สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๒๖

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

ธันวาคม ๒๕๓๗

S00026

๒๖...

         ท่านพระครูออกจากวัดป่ามะม่วงตั้งแต่ตีสี่ เพื่อไปเจริญพระพุทธมนต์ในพิธีมงคลสมรสลูกสาวของลูกศิษย์ ซึ่งจัดขึ้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี จากนั้นจึงจะเดินทางไปจังหวัดสมุทรสงครามเพื่อให้ทันฉันเพลที่วัดบ้านแหลม ในโอกาสที่เจ้าอาวาสวัดนั้นอายุครบหกรอบ และได้นิมนต์ท่านไว้

         รถวิ่งจากวัดไปออกถนนสายเอเชีย เลี้ยวขวาตรงไปเข้าอยุธยาประมาณหนึ่งชั่วโมงก็เขาเขตอำเภอเมือง ซึ่งมีบ้านเรือนปลูกเรียงรายอยู่ตามริมถนนทั้งสองฟากข้าง เมื่อรถวิ่งผ่านบ้านหลังหนึ่ง ท่านก็บอกกับคนขับว่า

         “สมชายจอดก่อน เสียงบ้านนั้นเขาทำอะไรกันแต่เช้ามืด หรือว่าลุกขึ้นมาสวดมนต์ ช่วยจอดประเดี๋ยว ฉันจะได้ฟังให้ถนัดว่า เขาสวดบทไหน จะเป็นคาถาชินบัญชรหรือว่ายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก”

            เมื่อนายสมชายหยุดรถ ท่านจึงไขกระจกลง แล้วก็ได้ยินเสียงชัดเจน นายสมชายก็ได้ยินเต็มสองหู

         “...อีสัตว์...” เป็นเสียงผู้ชาย แล้วต่อด้วยคำพูดที่ระคายหูคนฟังอีกว่า “มึงมันเลวเสียยิ่งกว่าผู้หญิงหากิน คนอย่างมึงน่ะหาความดีไม่ได้เลย พวกผู้หญิงหากินเขายังดีกว่ามึง” เสียงผู้หญิงย้อนเอาว่า

         “อ้อ! อย่างนี้นี่เอง แกถึงชอบไปนอนกะโสเภณี จนเอาโรคมาติดข้า เมียเก่าแกก็เป็นโสเภณีไม่ใช่หรือ”

         ท่านพระครูทนฟังต่อไปไม่ไหว จึงบอกให้นายสมชายออกรถ ความจริงท่านจะฟังคนเดียวด้วยการกำหนด “เห็นหนอ” โดยไม่ต้องหยุดรถก็ได้ แต่ท่านต้องการจะสอนนายสมชาย จึงสั่งให้เขาหยุดรถฟัง

         “ไม่ไหว ลุกขึ้นมาด่ากันแต่มืด แต่ดึกอย่างนี้ไม่ไหว เห็นจะต้องกลับไปล้างหูสักหน่อย ฤกษ์ไม่ดีเลยที่มาได้ยินเขาด่ากัน” ท่านพูดเป็นเชิงบ่น เห็นคนฟังไม่ว่ากระไรจึงพูดต่อ “แล้วจะไปหาความเจริญได้ยังไง ทะเลาะเบาะแว้งกันแบบนี้ เทวดาหนีหมด ต่อไปถ้าเธอมีลูกมีเมีย อย่าได้เอาไปเป็นเยี่ยงอย่างเชียวนะ” ท่านถือโอกาสสอนคนเป็นลูกศิษย์

         “รับรองได้เลยครับหลวงพ่อ ตัวอย่างเลว ๆ แบบนั้น ผมไม่นำไปประพฤติปฏิบัติอย่างแน่นอน ผู้ชายอะไรช่างไม่ให้เกียรติผู้หญิงเสียบ้างเลย ถ้าผมเป็นเมีย ผมไม่อยู่ด้วยแล้ว ไม่รู้ผู้หญิงคนนั้นเขาทนได้ยังไง” นายสมชายวิจารณ์

         “เขาเห็นแก่ลูกนั่นแหละ พูดให้ถูกกว่านั้นก็คือ เขาทำกรรมไม่ดีมาก็เลยมาเจอคนไม่ดี”

