็นอะไรรู้ไหม ท่านถามพระบัวเฮียว

          “เห็นกฎแห่งกรรมใช่ไหมครับ” พระบัวเฮียวตอบแบบย้อนถามอีกทีหนึ่ง

          “ถูกแล้ว อาตมาก็ได้ทราบว่า ท่านนายพลผู้นี้มีอกุศลกรรมติดมาแต่ชาติก่อน โดยเฉพาะเรื่องผิดศีลข้อกาเม จำไว้นะ คนที่ผิดศีลห้าน่ะ ต้องรับกรรมทุกคน คือถ้าผิดศีลมาจากชาติก่อน ชาตินี้ต้องมารับกรรม อาตมาวิจัยมาแล้ว ถูกต้องแน่นอนไม่มีผิดพลาดเลย เป็นต้นว่าคนที่มีปาณาติบาตติดมาหกสิบเปอร์เซ็นต์จากชาติก่อน มาชาตินี้ต้องอายุสั้น ถึงจะเกิดมาสวยมารวยยังไงก็จะอยู่ได้ไม่นาน จะต้องตายตั้งแต่อายุยังไม่ถึงครึ่งคน พวกที่อทินนาทานติดมาหกสิบเปอร์เซ็นต์ มีทรัพย์สินเงินทองจะต้องถูกเขาลักขโมย บางที่ก็ถูกปล้น เรียกว่าทรัพย์อยู่กับตัวไม่ได้ มันร้อน เพราะเคยไปลักขโมยของคนอื่นเขามา พวกที่กาเมสุมิจฉาจารติดมาหกสิบเปอร์เซ็นต์ จะมีเมีย มีผัว ต้องเป็นของคนอื่นเขาหมด คือมีเมีย เมียก็มีชู้ มีผัว ผัวก็มีเมียน้อย”

          “มีเมียน้อยก็ดีนี่ครับหลวงพ่อ ผมว่าดีกว่ามีเมียมาก” พระบัวเฮียวอดขัดคอไม่ได้ ท่านพระครูจึงแก้ว่า

          “มีเมียน้อยในที่นี้แปลว่ามีเมียมาก”

          “แล้วมีเมียมากในที่นี้จะแปลว่าอะไรล่ะครับ”

            “อ้าว ก็แปลว่ามีเมียน้อยน่ะซี ทำฉลาดน้อยไปได้” คราวนี้พระหนุ่มจึงสงบปากสงบคำลงได้ ท่านพระครูจึงเล่าต่อ

          “ส่วนคนที่มีมุสาวาทติดมาหกสิบเปอร์เซ็นต์ มักถูกเขาหลอก แล้วพูดจาอะไรก็มักไม่มีคนเชื่อถือถ้อยคำ สำหรับข้อสุดท้าย อันนี้สำคัญมาก เพราะกรรมมันตกทอดไปถึงลูก “คือคนที่ผิดศีลข้อห้า ถ้าติดมาหกสิบเปอร์เซ็นต์ รับรองได้ว่า มีลูกกี่คน ๆ ปัญญาอ่อนหมด ถ้าไม่ถึงกับปัญญาอ่อนก็ไม่ฉลาด เรียนไม่ถึงขั้นปริญญา นี่อาตมาวิจัยมาหมดแล้ว ทีนี้มาต่อเรื่องนายพล อาตมาก็เห็นว่า....”

          “ขอประทานโทษเถอะค่ะหลวงพ่อ หนูยังไม่เข้าใจเรื่องศีลข้อสุดท้าย ว่าทำไมกรรมจะต้องตกมาถึงลูก ก็แปลว่าทำกรรมแทนกันได้น่ะซีคะ” คุณนายดวงสุดาถามขึ้น

          “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกคุณนาย เราทำกรรมแทนกันไม่ได้ แต่มันเป็นเรื่องของกรรมจัดสรร คือคนที่จะเกิดมาปัญญาอ่อนนั้น ก็เพราะตัวเขาทำกรรมมาเอง ไม่ใช่พ่อแม่ทำให้ แต่กรรมมันจัดสรรให้ไปเกิดกับคนที่ผิดศีลข้อห้า มันก็เลยดูเหมือนว่าทำกรรมแทนกัน แต่ที่จริงไม่ใช่ กรรมมันเพียงแต่ไปจัดสรรให้ไปประจวบกันเข้าเท่านั้น พูดอย่างนี้คุณนายพอจะเข้าใจหรือยัง”

