สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม – ๑๘

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

ธันวาคม ๒๕๓๗

S00018

 

๑๘...

            “หลวงพ่อครับนายจ่อยเขาบอกว่าหลวงพ่อมีกระจกวิเศษ” เป็นคำถามแรกที่พระบัวเฮียวถามท่านพระครู

                “งั้นหรือ แล้วเขาเล่าอะไรให้เธอฟังอีก”

          “เขาเล่าว่ากระจกวิเศษสามารถดูเนื้อคู่ได้ ที่เขาได้คู่หมั้นกับโยมจุกก็เพราะกระจกหลวงพ่อ”

          “อ้อ เขาว่ายังงั้นหรือ พูดถึงนายจ่อยทำให้ฉันนึกได้ว่าเขาจะแต่งงานวันที่ ๙ ธันวาที่จะถึงนี้ อีกไม่กี่วันแล้วซีนะ เขานิมนต์พระวัดเรา ๙ รูปเลย ไม่มีเจริญพระพุทธมนต์เย็น เราเห็นจะต้องออกกันตั้งแต่ตีสี่ ฉันจะให้เธอกับมหาบุญไปด้วย คงเต็มรถพอดี” ท่านนึกขอบใจครูสฤษดิ์ที่ซื้อรถตู้มาถวาย

          “ครับ แต่ผมอยากรู้เรื่องกระจกวิเศษนะครับ หลวงพ่อจะกรุณาเล่าให้ผมฟังได้หรือเปล่า แล้วถ้าผมจะขอ...เอ้อ...ขอดูเนื้อคู่ หลวงพ่อจะขัดข้องไหมครับ” พูดอย่างเกรงใจเป็นที่สุด

            “โธ่เอ๋ยบัวเฮียว รู้สึกว่าเธออยากจะมีคู่เสียจริงนะ จำไม่ได้หรือที่ฉันเคยบอกว่าดวงเธอไม่มีเนื้อคู่”

          “จำได้ครับ”

          “งั้นก็แปลว่าเธอไม่เชื่อ”

          “เชื่อครับ แต่ผมอยากให้กระจกตรวจสอบอีกที ก็หลวงพ่อบอกผมไว้หลายเดือนแล้ว ตอนนั้นเนื้อคู่ผมอาจจะยังไม่เกิด ตอนนี้คงจะเกิดแล้ว” ท่านพระครูอยากจะว่าแรง ๆ แต่เมื่อนึกได้ว่าอีกฝ่ายยังหนุ่มยังแน่น ก็ต้องคิดถึงเรื่องอย่างนี้อันเป็นธรรมชาติธรรมดาของคนหนุ่ม คิดได้ดังนี้จึงพูดขึ้นว่า

          “เอาละ เมื่อเธออยากรู้ ฉันก็จะเล่าให้ฟัง” แล้วท่านจึงเริ่มต้นเล่าว่า

          “ฉันได้วิชานี้มาจากหลวงพ่อศุข วัดมะขามเฒ่า ตั้งแต่ฉันบวชใหม่ ๆ ผู้ที่จะเรียนวิชานี้ได้จะต้องได้กสิณ ฉันก็ฝึกอาโปกสิณอยู่หลายเดือน จึงได้ไปเรียนกับท่าน เป็นวิชาไสยศาสตร์ กระจกหมอดูนี้ดูแม่นอยู่สองเรื่อง คือเรื่องของหาย กับดูเนื้อคู่ เชื่อไหม ถ้าฉันสึกออกไปหากินใต้ต้นมะขามสนามหลวง รับรองว่ารวยไม่รู้เรื่อง เพราะคนเขาชอบดูเนื้อคู่กัน โดยเฉพาะพวกอาจารย์สาว ๆ นี่ชอบดูนัก”

