สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๒๕

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

ธันวาคม ๒๕๓๗

S00025

๒๕...

         คุณนายดวงสุดาคลานตุ้มต๊ะตุ้มตุ้ยเข้ามาหาท่านพระครู ตามด้วยเถ้าแก่เส็งและคุณกิมง้อ ผู้เป็นบิดาและมารดา คนทั้งสามก้มกราบท่านสามครั้ง แล้วหันไปกราบพระบัวเฮียว ซึ่งนั่งพับเพียบอยู่บนพื้นทางเบื้องขวาของพระอุปัชฌาย์

         “ผมเห็นจะต้องกลับกุฏิละครับ เพราะหลวงพ่อมีแขก” พระหนุ่มออกตัว ใจนั้นอยากอยู่ฟังเขาคุยกัน หากก็เกรงจะเสียมารยาท

         “อยู่ก่อนก็ได้นี่นา จะรีบไปไหนเล่า” เจ้าของกุฏิพูดอย่างรู้ใจ หันไปถามอาคันตุกะว่า “คงไม่ใช่เรื่องลับใช่ไหม พระบัวเฮียวคงร่วมฟังได้นะ”

         “ไม่ลับค่ะหลวงพ่อ หนูอยากให้คนมาฟังเยอะ ๆ ด้วยซ้ำ จะได้ช่วยกันเป็นพยาน” คุณนายดวงสุดาตอบ

         “งั้นหรือ แล้วจะให้เกณฑ์คนมาหมดวัดเลยไหม คุณนานจะเอายังงั้นไหม” ท่านถามยิ้ม ๆ

         “ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้ค่ะหลวงพ่อ ประเดี๋ยวหนูเขินก็เลยเล่าไม่ออกกันพอดี” คนน้ำหนักเกินพิกัดตอบ

         “อ้อ ถ้าอย่างนั้นก็เล่าได้เลย รู้สึกพระบัวเฮียวอยากจะฟังจนเนื้อเต้นแล้วละมัง” ท่านเย้าลูกศิษย์

         “หลวงพ่อนั่นแหละเนื้อเต้น อย่าทำมาโทษผมหน่อยเลยน่า” คนเป็นศิษย์แอบเถียงในใจ

         “เตี่ยเล่าดีกว่าน่ะ” คนจะเล่าเปลี่ยนใจกระทันหัน จึงโยนกลองไปที่บิดา

         “ลื้อเล่านั้นแหละดีแล้ว ก็ลื้อเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดไม่ใช่หรือ” เถ้าแก่เส็งให้เหตุผล ตั้งแต่ปฏิบัติกรรมฐาน เขาพูดไทยชัดขึ้นเพราะสติบอกว่า เมื่อเป็นคนไทยก็ต้องพูดไทยชัด จะได้ไม่อายคุณกิมง้อ

         “นั่นซี แม่ก็เห็นด้วยกับเตี่ย ลูกเล่านั้นแหละดีแล้ว” ผู้เป็นมารดาเสริม

         “แม่ละก็เข้าข้างเตี่ยอยู่เรื่อย” คนเป็นลูกตัดพ้อ

         “เรื่องที่จะเล่านี่ยาวไหม ถ้าเป็นเรื่องยาว อาตมาขอแนะนำว่าน่าจะเริ่มได้แล้ว จะได้ไม่ต้องรอไปฟังต่อในวันพรุ่งนี้ อาตมาเป็นคนใจร้อนน่ะโยม” พระบัวเฮียวพูดขึ้น ท่านคิดอยู่นานว่าจะพูดดีหรือไม่ แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจได้

         “แหม หลวงพี่พูดอย่างนี้ดิฉันก็เห็นจะต้องเล่าแล้วละค่ะ” คุณนายดวงสุดาพูดกับพระบัวเฮียว เรียกท่านว่า “หลวงพี่” อย่างไม่เต็มใจนัก ไม่เต็มใจด้วยเหตุว่า ท่านอายุอ่อนกว่า ที่ถูกน่าจะเป็น “หลวงน้อง” หล่อนไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงไม่เรียกพระที่อายุอ่อนกว่าว่า “หลวงน้อง”