          “พอจะเข้าใจค่ะ นิมนต์หลวงพ่อเล่าเรื่องนายพลต่อเถิดค่ะ” คุณนายพูดพร้อมกับประนมมือขึ้น “นิมนต์ท่านพระครูเล่าต่อ

          “อาตมาก็เห็นว่านายพลท่านผิดศีลข้อสามติดมาจากชาติก่อน มีเมียห้าคนก็หนีตามชู้หมด อาตมาก็แกล้งลองใจโดยถามว่า แล้วภรรยาท่านว่ายังไงล่ะ เขาจะยอมให้แต่งกับเด็กคราวลูกคราวหลานหรือไง” ท่านก็โกหกอาตมา บอกว่า ภรรยาหย่ากันแล้ว และก็บอกด้วยว่ามีภรรยาคนเดียว กำลังจะแต่งงานกับคนที่สองที่อายุสิบหกนี่ อาตมาเลยพูดตรง ๆ ว่าท่านมาโกหกเลย ภรรยาท่านหนีตามชู้ไปใช่ไหม ท่านมีภรรยามาแล้ว ๕ คน ล้วนแต่หนีตามชู้ไปหมด ต้องพูดความจริง อาตมาถึงจะคุยด้วย ถ้าโกหกก็เลิกพูดกัน

          ในที่สุด ท่านก็ยอมรับว่าใช่ แล้วก็ถามอาตมาว่ารู้เรื่องของท่านได้ยังไง ใครมาเล่าให้ฟัง อาตมาบอกไม่มีใครเล่าหรอก อาตมารู้เอง ท่านก็ศรัทธา ถามว่าอยากแต่งงานกับเด็กคนนี้ ขอให้อาตมาช่วยดูให้ด้วยว่าจะอยู่กันยืดไหม อาตมาก็บอกว่า อย่าแต่งเลย เพราะท่านมีกรรมข้อกาเมสุมิจฉาจาร ติดมา ถ้าแต่งก็ต้องเป็นเหมือนคนอื่น ๆ อีก ท่านก็บอกให้อาตมาช่วย อาตมาบอกไม่สามารถฝืนกฎแห่งกรรมได้ ก็ขอร้องให้ท่านเลิกล้มความตั้งใจ ท่านก็ไม่เชื่อ ก็กลับไปแต่งงานจนได้

          แต่งงานได้สองปีก็เกษียณ ผู้หญิงก็มีชู้ ท่านก็ไม่โกรธ เพราะรู้ว่ามันเป็นกฎแห่งกรรม ผู้หญิงเขาก็ทนอยู่ด้วยเพราะอยากได้สมบัติ จะรอให้ผัวตายว่างั้นเถอะ อยู่มาสิบสองปีนายพลก็ยังไม่ตาย เขาก็เลยขนเครื่องเพชรและขอมีค่าอื่น ๆ หนีไปอยู่กับชู้เสียเลย นายพลก็เสียใจ นึกถึงอาตมาขึ้นมาได้ก็อุตส่าห์มาหา มาปรับทุกข์ แต่อาตมาก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก ชวนให้มาเข้ากรรมฐานก็ไม่ยอม นี่แหละฟังเอาไว้แล้วเก็บไปคิดเป็นการบ้าน” ฟังเรื่องของนายพลแล้ว ผู้ที่นั่ง ณ ที่นั้น ต่างพากันสลดใจ ขณะเดียวกันก็คิดว่าพวกตนโชคดีที่มีโอกาสมาเข้ากรรมฐาน

          “แล้วนี่คุณนายจะกลับหรือว่าจะค้างวัดซักคืนสองคืน” ท่านพระครูถามคุณนายดวงสุดา

          “กลับเลยค่ะ คนขับรถเขารออยู่ เดี๋ยวจะให้เขาขนเสื้อผ้าของเตี่ยกับแม่มาให้ หลวงพ่อจะให้พักที่ไหนคะ”

          “โยมผู้หญิงให้พักกับแม่ชี ส่วนโยมผู้ชายให้พักกุฏิพระบัวเฮียว คุณนายไม่ต้องห่วง อาตมาจะจัดการให้เรียบร้อย”