         “ผู้ชายที่ด่าเก่งนี่ ผมว่าคงไม่มีใครดีนะครับหลวงพ่อ เพราะถ้าดีก็คงไม่ด่า”

         “ไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิงหรอก ลงได้ด่าเก่ง ก็ยากที่จะเป็นคนดี อย่างที่เขาว่าคนบางคนว่า ปากร้ายใจดีน่ะ จริง ๆ แล้วมันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะถ้าเขาใจดีจริง ปากจะต้องไม่ร้าย พระพุทธองค์ท่านถึงเน้นมโนกรรมมาก เพราะเป็นต้นเหตุของวจีกรรม และกายกรรม คือคนที่พูดชั่ว ทำชั่ว เพราะใจคิดชั่ว มีพุทธพจน์ตรัสสอนไว้นะสมชาย ฉันจำได้แม่นเชียวละ ที่จำแม่นเพราะ ฉันพยายามสอนตัวเองเสมอ ๆ ฉันจะยกมากล่าวให้เธอฟัง รู้สึกจะเข้ากับเรื่องของผู้ชายปากจัดคนนั้นพอดี”

         นายสมชายลดความเร็วของรถลงเพื่อจะได้ฟังให้ถนัด ท่านพระครูซึ่งนั่งอยู่ตอนหน้าคู่กับคนขับหันมาพูดกับเขาว่า “พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ว่า...ผรุสวาทเพียงดังจอบ ซึ่งเป็นเครื่องขุดโค่น ตัดทอนตนของคนพาลผู้กล่าวคำชั่ว ย่อมเกิดขึ้นที่ปากของบุคคลผู้เป็นบุรุษพาล ผู้ใดสรรเสริญผู้ที่ควรติเตียน หรือติเตียนคนที่ควรสรรเสริญ ผู้นั้นชื่อว่าสะสมโทษด้วยปาก ย่อมไม่ประสบสุขเพราะโทษนั้น”

         “การที่ผู้ชายคนนั้นไปยกย่องโสเภณีว่าดีกว่าภรรยาตัวเอง เป็นการสรรเสริญคนที่ควรติเตียนใช่ไหมครับ”

         “ถูกแล้ว”

         “ผมว่าแกคงหลงรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัสของผู้หญิงโสเภณีจนโงหัวไม่ขึ้น ขนาดเอามาเป็นข้อบริภาษเมียตัวเอง แล้วเมียเก่าแกเป็นโสเภณีจริงหรือเปล่าครับ” เด็กหนุ่มถาม เขารู้ว่าท่านสามารถให้คำตอบได้ เพียงแต่ท่านหลับตา ท่านก็จะรู้ทุกเรื่องที่อยากรู้

         “จริงหรือไม่จริง มันก็เรื่องของเขา เราหยุดพูดเรื่องนี้กันได้แล้ว ฉันเพียงแต่จะยกตัวอย่างให้เธอเห็นเท่านั้น ในวันข้างหน้าเมื่อเธอไปเป็นพ่อบ้านพ่อเรือน จะได้วางตัวได้สมฐานะ ให้แม่บ้านขานับถือและเกรงใจ อย่าให้เขาดูถูกดูแคลนเอาได้ ฉันต้องการเพียงเท่านี้ ไม่ได้ต้องการให้เธอมาวิเคราะห์วิจัยเรื่องเมียเก่าเขา เข้าใจหรือยัง”

         “เข้าใจครับ” คนขับรถตอบเสียงอ่อย เมื่อท่านไม่อนุญาตให้สืบสาวราวเรื่อง เขาจึงจำต้องปิดปากเงียบและตั้งหน้าตั้งตาขับรถเพื่อที่จะไปให้ถึงบ้านงานได้ทันเวลา