          “แล้วทำไมหลวงพ่อไม่สึกล่ะครับ เป็นผมสึกไปเสียตั้งนานแล้ว” พระบัวเฮียวขัดขึ้น

          “ก็ถึงว่าซี แต่ทำไมฉันถึงไม่สึกก็ไม่รู้” ท่านแกล้งเอออวย “รวบรัดตัดใจความก็คือ ฉันได้วิชาหมอดูจากหลวงพ่อศุข ที่นี้พอคนรู้ก็พากันมาให้ดูใหญ่ วิธีดูก็คือต้องเสกคาถาก่อนแล้วจึงเป่าไปที่กระจก เป็นกระจกแปดเหลี่ยมนะ ไม่ใช่กระจกธรรมดา เช่น สมมุติว่าเขามาดูเนื้อคู่ พอเสกคาถาลงไป คนที่จะมาเป็นเนื้อคู่ก็จะไปปรากฏที่กระจำ ทีนี้เวลาจะลบก็ต้องใช้น้ำมนต์ลบถึงจะออก ถ้าไม่ใช้น้ำมนต์ก็จะติดอยู่อย่างนั้นถึงเจ็ดวันจึงจะลบไปเอง

            นายจ่อยตอนนั้นเขาเป็นเณร อายุเพิ่งจะสิบห้า แต่มารบเร้าให้ดูเนื้อคู่ แหมพอภาพอีจุกติดในกระจก โกรธฉันเสียยกใหญ่ หาว่าฉันแกล้ง เสร็จแล้วเป็นไง หนีพ้นอีกจุกเสียที่ไหน” ท่านนึกภาพ “อีจุก” เด็กขี้มูกมากคนนั้นแล้วยังอดขำไม่ได้

          “เห็นว่าหลวงพ่อต้องเทข้าวทิ้งน้ำเพราะโยมจุกเป็นเหตุจริงหรือเปล่าครับ แล้วไม่กลัวผิดวินัยหรือครับ”

          “กลัวสิ ทำไม่จะไม่กลัว แต่มันคลื่นไส้ก็เลยบอกเณรจ่อยว่าเราเลี้ยงปลากันเถอะ แหมอีกจกนะอีจุก เล่นเอาฉันเทข้าวทิ้งน้ำทุกวัน ตอนบวชใหม่ ๆ ฉันก็ไม่ได้เป็นพระดิบพระดีเท่าไหร่หรอก” ท่านสารภาพ

          “แล้วทำไมเดี๋ยวนี้ถึงดีได้ละครับ” คนฟังย้อนถาม

          “ก็ตั้งแต่ได้เรียนกรรมฐานจากพระในป่า ฉันเลยกลับเนื้อกลับตัวได้ รู้ดีรู้ชั่วขึ้นมาเองเพราะการปฏิบัติ นับว่าเป็นบุญของฉัน ไม่เช่นนั้น ป่านนี้อาจกลายเป็นมารศาสนาไปแล้วก็ได้” ท่านพระครูหัวเราะหึหึ ก่อนที่จะเล่าต่อไปว่า

          “อยู่มาวันหนึ่ง สมภารจุ่นวัดบ้านเหนือก็มาขอให้ดูให้”

          “ดูของหายหรือครับ”

          “ไม่ใช่ ดูเนื้อคู่” ท่านลงเสียงหนักตรง “ดูเนื้อคู่”

            “เนื้อคู่ใครครับ”

          “ก็เนื้อคู่ท่านน่ะสิ อายุท่านก็ไม่เท่าไหร่ แค่หกสิบสอง อายุหกสิบสองมาให้ดูเนื้อคู่ สมภารนะสมภาร”

          “แล้วหลวงพ่อดูให้ไหมครับ”

          “ฉันก็ว่าจะไม่ดูเพราะเห็นท่านแก่จวนจะเข้าเมรุอยู่แล้ว ยังอยากจะมีคู่ พุทโธ่พุทถังอนิจจังอนิจจา”

          “แล้วเห็นไหมครับ มีใครมาปรากฏในกระจกไหม”

          “ไม่มี เพราะเนื้อคู่ท่านยังไม่เกิด ฉันก็บอกท่านว่า ท่านสมภาร เนื้อคู่ท่านยังไม่มาเกิด ยังอยู่ในเมืองนรก ท่านโกรธใหญ่หาว่าแกล้ง ที่จริงเป็นอย่างนั้นจริง ๆ แหมไม่น่ามาโกรธกันเลย” ท่านพูดยิ้ม ๆ

          “แล้วตอนนี้สมภารจุ่นยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าครับ”

          “ยังอยู่ เจ็ดสิบกว่าแล้ว ไม่รู้ยังคิดที่จะมีเนื้อคู่อยู่อีกหรือเปล่า เหมือนเธอนั่นแหละ” ประโยคหลังท่านวกมาหาคนฟัง