          เมื่อกี้หลวงพ่อเรียกพ่อแม่ของคุณนายว่า เถ้าแก่ กับอาม้า ไหงมาเปลี่ยนเป็นโยมผู้หญิงโยมผู้ชายเสียล่ะครับ” พระบัวเฮียวคิดจะถามท่านพระครูอย่างนี้ หากก็เกรงว่าจะถูกท่านย้อนให้ต้องอับอายขายหน้า จึงเพียงแค่คิดเท่านั้น

          คุณนายดวงสุดา หยิบซองสีขาวออกมาจากกระเป๋าเสื้อเพื่อถวายแด่ท่านพระครู

          “หนูขอถวายปัจจัยเป็นค่าอาหารเลี้ยงพระเณรและผู้มาเข้ากรรมฐานค่ะ” ท่านพระครูยื่นผ้ากราบออกไปรับประเคน คุณนายประเคนเสร็จจึงกราบสามครั้งพร้อมกล่าวลา

          ก่อนลุกออกไป ได้หันไปพูดกับบิดามารดาว่า “หนูไปละนะ ขอให้เตี่ยกับแม่ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ อย่าเกเรล่ะ แล้วก็อย่าลืมแผ่เมตตาอุทิศส่วนบุญไปให้หนูด้วย” พระบัวเฮียวรู้สึกว่าคุณนายสอนพ่อแม่ราวกับสอนลูก เลยชักสงสัยว่าใครเป็นพ่อเป็นแม่ ใครเป็นลูกกันแน่ คุณนายลุกออกไปสักประเดี๋ยว คนขับรถก็นำกระเป๋าเสื้อผ้าสองใบมาส่งให้เถ้าแก่เส็งกับภรรยา แล้วจึงกลับออกไป

          ท่านพระครูให้สองสามีภรรยาขึ้นกรรมฐานพร้อมกับนายจ่อยและคู่หมั้น โดยีแม่ชีเจียนเป็นผู้กล่าวนำ ให้คนทั้งสี่กล่าวตาม ขึ้นกรรมฐานแล้ว ท่านพระครูจึงแนะแนวทางแก่คนทั้งสี่ว่า “ก่อนที่จะเริ่มต้นปฏิบัติ จำเป็นต้องรู้ปริยัติสักเล็กน้อยพอเป็นเค้า นั่นก็คือ ต้องเข้าใจความหมายของคำว่า จิต อารมณ์ และสติ เสียก่อน เพราะสามคำนี้มีความสำคัญมาก ไหนพระบัวเฮียวช่วยอธิบายหน่อยซิว่า จิตคืออะไร”

          “จิต คือ ธรรมชาติรับรู้อารมณ์ ครับ” พระบวชใหม่ตอบ

          “แล้วอารมณ์คืออะไร แม่ชีเจียนช่วยอธิบายสู่กันฟังหน่อยเป็นไร” ท่านถามแม่ชีเป็นการทดสอบไปในตัว

          “อารมณ์ คือ สิ่งที่จิตไปยึดเหนี่ยวค่ะ” แม่ชีตอบ

          “ถูกแล้ว อารมณ์ในที่นี้จึงแตกต่างจากความหมายที่ใช้กันโดยทั่วไป เพราะหมายถึงอารมณ์ ๖ ซึ่งได้แก่ รูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ และ ธรรมารมณ์ โยมสองคนพอจะเข้าใจที่อาตมาพูดไหม”

          “ม่ายเข้าจาย” เถ้าแก่เส็งตอลพร้อมกับส่ายหน้า ส่วนคุณกิมง้อเพียงแต่ยิ้ม

          “ไม่เป็นไร ตอนนี้ยังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร ปฏิบัติมาก ๆ แล้วจะรู้ได้เอง” ท่านให้กำลังใจ รู้ว่าผู้มีอายุสองคนนี้ต้องทำได้ และจะก้าวหน้ากว่าคนหนุ่มสาวที่นั่งทำตาปริบ ๆ อยู่ต่อหน้าท่านเสียอีก

          “เอาละ เมื่อเข้าใจความหมายของจิตและอารมณ์แล้ว ทีนี้ก็มาทำความเข้าใจกับคำว่า สติ สติ แปลว่า ความระลึกรู้ สติทำหน้าที่ผู้จิตไว้กับอารมณ์ ในพระสูตรให้ความหมายของสติว่า เป็นเครื่องผูกจิต”

          “ทำไมถึงต้องผูกจิตไว้ล่ะจ๊ะหลวงน้า” นางสาวจุกถาม นายจ่อก็คิดจะถามแบบเดียวกันนี้ พอดีคู่หมั้นถามขึ้นก่อน