         ก่อนออกจากจังหวัดสุพรรณบุรีไปจังหวัดสมุทรสงคราม ท่านพระครูให้นายสมชายแวะที่ร้านขายดอกไม้ในเมือง เพื่อซื้อกระเช้าดอกไม้ไปแสดงมุทิตาจิตต่อเจ้าของวันเกิด เป็นความเคยชินของท่านที่จะต้องมีของติดไม้ติดมือไปฝากเจ้าภาพเสมอ ทั้งยังเป็นที่ทราบกันดีในหมู่ศิษยานุศิษย์ว่า “หลวงพ่อเจริญ” เป็นผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นธรรมะหรือวัตถุสิ่งของ หากมีผู้ขอ ท่านก็จะให้โดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง

         บ่อยครั้งที่พวกชาวบ้านผู้ยากไร้ พากันมาขอข้าวสารจากวัดป่ามะม่วงไปหุงกินประทังชีวิต บางคนก็ขอพริก หอม กระเทียม เป็นของแถมอีกด้วย แต่สิ่งที่ท่านแถมให้ทุกครั้งโดยที่พวกเขาไม่ต้องเอ่ยปากขอก็คือ “ธรรมะ”

         ไม่แต่พวกชาวบ้านเท่านั้นที่มาขอ แม้แต่พระสงฆ์วัดข้างเคียงก็เคยส่งพระมาขอปันของฉันของใช้ เนื่องจากไม่มีคนไปถวาย ซึ่งท่านก็แบ่งสันปันส่วนให้โดยไม่รังเกียจรังงอนแต่ประการใด

         บางครั้งท่านได้รับการทัดทานจากพวกทายกว่า ไม่ควรให้เพราะเกรงว่าจะทำให้วัดตัวเองต้องขาดแคลน ท่านกลับสอนพวกเขาให้มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ คำพูดที่ติดปากท่านคือ “ไม่หวงไม่อด หมดก็มา” กับ “ยิ่งให้ก็ยิ่งงอก”

         และดูเหมือนจะเป็นดังที่ท่านพูด เพราะมีหลายครั้งที่ข้าวของทำท่าว่าจะหมด แต่แล้วก็มีญาติโยมนำมาถวายใหม่อีก วัดป่ามะม่วงจึงยังไม่เคยเผชิญกับภาวะอดอยากยากแค้นจริง ๆ เลยสักครั้ง เพราะมีผู้ใจบุญนำข้าวสาร กะปิ น้ำปลา ตลอดจน พริก หอม กระเทียม มาบริจาคอยู่เนือง ๆ

         คำพูดของท่านที่ว่า “ยิ่งให้ยิ่งงอก” จึงกลายเป็นคำขวัญประจำวัดป่ามะม่วงโดยปริยาย อย่างไรก็ตาม ท่านพระครูมักจะเน้นให้ญาติโยมได้สำเหนียกอยู่เสมอว่า การให้ที่ได้บุญกุศลมากที่สุดนั้นคือ การให้ธรรม ดังมีพุทธวจนะรับรองไว้ว่า “สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ – การให้ธรรมย่อมชนะการให้ทังปวง”

         ที่วัดบ้านแหลม ขณะที่ภิกษุรูปอื่น ๆ กำลังฉันเพลกันอยู่นั้น ท่านพระครูมิได้ฉัน ท่านเพียงแต่พิจารณาอาหารแต่ละอย่าง แล้วตั้งจิตแผ่เมตตาให้ผู้นำมาถวาย เพื่อที่เขาจะได้รับส่วนบุญกุศล ญาติโยมที่ไม่เข้าใจ คิดว่าท่านฉันอาหารด้วยตา คือคิดเอาเองว่า ท่านเพียงแต่มองอาหารก็ทำให้ท้องอิ่มได้

         โยมผู้ชายคนหนึ่งคลานเข้ามาหาท่าน ประนมมือพูดว่า “นิมนต์หลวงพ่อฉันเถิดครับ สงสัยอาหารจะไม่ถูกปาก หลวงพ่อถึงไม่ยอมฉัน”

         ท่านไม่อยากให้เขาเสียน้ำใจ จึงใช้ส้อมจิ้มทองหยอดลูกหนึ่งมาใส่ปาก แล้วก็ทำแบบนั้นอีกสองครั้ง จึงยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม เห็นท่านฉันพอเป็นพิธีแล้ว โยมผู้ชายคนนั้นจึงคลานออกไป