          “ไม่เหมือนหรอกครับ ผมเพิ่งจะยี่สิบหก ยังหนุ่มยังแน่น ถ้าหกสิบสองผมคงเลิกคิดแล้ว” พระบัวเฮียวแย้ง แล้วจึงพูดเสียงอ่อย ๆ ว่า

          “หลวงพ่อครับ โปรดดูให้ผมสักครั้งเถิดครับ รับรองว่าผมจะไม่กวนใจหลวงพ่ออีกเลย”

          “สายไปเสียแล้วบัวเฮียวเอ๋ย อย่ามาอ้อนวอนเสียให้ยาก ถึงฉันจะใจอ่อนก็ดูให้ไม่ได้ เพราะฉันเลิกมาหลายปีแล้ว”

          “ทำไมเลิกเสียละครับ”

          “มันมีสาเหตุน่ะซี เอาละจะเล่าให้ฟัง บอกตามตรงว่าไม่อยากเล่าสักเท่าไหร่ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นมันก็กลายเป็นอดีตไปแล้ว เดี๋ยวจะหาว่าเอาเขามานินทา”

          “ถ้ามันทำให้หลวงพ่อไม่สบายใจ ไม่ต้องเล่าก็ได้ครับ” พระบัวเฮียวพูดอย่างเกรงใจ

          “ไม่เป็นไร เธอจะได้หายสงสัย เรื่องมันเป็นอย่างนี้ คือนายบุญช่วย เขามาขอให้ฉันดูของหาย”

          “ของอะไรเขาหายหรือครับ”

          “ไม่ใช่ของของเขาหรอก ของคนเขมรที่มาขออาศัยบ้านเขาอยู่ ตอนนั้นเขมรแตก ผู้คนก็พากันหนีออกนอกประเทศ ก็หอบทองกันมาคนละหลาย ๆ บาท คนที่มาอาศัยนายบุญช่วยอยู่นั่นเอาทองมาหนักห้าสิบบาท ทีนี้อยู่ ๆ ทองเกิดหายไป นายบุญช่วยก็พามาให้ฉันช่วยดู พอฉันเสกคาถาเป่าลงไปที่กระจกแปดเหลี่ยม ที่เธอเรียกว่ากระจกวิเศษนั่นแหละ แต่ฉันเรียกว่ากระจกหมอดู ผลปรากฏว่ายังไงรู้ไหม”

          “ไม่ทราบครับ”

          “ปรากฏว่า รูปนายบุญช่วยไปติดอยู่ที่กระจก ฉันก็ยังไม่ให้เขาดู บอกว่าโยมบุญช่วยกลับไปเถอะ อาตมาไม่ดูหรอกเดี๋ยวจะผิดใจกันเปล่า ๆ เขาก็ยืนยันว่าอยากดู ที่เขาพูดอย่างนี้เพราะไม่เชื่อว่ากระจกจะแม่น คิดว่าจะเหมือนรายของสมภารจุ่นที่มาดูเนื้อคู่แล้วไม่มีรูปปรากฏ ฉันก็ไม่ยอมดูให้ ที่แท้ฉันรู้แล้ว ภาพนายบุญช่วยก็ยังอยู่ในกระจก เขาก็ไปตามสมภารจุ่นให้มาช่วยพูด ฉันบอกถ้าอยากจะดูก็ตามใจ เลยเอากระจกให้ดู เธอเอ๋ยเขาโกรธฉันเสียใหญ่ ไม่โกรธอย่างเดียว ก่นด่าหยาบ ๆ คาย ๆ บรรพบุรุษฉันทั้งข้างพ่อข้างแม่ถูกนายบุญช่วยขุดขึ้นมาด่าหมด แถมเปลี่ยนหน้าให้ฉันเสียอีก”

            “เปลี่ยนยังไงครับ” พระญวนสงสัย

          “ก็เปลี่ยนจากหน้าคนเป็นหน้าอวัยวะเพศน่ะซี ตานี่หยาบคายมาก” ท่านยังจำถ้อยคำหยาบคายของฝ่ายนั้นได้

          “แล้วหลวงพ่อโกรธไหมครับ”