            “คงไม่ต้องออกแขกแบบลิเกนะ” ท่านพระครูเย้าบ้าง

         “ไม่ต้องค่ำ เตี่ยเล่าดีกว่าน่า” หล่อนหันไปเกี่ยงงอนบิดาอีกครั้ง

         “ลื้อนั้นแหละ อย่ามัวทำอิด ๆ ออด ๆ น่ารำคาญ เกรงใจหลวงพ่อท่าน เวลาท่านเป็นเงินเป็นทองนะ” เถ้าแก่เส็งดุลูกสาว การปฏิบัติกรรมฐานทำให้เกิดปัญญา เมื่อปัญญาเกิด เขาจึงรู้ว่าคนเป็นพ่อไม่ควรกลัวลูก จึงกล้าดุหล่อน แทนที่จะเป็นฝ่ายถูกหล่อนดุเช่นแต่ก่อน เมื่อโดนดุคนเป็นลูกชักกลัว จึงเริ่มต้นเล่า

         “เรื่องมันแปลกมากค่ะหลวงพ่อ บอกใคร ๆ ก็คงไม่มีใครเชื่อว่า เตี่ยกับแม่ถูกโจรยิงด้วยปืนเอ็ม ๑๖ แต่ไม่ยักกะเป็นอะไร หนูเห็นกับตาเลยค่ะ” คนเห็นเหตุการณ์เล่าฉอด ๆ

         “ตอนที่ถูกยิงโยมกำลังทำอะไรอยู่หรือ” ท่านถามบุคคลทั้งสอง

         “กำลังนั่งสมาธิครับ ผมกับคุณกิมง้อสัญญากันว่า จะเดินจงกรมหนึ่งชั่วโมง นั่งสมาธิหนึ่งชั่วโมง ตอนโจรยิงมันยังไม่ครบชั่วโมง ผมก็เลยยังไม่ลุกขึ้น แล้วก็ไม่ลืมตาด้วย” เถ้าแก่เส็งเล่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อสามเดือนที่แล้ว ทว่าในความรู้สึกของเขาดูเหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง

         “แล้วรู้ตัวหรือเปล่าว่าโจรมา” ท่านพระครูซัก

         “รู้ครับหลวงพ่อ ผมรู้ตัวตลอดเวลา คุณกิมง้อก็รู้”

         “แล้วกลัวไหม กลัวตายหรือเปล่า”

         “ไม่กลัวค่ะ ตอนอยู่ในสมาธิไม่กลัว แต่ตอนนี้กลัวค่ะ” คุณกิมง้อตอบด้วยท่าทีที่ยังไม่หายหวาดเสียว

         “แล้วคุณนายอยู่ที่ไหนล่ะตอนนั้น ตอนที่โจรมาปล้นน่ะ” ท่านพระครูถามคุณนายดวงสุดา

         “หนูหรือคะ อารามตกใจมุดเข้าไปแอบใต้ตั่งเลยค่ะ ไม่ทราบว่าเข้าไปได้ยังไง ตัวหนูออกใหญ่ ตั่งก็เตี้ยนิดเดียว ถ้าเวลาปกติอย่าว่าแต่จะเข้าไปได้ทั้งตัวอย่างนั้นเลย แค่ขาข้างเดียวก็ยังเข้าไม่ได้” คุณนายดวงสุดาเล่า

         พระบัวเฮียวพิจารณาขาของคุณนายซึ่งมีขนาดไล่เลี่ยกับตอม่อยุ้ง แล้วก็ให้เป็นด้วยกับที่หล่อนพูด หากก็อดถามขึ้นไม่ได้ว่า “ตั่งที่โยมว่าน่ะสูงขนาดไหน เท่าอาสนะหลวงพ่อหรือเปล่า” คนถูกถามมองไปที่อาสนะตรงหน้า แล้วตอบ “คงจะพอ ๆ กัน ถ้าสูงกว่าก็คงไม่เกินสองนิ้ว ไม่น่าเชื่อใช่ไหมคะ ว่าคนเจ้าเนื้ออย่างดิฉันจะเข้าไปซ่อนใต้ตั่งนั่นได้ หลวงพี่เชื่อหรือเปล่า” หล่อนถามหลวงพี่