         ระหว่างรอให้รูปอื่น ๆ ฉันเสร็จ ท่านก็มองออกไปข้างหน้า ห่างออกไปประมาณร้อยเมตรเป็นโรงเรียนการช่างสตรี อาจารย์สาวอายุประมาณไม่เกินสามสิบ กำลังยืนสอนนักเรียนอยู่หน้าชั้น ท่านอยากจะรู้ว่าอาจารย์เขาถ่ายทอดวิชาอะไรให้ลูกศิษย์ จึงกำหนด “เห็นหนอ” ไปฟังดัวย

         “นี่แน่ะนักเรียน วันนี้ครูจะสอน เรื่องเคล็ดลับในการดำเนินชีวิต” อาจารย์ผู้นั้นพูดกับลูกศิษย์สาวอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปด

         “พวกเธอก็เป็นสาวเป็นนางกันแล้ว ครูจะบอกเคล็ดลับให้ว่า จงอย่าไปมีสามี โบราณเขาว่า มีลูกกวนตัว มีผัวกวนใจ ถ้าอยู่เป็นสาวหน้าขาวเป็นยองใย ฉะนั้นพวกเธออย่าได้คิดแต่งงานเป็นอันขาด”

         “แหม ดีจัง อาจารย์คนนี้สอนดี สงสัยจะชักชวนลูกศิษย์ไปบวชชีเสียละมัง” ท่านพระครูคิด แล้วก็ตั้งใจฟังต่อไป

         “พวกเธอดูครูเป็นตัวอย่าง ครูนี่ใช้ชีวิตอย่างอิสระ มีบ้านหลังงาม มีรถยนต์ขับโดยไม่ต้องมีสามี ก็เราหาของเราเองได้ จริงไหม พวกเธออยากรู้วิธีรวยทางลัดไหมล่ะ” หล่อนถามลูกศิษย์

         “อยากค่ะ” เสียงนักเรียนหญิงตอบพร้อมกันทั้งห้อง

         “เอาละ ครูจะบอกให้ รับรองว่า ถ้าพวกเธอทำอย่างที่ครูทำอยู่ละก็ พวกเธอจะสบาย เป็นอิสระ แล้วก็มีเงินใช้ วิธีง่าย ๆ ก็คือ อยากจะนอนกับใครก็ไปนอน แต่ให้เลือกคนที่กระเป๋าหนัก ๆ พวกถังแตกอย่าได้ไปคบเด็ดขาด เปลืองเนื้อเปลืองตัวเปล่า ๆ เป็นไงดีไหม ชีวิตแบบนี้ดีไหม ได้เงินทีละมาก ๆ แล้วก็ไม่ต้องเหนื่อยด้วย”

         “ดีค่ะ” มีคนตอบเพียงสองสามคน แสดงว่านักเรียนในชั้นส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับความคิดพิลึกพิลั่นของผู้เป็นอาจารย์

         “แล้วถ้าเกิดผู้ชายเขามีเมียแล้ว เราไม่บาปหรือคะที่ไปแย่งเขา” หนึ่งในจำนวนที่ไม่เห็นด้วยถามขึ้น

         “เมียเขาก็อยู่ส่วนเมียเขาซี แล้วเราก็ไม่ได้แย่งเขา แค่ขอยืมมาใช้ชั่วครู่ชั่วยาม เราไม่ได้คิดที่จะเอามาเป็นสามีเราเมื่อไหร่” อาจารย์สาวตอบคำถามลูกศิษย์

         “แบบนี้มันก็โสเภณีชัด ๆ แหละค่ะอาจารย์” นักเรียนผู้หนึ่งพูดขึ้นอย่างอดรนทนไม่ได้

         “นี่พูดให้ดี ๆ นะ สุจิตรา ระวังจะโดนหักคะแนน” อาจารย์ขู่

         “แต่หนูว่า สุจิตราเขาพูดถูกนะคะอาจารย์” นักเรียนที่นั่งติดกับคนแรกพูดขึ้น

         “อะไร เธอก็เป็นไปอีกคนหนึ่งแล้วหรือจิราภรณ์ แหม ครูไม่นึกเลยว่าจะมีลูกศิษย์โง่ ๆ แบบเธอสองคน” คำพูดของอาจารย์สาวทำให้นักเรียนที่ไม่เห็นด้วยคนอื่น ๆ ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น เมื่อไม่มีผู้ใดโต้แย้ง อาจารย์สาวจึงพูดต่อไปอีกว่า