          “โกรธหน้าเขียวหน้าเหลืองเชียวละ ฉันก็เลยยกมือขึ้นประนมสาบานต่อหน้าสมภารจุ่นว่า นับแต่นี้ต่อไปจะไม่ดูให้ใครอีก แล้วฉันก็เขวี้ยงกระจกหมอดูลงแม่น้ำเจ้าพระยาไป ทั้ง ๆ ที่มีรูปนายบุญช่วยติดยู่ นี่แหละสาเหตุที่ทำให้ฉันเลิกดู” ท่านพระครูเล่า “เขวี้ยง” ของท่านก็คือ “ขว้าง”

          “แล้วเดี๋ยวนี้นายบุญช่วยยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าครับ ผมอยากจะไปเตะมันสักสองสามป้าบฐานมาด่าครูบาอาจารย์ผม” พระบัวเฮียวพูดอย่างโกรธแทนผู้เป็นอาจารย์

          “อย่าไปสนใจเขาเลย ฉันเองก็ไม่ได้ผูกพยาบาทฆาตพยาเวรอะไรเขาแล้ว มัน...”

          “เป็นไปตามกฎแห่งกรรม” พระบัวเฮียวต่อให้

          “ก็จริง ๆ นี่นา ตอนหลังมีคนมาบอกว่าเขาไปติดคุกอยู่หลายปีด้วยเรื่องนี้ เรื่องขโมยทองเขมรนี่”

          “ตอนที่หลวงพ่อโกรธ หลวงพ่อกำหนด “โกรธหนอ” หรือเปล่าครับ”

          “ไม่ได้กำหนด เพราะตอนนั้นยังกำหนดไม่เป็น ยังไม่ได้เรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อในป่า เลยโกรธเสียไม่มีดี ถ้าเป็นฆราวาสอยู่ก็เห็นจะต้องตายกันไปข้างหนึ่ง เห็นไหม เธอเห็นอานิสงส์ของการบวชหรือยัง ฉันถึงได้ไม่ยอมสึกเพราะไม่งั้นคงตกนรกเพราะฆ่าคนตาย”

          นายบุญช่วยนี่แย่มากนะครับ เขาอุตส่าห์หนีร้อยมาพึ่งเย็น ไม่น่าไปทำกับเขาอย่างนั้น ใจดำอำมหิตจริง ๆ”

          “อย่าไปว่าเขาเลย เขาก็ชดใช้กรรมที่เขาก่อแล้ว กรรมมันให้ผลทันตาเห็นจริง ๆ แหม นายบุญช่วยนี่สำคัญ มาเปลี่ยนหน้าให้ฉันได้” พูดแล้วก็หัวเราะ เรื่องที่เคยสะเทือนใจในอดีต ปัจจุบันกลายเป็นเรื่องน่าขันเสียมากกว่า ช่างไม่มีอะไรคงที่คงทน ไม่มีตัวไม่มีตนให้ยึด ให้ถือแม้แต่อย่างเดียว

          “ถ้าผมจะไปขอเรียนวิชากับหลวงพ่อศุขบ้าง ท่านจะสอนให้ไหมครับ” พระบัวเฮียวถาม

          “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แล้วฉันก็ไม่รู้จะไปถามท่านได้ที่ไหน เพราะท่านเข้าเมรุไปสี่ห้าปีแล้ว” แม้จะไม่มีเชื้อสายญวนแต่ท่านก็พูด “ยวน” ได้

          “แหมเสียดายจริง ๆ ไม่งั้นผมคงมีโอกาสสึกไปนั่งใต้ต้นมะขามแน่เลย เรียนจากหลวงพ่อได้ไหมครับ”

          “เธอจะเรียนไปทำไม มันไม่มีประโยชน์สักเท่าไหร่ ช่วยให้พ้นทุกข์ก็ไม่ได้ ฉันตั้งใจแล้วว่าจะไม่สอนให้ใคร แต่ถ้าจะเรียนวิชากรรมฐาน ฉันยินดีจะสอนให้เพราะเป็นวิชาที่จะทำให้เราพ้นทุกข์ได้ เชื่อฉันเถอะ อย่างวิชาทำเสน่ห์ก็เหมือนกัน ไม่เห็นมีประโยชน์อะไรเลย”