         “ถ้าจะให้อาตมาเชื่อก็ต้องลองเข้าไปอีกที คุณนายจะยอมลองดูไหมล่ะ” พระหนุ่มถือโอกาสต่อรอง

         “ไม่ต้องหรอกบัวเฮียว ถึงเธอจะไม่เชื่อแต่ฉันก็เชื่อ ฉันเชื่อว่าเป็นไปได้ เธอเคยได้ยินไหมเล่า ที่เขาว่าคนแบกตุ่มแบกตู้เย็นวิ่งหนีไฟ เพราะความตกใจ พอหายตกใจกลับแบกไม่ไหว อันนี้มันเป็นเรื่องของพลังจิตน่ะ คนเราไม่รู้ตัวหรอกว่า จิตนั้นมีพลังมาก เป็นพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัว คนที่ฝึกจิตสม่ำเสมอสามารถเอาพลังจิตออกมาใช้ได้ แต่คนที่ไม่เคยฝึกก็ใช้ไม่เป็น เว้นแต่ยามตกใจอาจเอามาใช้ได้บ้าง โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ เป็นการใช้พลังจิตโดยไม่สติควบคุม ก็ได้แค่ประเดี๋ยวประด๋าว พอรู้สึกตัวก็เอามาใช้ไม่ได้เสียแล้ว” ท่านพระครูอธิบาย

         “แล้วแบบนี้ดีไหมครับหลวงพ่อ” พระบัวเฮียวถาม

         “แบบไหนล่ะ” พระอุปัชฌาย์ไม่เข้าใจคำถาม

         “คือพลังจิตน่ะครับ เป็นของดีหรือไม่ดี”

         “มันก็ตอบยากนะ จะว่าไปแล้วมันก็เหมือนดาบสองคม ถ้าใช้ดีก็ดีไป แต่ถ้าใช้ไม่ดีก็ให้โทษได้เหมือนกัน” ท่านรู้ว่าคนฟังยังไม่มีใครเข้าใจ จึงอธิบายเพิ่มเติมว่า

         “ตัวอย่างเช่นคนที่นำพลังจิตไปใช้เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติ เพื่อเข้าถึงจุดหมายคือ มรรค ผล นิพพาน ก็ถือว่าเป็นสิ่งดี แต่ถ้านำไปใช้ในทางที่ผิด เช่น อยากจะอวดฤทธิ์หรืออวดอุตริมนุสสธรรม ก็ถือเป็นสิ่งไม่ดี เพราะเป็นไปเพื่อเพิ่มกิเลส ไม่เป็นไปเพื่อละกิเลส”

            “สรุปก็คือที่หนูเข้าไปแอบอยู่ใต้ตั่งได้ ก็เพราะอำนาจของพลังจิตใช่ไหมคะหลวงพ่อ” คุณนายดวงสุดาถาม

         “ถูกแล้วคุณนาย แม้คุณนายจะไม่เคยฝึกจิต แต่ก็สามารถใช้พลังจิตได้ เป็นการใช้แบบไม่รู้ตัว ควบคุมไม่ได้ ถ้าอยากใช้แบบคุมได้ก็ต้องมาฝึกจิตกันให้เป็นเรื่องเป็นราว อย่างที่โยมเตี่ยกับโยมแม่ของคุณนายฝึกอยู่นี่แหละ”

         “ถ้าอย่างนั้นที่โจรมันใช้เอ็ม.๑๖ ยิงผม แต่ยิงไม่ออกก็เป็นเพราะอำนาจของพลังจิตใช่ไหมครับหลวงพ่อ” เถ้าแก่เส็งถาม การปฏิบัติกรรมฐานทุกวันทำให้เขาเข้าใจธรรมะแจ่มแจ้งขึ้น