          “การที่ต้องผูกจิตก็เพราะจิตมันไม่อยู่นิ่ง มันซัดส่ายไปหาอารมณ์โน้นอารมณ์นี้อยู่ตลอดเวลา การจะฝึกจิตให้ตั้งมั่นอยู่กับอารมณ์เดียวจึงต้องเอาสติมาผูกมันไว้ เหมือนเวลาเราจะฝึกวัว เราก็ต้องใช้เชือกผูกวัวไว้กับหลักให้มั่นเสียก่อนจึงจะฝึกได้ สติจึงเปรียบเหมือนเชือก จิตก็คือวัว ส่วนอารมณ์ก็คือหลัก สติทำหน้าที่ผูกจิตไว้กับอารมณ์ ก็เหมือนเชือกทำหน้าที่ผูกวัวไว้กับหลัก ทีนี้พอจะเข้าใจหรือยัง”

          “เข้าใจครับหลวงน้า เข้าใจแจ่มแจ๋วเลย” คราวนี้คนเลี้ยงวัวรีบตอบ

          “โยมสองคนล่ะ พอจะเข้าใจที่อาตมาพูดบ้างไหม” ท่านถามบิดามารดาของคุณดวงสุดา

          “พอจะเข้าใจค่ะ” คุณกิมง้อตอบขณะที่เถ้าแก่เส็งพยักหน้า

          จากนั้นท่านเจ้าของกุฏิจึงขึ้นไปเขียนหนังสือต่อยังขั้นบนของกุฏิ แม่ชีเจียนพานางสาวจุกและคุณกิมง้อกลับไปฝึกเดินจงกรมที่สำนักชีซึ่งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาด้านหลังวัด

          ท่านพระครูเคยเล่าให้แม่ชีฟังว่า เมื่อสิบกว่าปีก่อนนี้ ส่วนที่เรียกว่าหลังวัดเคยเป็นหน้าวัดมาก่อน เพราะการไปมาต้องอาศัยเรือมาขึ้นฝั่งที่หน้าวัด ต่อเมื่อมีการตัดถนนสายเอเชียผ่านด้านหลังวัด ผู้คนก็หันมาใช้ถนนแทนเรือ หลังวัดจึงกลายเป็นหน้าวัดไปโดยปริยาย

          พระบัวเฮียวสอนเดินจงกรมให้นายจ่อยและเถ้าแก่เส็งที่กุฏิท่านพระครูนั่นเอง เพราะกว้างขวางพอที่จะเดินได้ครั้งละหลาย ๆ คน ส่วนกุฏิที่ท่านอยู่นั้นมีเนื้อที่พอเดินได้เพียงคนเดียว คืนนี้ก็ต้องนอนกันถึงสามคน ก็คงจะอึดอัดอยู่สักหน่อย โชคยังดีที่เป็นหน้าหนาว ท่านพระครูท่านสั่งให้สมชายนำหมอนและผ้าห่มไปเพิ่มแล้ว

          สาธิตวิธีเดินจงกรมให้เป็นตัวอย่างแล้ว พระบัวเฮียวจึงให้คนทั้งสองลองเดิน เถ้าแก่เส็งตั้งอกตั้งใจเต็มที่และเดินได้ถูกต้องตามที่ครูสอน ส่วนนายจ่อยจับ ๆ จด ๆ สอนก็ยากจนครูออกจะหนักใจ ก็พอจะมองออกว่าอุปนิสัยไม่มาทางนี้

          “หลวงพ่อท่านสอนไว้ว่า การทำความดีต้องฝืนใจ อาตมารู้ว่าคุณไม่ชอบ แต่ในเมื่อคุณตั้งใจที่จะทำความดีแล้ว คุณก็ต้องฝืนความรู้สึกให้ได้” ท่านพูดเป็นงานเป็นการ เห็นท่านเอาจริง นายจ่อยชักกลัว อีกอย่างก็ชักจะรู้สึกอายคนแก่ที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาเดินอย่างขะมักเขม้น “เอาละวะไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ลองตั้งใจทำดูหน่อยเป็นไร คงไม่ถึงตายหรอกน่า” นายจ่อยให้กำลังใจตัวเอง แล้วก็เลยตั้งอกตั้งใจเดินเป็นอย่างดียิ่ง

 

มีต่อ........๑๕