          “หลวงพ่อเรียนด้วยหรือครับ”

          “เรียนซี ฉันเรียนวิชาไสยศาสตร์ มาหลายวิชา แต่เดี๋ยวนี้ทิ้งหมดแล้ว เหลือแต่วิชากรรมฐานวิชาเดียว ส่วนไสยศาสตร์ทิ้งหมด”

          “หลวงพ่อคิดยังไงถึงไปเรียนวิชาทำเสน่ห์ล่ะครับ”

          “อ้าว ก็อยากให้ผู้หญิงเขารักน่ะซีถามได้”

          “แล้วเขารักไหมล่ะครับ”

          “รักหรือไม่รักก็นับปิ่นโตไม่ไหวแล้วกัน สาว ๆ แย่งกันมาส่งปิ่นโตวันนึงยี่สิบเถาได้มั้ง จนไม่รู้จะฉันของใคร”

          “แล้วเดี๋ยวนี้ทำไมไม่มีสักเถาเดียวล่ะครับ”

          “ก็ฉันไม่ยอมสึกสักที ปิ่นโตก็เลยค่อย ๆ หายไปทีละเถาสองเถา เพราะคนส่งเขาไปแต่งงานกับคนอื่น ในที่สุดก็ไม่เหลือสักเถาอย่างที่เธอว่านั่นแหละ แหมคนแถวนี้ไม่ไหวคบไม่ได้” แล้วท่านก็หัวเราะหึหึ ไม่ทราบว่าขำอะไร ยิ่งเล่าคนเล่าก็ยิ่งนึกสนุกจึงเล่าต่ออีกว่า “พวกคนเฒ่าคนแก่ก็ไม่เบา หนอย วางแผนจะจับฉันไปเป็นลูกเขย โน่นบ้านฝั่งโน้น” ท่านชี้ไปยังบ้านที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำเจ้าพระยา

          “วางแผนอย่างไรครับ” คนถามสนใจ

          “ก็ทำเป็นนิมนต์ไปเที่ยวบ้านน่ะซี จะให้ไปจีบลูกสาว ไอ้เรารึก็รู้ทันว่า ถ้าไป ถูกจับแต่งงานแน่ ก็เลยไม่ยอมไป คนพวกนี้เจ้าเล่ห์อย่าบอกใคร กว่าฉันจะครองตัวอยู่มาจนอายุห้าสิบนี่ต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายเชียวละ ไม่งั้นก็ไม่รอดปากเหยี่ยวปากกามาได้หรอก”

          “แล้วหลวงพ่อคิดจะสึกไหมครับนี่” คนเป็นศิษย์แกล้งถาม

          “จะสึกไปทำไมกันเล่า อยู่มาจนป่านนี้แล้ว” คนตอบตอบจริงจัง

          “มันก็ไม่แน่นะครับ หลวงพ่อเพิ่งจะห้าสิบ สมภารจุ่นตั้งหกสิบสองยังคิดสึกเลย”

          “นั่นมันสมภารจุ่น แต่สมภารเจริญไม่เป็นอย่างนั้นแน่ รับรองได้ ถ้าจะสึกก็คงสึกเสียตั้งแต่หนุ่ม ๆ แล้ว”

          “ตอนหนุ่ม ๆ เขาว่าหลวงพ่อรูปหล่อมากจนต้องกินยาลดความหล่อจริงหรือเปล่าครับ นายจ่อยเขาเป็นคนบอกผม”

          “อ้อ เจ้าจ่อยเขาว่ายังงั้นหรือ แล้วเธอเชื่อเขาหรือเปล่าล่ะ เชื่อหรือเปล่าหือ”

          “ยังไม่เชื่อเสียเลยทีเดียว ผมอยากทราบข้อเท็จจริงจากปากหลวงพ่อครับ”

          “เธอจะรู้ไปทำไม ฉันมองไม่เห็นประโยชน์สักนิด”

          “ผมอยากสึกน่ะครับ” พระหนุ่มสารภาพ

          “เธอจะอยากไปทำไมนะบัวเฮียว ถ้าอยากรับรองว่าไม่ได้สึก”