         “จะพูดอย่างนั้นมันก็ถูกเหมือนกัน แต่อาตมาคิดว่า การที่ปืนยิงไม่ออกนั้นเป็นเพราะอานิสงส์ของการมีสัจจะของโยมทั้งสองประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งเป็นอำนาจของสมาธิหรือพลังจิตนี่เอง ไหนคุณนายลองเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบซิ อาตมาจะอัดเทปไว้ เผื่อจะไปเปิดให้คนอื่นฟัง” ท่านหันไปเรียกนายสมชายให้นำเครื่องบันทึกเสียงและม้วนเทปมาให้ พร้อมแล้วคุณนายดวงสุดาจึงเริ่มต้นเล่า

         “วันนั้นหนูนั่งแท็กซี่มาหาเตี่ยกับแม่ที่บ้าน ก็ขึ้นไปชึ้นบนเห็นกำลังนั่งสมาธิกันอยู่ หนูเลยเดินไปที่โต๊ะอาหาร หยิบน่องไก่ทอดมากิน พอดีได้ยินเสียงเอะอะอยู่ข้างล่าง จึงชะโงกลงไปดูตรงบันได ก็เห็นคนร้ายสี่หรือห้าคน กำลังช่วยกันจับคนใช้สองคนมัดมือมัดปาก หนูตกใจวิ่งมาหากเตี่ยกับแม่ บอก โจรปล้น โจรปล้น เขาก็ไม่ยอมลืมตา เสียงพวกมันเดินขึ้นมา หนูเลยวิ่งไปที่ห้องน้ำตั้งใจจะไปซ่อนตัวในนั้น เสร็จแล้วก็เกิดเปลี่ยนใจกะทันหัน คลานลุกลี้ลุกลนเข้าไปใต้ตั่งแทน ขอประทานโทษนะคะหลวงพ่อ น่องไก่ทั้งน่องก็ยังอยู่ในปาก ต้องถือว่าโชคดีเชียวค่ะ เพราะมันทำให้หนูร้องไม่ออก ขืนไม่มีน่องไก่คงร้องให้คนช่วย แล้วก็ถูกโจรยิงตายไปแล้ว

         พอมันขึ้นมามันก็เดินไปที่เตี่ยก่อน เขย่าตัวเตี่ยแล้วบอก ตาแป๊ะตื่น ๆ นี่คือการปล้น เตี่ยก็ไม่ยอมลืมตา มันก็หันไปเขย่าแม่ บอกซิ้มตื่น ๆ นี่อั้วมาปล้น แม่ก็นั่งเฉยอีกคน เสียงพวกมันบอกยิงเลยเฮีย ยิงเลยเฮีย หนูจะเป็นลมเสียให้ได้ ครั้นจะร้องบอกเตี่ยกับแม่ก็ร้องไม่ออก เพราะน่องไกคาปากอยู่ มันเอาปืนจ่อที่ศีรษะเตี่ยแล้วลั่นไก เสียงดัง  แชะ ๆ แต่ไม่มีกระสุนพุ่งออกมา มันก็หันไปยิงแม่บ้าง ก็เป็นแบบเดียวกันอีก

            ในที่สุดพวกมันเลยช่วยกันเก็บข้าวของ มีทีวี วิทยุ สเตริโอ และพวกเครื่องลายครามเอาไปข้างล่างคงจะไปใส่รถ หนูจับตาดูมันอยู่ เก็บของเสร็จพวกมันก็พากันลงไป หนูหายตกใจก็เอามือจับน่องไก่ออกจากปาก แต่ไม่สามารถคลานออกมาจากใต้ตั่งได้ ก็นอนอึดอัดอยู่อย่างนั้นสักยี่สิบนาทีเห็นจะได้ แล้วก็ได้ยินเสียงคนเดินขึ้นมา พอหนูเห็นเป็นตำรวจ หนูดีใจมากเลยตะโกนว่า ช่วยด้วย ช่วยด้วย เขาก็มองหาที่มาของเสียง หนูบอก อยู่ใต้ตั่ง อยู่ใต้ตั่ง ตำรวจสองคนก็มาช่วยกันยกตั่ง แต่ยกไม่ไหว ต้องใช้ถึงสี่คน หนูก็ออกมาได้ ผู้ร้ายห้าคนถูกใส่กุญแจมือเรียบร้อย” คนเล่าหยุดหายใจแรง ๆ สองสามครั้ง ราวกับว่าตอนที่เล่านั้นลืมหายใจ ท่านพระครูจึงถามบิดาของหล่อนว่า “ตอนตำรวจมาโยมรู้หรือเปล่า”