         “เพื่อน ๆ ครูไม่มีใครแต่งงานสักคน เขาก็ทำแบบที่ครูทำอยู่ ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน มัวรอกินแต่เงินเดือนมีหวังไส้แห้งตาย ชาตินี้ทั้งชาติก็ไม่มีรถขับ เงินเดือนครูน่ะมันซักกี่ตังค์เชียว” หล่อนดูแคลนอาชีพสุจริต ท่านพระครูอยากตบอกผาง ๆ คิดไม่ทันคาดไม่ถึงว่าจะมาเห็นมาได้ยิน หรือว่าเดี๋ยวนี้ครูบาอาจารย์เขาเปลี่ยนแนวการสอนกันแล้ว ช่างน่าสลดใจเสียเหลือเกิน อยากรู้นักว่า ถ้ารัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการมาได้ยินเข้า ท่านจะทำประการใด การที่อาจารย์ผู้นั้นอ้างว่า เพื่อน ๆ ของหล่อนก็ปฏิบัติอย่างเดียวกัน ย่อมแสดงว่าไม่ได้มีหล่อนเพียงคนเดียวที่สอนผิด ๆ แบบนี้ น่าสงสารพวกลูกศิษย์ผู้เป็นอนาคตของชาติ ที่มีครูบาอาจารย์เป็นมิจฉาทิฐิสุดโต่งถึงปานนั้น

         ท่านพระครูเล่าเรื่องอาจารย์สาวให้นายสมชายฟังขณะเดินทางกลับวัดป่ามะม่วง

         “จริงหรือครับหลวงพ่อ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้”

         “อ้อ นี่เธอว่าฉันพูดเท็จงั้นสิ” ท่านย้อนเสียงเรียบ

         “เปล่าครับ เปล่า ผมน่ะเชื่อหลวงพ่อ แต่ไม่อยากเชื่อว่าอาจารย์คนนั้นแกจะเพี้ยนถึงปานนั้น น่าเป็นห่วงประเทศชาตินะครับ คนสมัยนี้จิตใจต่ำลงไปทุกวัน เห็นแก่ความสุขสบายทางกาย จนลืมนึกถึงความถูกต้องดีงาม วันนี้ไม่รู้เป็นวันอะไรครับหลวงพ่อ เราถึงได้เจอแต่เรื่องไม่ดีไม่งามมาสองเรื่องแล้ว”

            “วันนี้เป็นวันพฤหัสบดี” ท่านพระครูตอบหน้าตาเฉย เห็นอีกฝ่ายหนึ่งไม่ต่อกลอน จึงพูดต่อไปว่า

         “ประเดี๋ยวเธอแวะอ่างทองด้วย ฉันจะไปเยี่ยมโยมปั่นเขาหน่อย จำทางไปบ้านโยมปั่นได้รึเปล่า”

         “จำได้ครับ นิมนต์หลวงพ่อพักผ่อนเถิดครับ ถึงแล้วผมจะเรียนให้ทราบ” เมื่อนายสมชายพูดเช่นนั้น ท่านพระครูจึงนั่งหลับตา ซึ่งนายสมชายคิดว่าท่านคงหลับ หากความจริงแล้วท่านไม่ได้หลับ ท่านกำหนดจิตแผ่เมตตาให้กับบรรดาสัมภเวสีไปตลอดทาง

         ผู้ที่เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุรถชนกัน มักจะไปเกิดเป็นพวกสัมภเวสี ซึ่งแปลว่าพวกแสวงหาภพ คือยังไม่เกิดเป็นที่ตามกรรมที่ตนกระทำไว้ เพราะขณะที่ตายนั้น จิตเป็นกลาง ๆ ไม่เป็นกุศลและไม่เป็นอกุศล หากตายขณะที่จิตเป็นกุศล ก็จะไปเกิดในสุคติภูมิ แต่ถ้าจิตเป็นอกุศล ก็จะไปเกิดในทุคติภูมิ มีนรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน เป็นต้น ส่วนพวกที่ตายในขณะจิตเป็นกลาง ๆ จะไปเกิดเป็นสัมภเวสี เมื่อใดที่สัมภเวสีเหล่านี้ระลึกถึงกรรมที่ตนกระทำไว้ ก็จะไปเกิดในภพภูมิที่เหมาะสมกับกรรมนั้น