          “งั้นผมไม่อยากก็ได้” พระบัวเฮียวหลงกล ท่านพระครูจึงสรุปว่า “ดี ๆ ฉันขออนุโมทนา การครองเพศบรรพชิตนั้นประเสริฐที่สุดแล้ว เธอจะสึกออกไปสร้างเวรสร้างกรรมทำไมเล่า”

            “โธ่หลวงพ่อ ก็คนที่เขาหล่อน้อยหว่าผมยังสึกนี่นา” พระหนุ่มครวญ

          “แล้วที่หล่อมากกว่าเธอที่เขาไม่สึกล่ะ อย่างน้อยก็มีฉันคนหนึ่งละ...” คนเป็นอาจารย์ยั่วลูกศิษย์

          “เรื่องของหลวงพ่อ ไม่ใช่เรื่องของผม” คนเป็นศิษย์พูดงอน ๆ

          “ทำไมเธอถึงอยากสึกนักนะบัวเฮียว”

          “เรื่องของผมไม่ใช่เรื่องของหลวงพ่อ” เห็นคนเป็นศิษย์งอน อาจารย์จึงพูดเป็นงานเป็นการว่า

          “เชื่อฉันเถอะบัวเฮียว อย่าหาบ่วงมารัดคอเลย ชีวิตแต่งงานนั้นมีแต่ทุกข์”

          “ก็หลวงพ่อไม่เคยแต่งงาน แล้วหลวงพ่อรู้ได้ไงว่ามันทุกข์” คนเป็นศิษย์ย้อน

          “ก็เธอไม่ใช่ฉัน แล้วเธอรู้ได้ไงว่าฉันไม่รู้” คนเป็นอาจารย์โต้กลับ

          “ผมยอมแพ้ ไม่เถียงกับหลวงพ่อแล้ว เถียงไปก็ไร้ประโยชน์” พระบัวเฮียวยอมแพ้เอาดื้อ ๆ

          “มันไม่ใช่เรื่องแพ้เรื่องชนะหรอกบัวเฮียว เรามาพูดเรื่องจริงกันดีกว่า ขอให้เชื่อฉันสักครั้ง ว่าชีวิตการครองเรือนนั้นมันทุกข์ จริงอยู่ถึงฉันจะยังไม่เคยมีครอบครัว แต่มันก็เฉพาะชาตินี้เท่านั้น ชาติที่แล้วฉันมีก็อย่างที่เคยเล่าให้เธอฟังนั่นแหละ เธอเดินอยู่บนเส้นทางอันประเสริฐแล้ว จะมาเปลี่ยนเสียทำไมกัน” คำพูดของพระอุปัชฌาย์ทำให้พระบัวเฮียวได้คิด จริงศิ หมู่นี้ท่านครุ่นคิดถึงแต่เรื่องลาสิกขา ทั้งที่ตั้งใจไว้แต่ต้นแล้วว่า จะครองเพศสมณะไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ แต่เหตุไฉนจิตใจจึงมาปรวนแปรเปลี่ยนแปลงไปได้ถึงปานนี้

          ความสงสัยประดังขึ้นมาอีก คราวนี้เป็นความสงสัยในตัวเอง จึงเรียนถามท่านพระครูว่า

          “หลวงพ่อครับ หมู่นี้ไม่รู้เป็นอะไรผมถึงได้คิดแต่เรื่องสึกออกไปมีครอบครัว อยากพบเนื้อคู่ อยากแต่งงาน เจ้าความรู้สึกอันนี้มันคอยรบกวนผมอยู่เรื่อย มันเป็นเพราะอะไรครับ”

          “มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยน่ะสิ เธอรู้ไม่ใช่หรือ ว่าเวลานี้เธอกำลังทำอะไรอยู่ เธอกำลังปฏิบัติกรรมฐานซึ่งถือเป็นการทำความดีชั้นสูงสุด เพราะการฝึกอบรมจิตนั้นเป็นยอดของการทำความดี เมื่อทำความดีก็ต้องมีมารมาผจญ มารที่เธอกำลังผจญอยู่ขณะนี้คือ นิวรณ์”

          “นิวรณ์ที่หมายถึงสิ่งที่มากีดกั้นขัดขวางไม่ให้เราทำความดีใช่ไหมครับ”