         “รู้ครับหลวงพ่อ ผมรู้อยู่ตลอดเวลา ตำรวจเขามาเขย่าตัวผม บอก เถ้าแก่ตื่นเถอะ คุณถูกปล้นรู้ไหม ผมตอบว่า รู้ รู้ เขาก็ว่า รู้แล้วก็ลืมตาเสียที ผมบอกว่า ยังไม่ถึงเวลา ยังลืมไม่ได้ จากนั้นผมก็ไม่พูดอะไรอีก”

            “ค่ะ ตลกน่าดูเลย พอเตี่ยนั่งนิ่ง ทั้งตำรวจและคนร้ายก็เลยต้องนั่งรอครู่ใหญ่ เสียงนาฬิกาปลุกก็ดังก้องขึ้น เตี่ยกับแม่ก็ขยับตัว เปลี่ยนท่าจากนั่งสมาธิมาเป็นนั่งพับเพียบ ประนมมือกล่าวคำแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศล”

         “แล้วคุณนายแผ่เมตตาเป็นหรือเปล่า อุทิศส่วนกุศลเป็นไหม” ท่านถือโอกาสทดสอบความรู้คุณนายดวงสุดา

         “เป็นค่ะ หนูสวดมนต์ทุกคืน สวดเสร็จก็แผ่เมตตาแล้วอุทิศส่วนกุศล หลวงพ่อจะฟังไหมคะ หนูจะว่าให้ฟัง”

         “ดีเหมือนกัน ว่าเป็นบาลีนะไม่ต้องแปล เพราะถ้าได้บาลีก็แปลได้จริงไหม”

         “จริงค่ะ แต่หนูว่าจริงแต่ครึ่งเดียว เพราะบางคนว่าบาลีได้ แต่แปลไม่ได้เช่นหนูเป็นต้น” หล่อนยกตัวเองเป็นตัวอย่าง

         “สำหรับผม ผมว่าจริงไม่ถึงครึ่งครับหลวงพ่อ” พระบัวเฮียวเอ่ยบ้าง “เพราะคนส่วนใหญ่เขาจะสวดมนต์เป็น แต่แปลไม่เป็น ไม่รู้ว่าที่ตัวเองสวดนั้นมีความหมายว่าอย่างไร แม้แต่พระก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน เช่น พระบัวเฮียว เป็นต้น” พระหนุ่มหารู้ไม่ว่าได้ “แบไต๋” ให้พระอุปัชฌาย์รู้เข้าแล้ว

         “โบราณท่านสอนไว้ว่า “พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง” บัวเฮียวเอ๋ย ถ้าเธอไม่พูดฉันก็คงยังไม่รู้ว่าเธอน่ะ “อ่อนซ้อม” เอามาก ๆ เห็นจะต้องให้พระมหาบุญช่วยกวดขันเธอให้หนักกว่านี้ วันข้างหน้าไปเป็นครูบาอาจารย์เขาจะได้ไม่เสียชื่อ” ท่านหันไปถามบิดาของคุณนายดวงสุดาว่า “โยมเห็นด้วยกับอาตมาไหมว่า คนรู้จริงนั้นหายาก ส่วนคนรู้มากหาง่าย สมัยนี้คนรู้มากมีแยะ แต่ที่รู้จริงไม่ค่อยมี เห็นด้วยไหม”