         ท่านพระครูนั่งแผ่เมตตาให้พวกสัมภเวสีมาตลอดทาง กระทั่งถึงทางแยกเข้าสู่จังหวัดอ่างทอง มีอุบัติเหตุรถชนกันข้างหน้า ทำให้รถติดยาวเป็นพรืด นายสมชายหันมามองท่านพระครู เหมือนจะปรารภว่าได้เกิดอะไรขึ้น เห็นท่านนั่งหลับจึงไม่กล้าถาม แต่ท่านก็พูดขึ้นเหมือนรู้ใจเขาว่า

         “รถชนกันข้างหน้า มีตายสามศพ ถ้าเธอไม่เชื่อจะลองเดินไปดูก็ได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังพลิกศพ”

         “แถวนี้คนตายบ่อยนะครับ เห็นเขาว่ามีผีตายโหงสิงอยู่” นายสมชายพูดพลางหยุดรถตามคันหน้า เขาไม่จำเป็นต้องลงไปดู เพราะรู้ว่าสิ่งที่ท่านพระครูพูดนั้นจริงโดยไม่ต้องพิสูจน์

         “ไม่ใช่ผีตายโหงหรอกสมชาย ผีตายทั้งกลมน่ะ” ท่านพระครูบอกหลังจากใช้ “เห็นหนอ” ตรวจสอบแล้ว

         “ทำไมเขามาอาละวาดแถวนี้ล่ะครับหลวงพ่อ”

         “เพราะแรงอาฆาตนั้นแหละ คือ ผู้หญิงคนนี้เขาปวดท้องจะออกลูก หมอตำแยเขาทำคลอด เด็กก็ไม่ยอมออกสักทีจนเขาหมดปัญญา ก็เลยพากันหามมาจากหมู่บ้านจะพาไปส่งโรงพยาบาลในเมือง พอถึงปากทางโบกรถคันไหน ๆ ก็ไม่มีใครหยุดรับ รถประจำทางก็ไม่มีเพราะมืดแล้ว เขาก็ทุกข์ทรมานจนกระทั่งขาดใจตาย เลยอาฆาตแค้นคนที่ขับรถผ่านไปมา จึงแกล้งให้เกิดอุบัติเหตุ นี่ก็ร่วมร้อยศพแล้วมั้ง” ท่านเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อหกเดือนมาแล้ว

         “แล้วบาปไหมครับหลวงพ่อ เขาทำอย่างนั้นบาปไหม” นายสมชายถามอย่างอยากรู้

            “บาปซิ ทำไม่จะไม่บาปเล่า”

         “ผีก็ทำบาปได้ใช่ไหมครับหลวงพ่อ”

         “ทำได้ ไม่ว่าผีว่าคน หรือแม้กระทั่งเทวดา ถ้าทำบาปก็ได้บาป อย่างวิญญาณผู้หญิงคนนี้เที่ยวก่อกรรมทำเข็ญกับคนใช้รถใช้ถนน เท่ากับเป็นการสะสมบาปไว้”

         “แล้วทำไมไม่ตกนรกเล่าครับหลวงพ่อ ทำไมยมบาลไม่มาเอาตัวไปลงโทษ ปล่อยให้รังควานคนอื่นเขาอยู่ได้”

            “มันก็พูดยากนะสมชาย ความอาฆาตพยาบาทนั้นหากมีพลังมาก มันก็สามารถฝืนแรงกรรมได้เหมือนกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะฝืนได้ตลอดไป เพราะในที่สุดก็ต้องชดใช้กรรมที่ตัวเองทำเอาไว้”

         “หมายความว่า ในที่สุดวิญญาณของผีตายทั้งกลมนี้ก็ต้องไปรับโทษทัณฑ์ในเมืองนรกใช่ไหมครับ”