          “ถูกแล้ว ฉะนั้นเธอจะต้องมีความเพียร มีจิตใจที่เข้มแข็งฟันฝ่าอุปสรรคนี้ให้ได้ เพื่อบรรลุความดีสูงสุด อันเป็นจุดหมายที่แท้จริงของชีวิต การที่เธอคิดแต่จะสึกออกไปแต่งงาน ก็เพราะอำนาจของกามฉันทนิวรณ์ ยัง ยังมีอีกที่เธอจะต้องผจญ ยังมีพยาบาทนิวรณ์ ถีนมิทธนิวรณ์ และอุทธัจจกุกกุจนิวรณ์ อีกสามตัว นี่เธอยังเจอแค่สองตัวเท่านั้น และถ้าเธอเอาชนะเจ้าสองตัวนี้ไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปพูดถึงอีกสามตัวที่เหลือ”

          หลวงพ่อครับ ทำไมเจ้านิวรณ์มันถึงได้มารบกวนเฉพาะตอนที่เราปฏิบัติธรรมล่ะครับ แล้วเวลาที่เราไม่ปฏิบัติมันพากันไปอยู่เสียที่ไหน” ถามอย่างข้องใจ

          “มันก็แนบเนื่องอยู่ในจิตของเรานั้นแหละ เมื่อไหร่ที่เรายังไม่ได้ทำความดี มันก็นอนสบายเฉยอยู่ ต่อเมื่อเราทำความดี นั่นแหละมันถึงจะลุกขึ้นมาอาละวาด เพราะฉะนั้นเราจะต้องไล่มันออกไปจากจิตให้หมดสิ้น”

          “อย่างที่หลวงพ่อพูดเสมอ ๆ ว่า “มารไม่มีบารมีไม่เกิด” ใช่ไหมครับ

          “ก็คงงั้นมั้ง พระบัวเฮียวรู้สึกว่าจิตใจปลอดโปร่งขึ้น หากก็ยังสงสัยอยู่อีกนิดหนึ่ง จึงเรียนถามท่านพระครูว่า

          “หลวงพ่อครับ แล้วยาลดความหล่อนี่มันมีจริง ๆ หรือเปล่าครับ”

          “ถ้ามีจริงเธอจะทำไม”

          “ผมจะขอไปกินบ้างน่ะครับ พระอุปัชฌาย์ได้ยินดังนั้นจึงพินิจพิจารณาคนเป็นศิษย์อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วพูดว่า

          “หน้าตาอย่างนี้ไม่ต้องพึ่งยาลดความหล่อ ไม่ต้องพึ่ง”

            “โธ่หลวงพ่อ มาแบบนายจ่อยอีกคนนึงแล้ว” พระบัวเฮียวโวยวาย แล้วจึงชี้แจงอย่างน้อยอกน้อยใจในโชควาสนาว่า

          “ผมไม่ได้หมายความว่ายังงั้น คือไหน ๆ ผมก็ไม่มีโอกาสได้แต่งงานเหมือนชาวบ้านเขา ก็ทำให้มันสุดเหร่ไปเลย จะได้ปลงได้ว่า เพราะตัวเองขี้เหร่ถึงไม่มีผู้หญิงมาแต่งงานด้วย เจ้ากามฉันทนิวรณ์มันจะได้ล่าทัพกลับไป ไม่มารบกวนผมอีก”

          “ไม่ต้องใช้ยาลดความหล่อไปไล่ให้มันยุ่งยากหรอก ถ้าเธอมีสติรู้เท่าทันมันตลอดเวลา มันก็ครอบงำเธอไม่ได้ เราต้องใช้ปัจจัยภายใน ไม่ใช่ปัจจัยภายนอก” ท่านพระครูทั้งแนะแนวและแนะนำ

          “ครับ ถึงตอนนี้ผมเข้าใจแจ่มแจ้งแดงแจ๋เลยครับ ผมจะกลับไปสู้กับมันเดี๋ยวนี้ กราบขอบพระคุณหลวงพ่อเป็นอย่างสูง ที่กรุณาชี้ทางสว่างให้ผม” ท่านก้มลงกราบอาจารย์สามครั้งแล้วลุกออกมา ความอึดอัดขัดข้องพลันมลายไป มีความปลาบปลื้มโปร่งใจเข้ามาแทนที่..

           

มีต่อ........๑๙