            “นั่นสินะ คนก็เลยพากันเป็นโรคประสาทมาก พวกจิตแพทย์ก็เลยมีงานทำมาก” ท่านพระครูเสริม พระบัวเฮียวกำลังวิงเวียนกับคำว่า “มาก” ค่อยยังชั่วขึ้นเมื่อคุณนายดวงสุดาพูดโดยไม่มี “มาก” “หนูว่าจิตแพทย์เองก็เป็นโรคประสาทนะคะหลวงพ่อ หนูเห็นมาหลายคนแล้ว ท่าทางไม่ค่อยจะปกติซักเท่าไหร่”

         “คงเป็นเพราะต้องคลุกคลีกับคนไข้มาก เลยติด เป็นอย่างนั้นไหมคะหลวงพ่อ” คุณกิมง้อถาม อุตส่าห์มีคำว่า “มาก” อีกจนได้

         “มันก็เป็นไปได้นะโยม อาตมาสังเกตว่า ยิ่งโลกเจริญมากขึ้นเท่าไหร่ คนก็ยิ่งเป็นโรคประสาทมากขึ้นเท่านั้น”

         “คนโรคประสาทนี่ ต้องให้มาเข้ากรรมฐานใช่ไหมคะหลวงพ่อ ถามอย่างคนที่ยังไม่เคยปฏิบัติ

         “ไม่ได้ ไม่ได้ เพราะคนที่เป็นน้อยก็จะเป็นมาก ส่วนคนที่เป็นมากก็จะบ้าชนิดกู่ไม่กลับเลยเชียว คนเป็นโรคประสาทเขาห้ามเข้ากรรมฐานอย่างเด็ดขาด อันนี้มีพุทธพจน์รับรองไว้ชัดเจน ถ้าจำไม่ผิดดูเหมือนจะอยู่ในคัมภีร์เล่มที่ ๑๔ ที่พระพุทธองค์ตรัสกับเหล่าสาวก ว่า ...ภิกษุทั้งหลาย เราไม่กล่าวอานาปานสติแก่คนที่มีสติเลอะเลือนไร้สัมปชัญญะ....เคยมีตัวอย่างนะโยม ที่วัดนี้นี่แหละ ดูเหมือนอาตมาจะเคยเล่าให้พระบัวเฮียวฟังแล้ว เรื่องที่อาจารย์มหาวิทยาลัยแกเป็นโรคประสาท พวกญาติ ๆ พามาเข้ากรรมฐานที่นี่ ปฏิบัติสองวันแรกยังไม่มีอาการ พอวันที่สามลุกขึ้นรำป้อเลย เขาไปตามอาตมามาดู รำสวยเสียด้วยซี ใคร ๆ ห้ามก็ไม่หยุด ฉะนั้นโยมจำไว้เลยว่า คนเป็นโรคประสาทอย่าพามาเข้ากรรมฐาน ต้องพาไปรักษาให้หายก่อน หายแล้วก็ต้องรอดูอีกสองหรือสามปี หายใหม่ ๆ อย่าพามาเพราะโรคอาจกำเริบอีกได้ เคยมีตัวอย่างหลายรายแล้ว”

         “หลวงพ่อครับ หลวงพ่อจะขัดข้องไหม ถ้าผมจะกราบเรียนว่าผมอยากฟังเรื่องปล้นต่อ กำลังสนุกเลยครับ” พระบัวเฮียวพูดอย่างเกรงใจเป็นที่สุด

         “ฉันน่ะไม่ขัดข้องหรอก แต่คนเล่าเขาจะเล่าต่อหรือเปล่า ข้อนี้ฉันไม่รู้”

         “ต่อซีคะ ต้องเล่าต่อ เอ..เมื่อตะกี้ถึงไหนแล้วคะแม่” หล่อนหันไปถามมารดา

         “ตอนเตี่ยกับแม่กล่าวคำอุทิศส่วนกุศลและแผ่เมตตาจ้ะ แล้วหลวงพ่อท่านให้หนูว่าให้ฟัง คุณกิมง้อทวนความจำให้ลูกสาว

         “งั้นเพื่อไม่ให้เสียเวลา หนูว่าให้ฟังย่อ ๆ นะคะ คำแผ่เมตตาแบบสั้น ๆ มีว่า ...สัพเพ สัตตา อเวรา อัพพยาปัชฌา อนีฆา สุขี อัตตานัง ปริหรันตุ คำอุทิศส่วนกุศลขึ้นต้นว่า อิทัง เม มาตาปิตูนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ มาตาปิตโร”

            “แล้วถ้าแผ่เมตตาให้ตัวเองขึ้นต้นว่าอย่างไร” ท่านพระครูถามอีก

         “อหัง สุขิโต โหมิ ค่ะ” ตอบฉะฉาน

         “เก่ง ๆ อาตมาเชื่อแล้ว เอาละทีนี้เล่าเรื่องปล้นต่อไปได้

         “ค่ะ พอเตี่ยกับแม่เสร็จธุระ ตำรวจก็สอบปากคำ สอบหนูด้วย หนูก็เล่าไปตามที่เห็น ตำรวจเขาบอกว่าเห็นรถกระบะขับสวนทางมานึกเอะใจ จึงถามว่าจะเอาไปไหน คนร้ายมีพิรุธหลายอย่างแล้วก็ตอบคำถามไม่ตรงกัน ในที่สุดก็สารภาพว่าปล้นเขามา เขาก็พามายังบ้านที่เกิดเหตุ”

         ตอนนั้นเวลาสักเท่าไหร่ เป็นกลางวันหรือกลางคืน”

         “เย็น ๆ ครับ” เถ้าแก่เส็งตอบ

         “ทุกวันตั้งแต่สี่โมงถึงหกโมงเย็น ผมกับคุณกิมง้อจะปฏิบัติกรรมฐานกัน โดยเดินหนึ่งชั่วโมง นั่งหนึ่งชั่วโมง”

         “ดีจริง อาตมาขออนุโมทนาเห็นไหม อำนาจของบุญบารมีทำให้เรื่องร้ายกลายเป็นดี ถึงคราวเสียของก็ไม่ต้องเสีย มีนะ มีตัวอย่างแบบเดียวกันนี้ สองผัวเมียเป็นชาวบ้านบางระจัน มาเข้ากรรมฐานที่วัดนี้ กลับไปก็ปฏิบัติทุกคืน คืนหนึ่งกำลังเดินจงกรมกันอยู่ ขโมยมันมาลักควาย ต้อนไปจนหมดคอก ให้พรรคพวกมันคุมไป เหลือคนหนึ่งไว้ดูต้นทาง เจ้าหมอนั่นก็บังเอิญมองขึ้นไปบนเรือน เห็นคนเดินไปมาอยู่สองคน ปากก็ว่า ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ เดินกันมืด ๆ อย่างนั้นแหละ เจ้าขโมยมันก็ขำ นึกว่าเจ้าของบ้านละเมอ ไม่รู้ขำอีท่าไหน เลยถอยหลังไปเหยียบสุนัขที่กำลังหลับอยู่ สุนัขก็ตื่น เห่าเสียงดังขึ้น ชาวบ้านแถวนั้นก็เลยลุกมาดู จับขโมยได้ แล้วก็พากันจุดคบไต้ไปตามควายมาใส่คอกไว้อย่างเดิม

         ผู้ใหญ่บ้านก็คุมตัวขโมยไว้ จับได้คนเดียวคือคนที่ดูต้นทาง นอกนั้นวิ่งหนีไปได้ ก็พากันมานั่งรอจนสองผัวเมียนั่งสมาธิเสร็จ จึงเล่าเรื่องให้ฟัง เขาก็บอกเขารู้ตั้งแต่ตอนขโมยมันต้อนควายออกไปแล้ว แต่เขารักษาสัจจะ บอกจะเดินให้ได้หนึ่งชั่วโมงนั่งหนึ่งชั่วโมงก็ต้องได้ ควายมันจะหายก็ช่าง นี่เขามานั่งเล่าให้อาตมาฟังตรงนี้” ท่านชี้ที่ที่คุณนายดวงสุดานั่ง “มาทั้งผัวและเมียเลย บ้านอยู่อำเภอบางระจันโน่น” ท่านพระครูเล่าเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันให้คนทั้งสามฟัง พระบัวเฮียวฟังเป็นรอบที่สองเพราะตอนสองผัวเมียมาเล่าท่านก็นั่งฟังอยู่ด้วย

         “แต่กรณีของเถ้าแก่ จับโจรได้หมดใช่ไหม” พระหนุ่มถามบุรุษวัยเจ็ดสิบเศษ

         “หมดครับ ผู้ร้ายกับตำรวจมีจำนวนเท่ากันพอดี ผู้ร้ายห้า ตำรวจห้า เป็นตำรวจสายตรวจ กำลังขับรถจะเข้ามาตรวจดูความสงบเรียบร้อยในซอยนั้น นับว่าผมโชคดีมาก”

         “ผู้ร้ายถูกดำเนินคดีติดคุกกี่ปีล่ะ” พระบัวเฮียวถามอีก

         “ไม่ถูกครับ ถังขังไว้เกือบสามเดือน ยมไม่ยอมไปให้การ อ้างว่าจำหน้าผู้ร้ายไม่ได้ ความจริงผมจำได้ครับหลวงพ่อ แต่ผมจำเป็นต้องพูดปดเพื่อจะได้ไม่ก่อเวร คือ เจ้าคนที่มาปล้นนั่นเป็นลูกหนี้ผมเอง มายืมเงินไปหลายหมื่นแล้วไม่ใช้ ผมก็ขู่ว่าจะดำเนินคดี เขาคงแค้นเลยพาพวกมาปล้นผม และที่ใช้เอ็ม.๑๖ ยิงผมคงอยากจะให้ตายเพื่อล้างหนี้ เป็นบุญของผมที่มาเข้ากรรมฐานเสียก่อน ไม่งั้นก็คงสิ้นชื่อไปแล้ว ผมก็ใช้สติพิจารณาว่า ถ้าผมเอาเขาเข้าคุก วันหนึ่งเขาก็ต้องออกมาแก้แค้นผม ก็จะเป็นการก่อเวรกันไม่มีที่สิ้นสุด เพื่อระงับเวรเสียข้างหนึ่ง ผมจึงจำใจโกหกว่าจำหน้าผู้ต้องหาไม่ได้

            ตำรวจเขาขังไว้ไม่ถึงสามเดือนก็ปล่อย ช่วงนั้นผมกับคุณกิมง้อก็แผ่เมตตา อโหสิกรรมให้เข้าทุกวัน หลวงพ่อเชื่อไหมครับ อานิสงส์ของเมตตานี่อัศจรรย์มาก เมื่อวานนี้เองเขาพากันมาหาผมที่บ้าน เอาธูปแพเทียนแพ ใส่พานมาขอขมาผม บอกว่าขอโทษและขอบคุณที่ผมไม่เอาเรื่อง เขารู้ว่าผมจำเขาได้ ขอขมาเสร็จก็บอกว่าจะผ่อนใช้หนี้คืน จะไม่โกงแม้แต่สตางค์แดงเดียว

         ผมตื้นตันจนน้ำตาไหล คุณกิมง้อเองก็ร้องไห้ ผมอโหสิให้เขาและบอกว่าไม่ต้องกังวลเรื่องหนี้สิน มีก็เอามาใช้ ไม่มีผมก็ยกให้ ขออย่างเดียวให้เขาหากินอย่างสุจริต ผมอยากมาหาหลวงพ่อมาก จึงให้ลูกสาวพามาเพื่อกราบขอบพระคุณหลวงพ่อที่ให้วิชาที่วิเศษแก่ผม” เขาก้มลงกราบท่านพระครูสามครั้ง ด้วยความซาบซึ้งและตื้นตันจนน้ำตาไหลเป็นทางตามร่องแก้ม คุณกิมง้อทำตามผู้เป็นสามี ทว่ามิได้ร้องไห้!….

 

มีต่อ........๒๖