         “ต้องเป็นอย่างนั้น”

         “แล้วอีกนานไหมครับ กว่าเขาจะได้รับโทษ”

         “มันก็ขึ้นอยู่กับแรงบุญแรงบาปที่เขาทำมา ถ้าแรงบุญมีมาก อีกไม่นานเขาก็จะสำนึกได้ว่า สิ่งที่ทำอยู่นั้นมันเป็นบาป ก็จะเลิกเสีย แต่ถ้าแรงบาปมีมาก เขาก็จะสะสมบาปต่อไปจนกระทั่งกฎแห่งกรรมมันทำหน้าที่ของมัน”

         “แล้วหลวงพ่อจะช่วยเขาได้บ้างไหมครับ ผมหมายถึงหลวงพ่อน่าจะให้เขารู้บาปบุญคุณโทษโดยเร็ว จะได้เลิกก่อกรรมทำเข็ญ” คนพูดพูดจากจิตใจที่เปี่ยมด้วยเมตตา

         ฉันก็ว่าจะลองดูเหมือนกัน แต่ก็ไม่หวังว่าเขาจะเชื่อฟังที่ฉันพูดหรอกนะ ถ้าตอนมีชีวิตอยู่ เขาเป็นมิจฉาทิฐิ ตายแล้วก็ยังคงเป็นมิจฉาทิฐิอยู่อย่างนั้น ถ้าเปลี่ยนได้ คนที่มาเกิดก็คงเป็นคนดีกันหมดแล้ว จริงไหม เพราะคน ๆ หนึ่งต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง”

            “ถ้าอย่างนั้นหลวงพ่อลองพูดกับเขาซีครับ เผื่อเขาจะเชื่อฟังหลวงพ่อ คนที่ใช้เส้นทางนี้จะได้ปลอดภัยจากอุบัติเหตุ” นายสมชายแนะนำนึกสงสารทั้งคนตายและคนเป็น

         “ก็ได้ ฉันจะลองดู” แล้วท่านจึงนั่งตัวตรง หลับตา สำรวมจิตเพื่อเจรจากับวิญญาณอาฆาตของหญิงนั้น

            “โยม อาตมาขอคุยด้วยสักหน่อยเป็นไร” ท่านพูดกับหญิงตายทั้งกลมซึ่งมาปรากฏในนิมิต วิญญาณนั้นลอยมาหยุดเบื้องหน้าท่าน ยกมือขึ้นประนมแล้วทักว่า

         “ท่านพระครูเจริญใช่ไหมจ้ะ หลวงพ่ออยู่วัดป่ามะม่วงใช่ไหม”

         “โยมรู้จักอาตมาด้วยหรือ” ถามอย่างแปลกใจ

         “รู้ซีจ๊ะ ฉันเคยไปทำบุญที่วัดป่ามะม่วงสามสี่ครั้ง หลวงพ่อยังชวนฉันมาเข้ากรรมฐาน พอดีฉันตั้งท้องลูกคนแรกเสียก่อน เลยไม่ได้ไป คิดว่าคลอดลูกแล้วพอลูกโตก็จะหาโอกาสไปให้ได้ ก็พอดีมาตายเสียก่อน ตายทั้งกลมเสียด้วย” หล่อนร้องไห้กระซิก ๆ แล้วจึงพูดต่ออีกว่า “คนมันใจร้าย มันไม่ยอมหยุดรถรับฉันไปโรงพยาบาล ฉันต้องนอนเจ็บปวดกระทั่งขาดใจตายด้วยความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส”

         “โยมก็เลยทำการแก้แค้นใช่ไหม สามศพข้างหน้านั่นก็ฝีมือโยมใช่ไหม” ท่านพระครูพูดด้วยเสียงตำหนิ

         “ก็ฉันแค้น” หล่อนพูดเสียงอ่อย

         “แล้วทำอย่างนั้นมันหายแค้นหรือเปล่า คนที่โยมทำเขาตายนั่น เขาไปสร้างความแค้นให้โยมหรือเปล่า มันคนละคนกันใช่ไหม หรือว่า โยมจำได้ว่าคนที่ไม่ให้โยมขึ้นรถน่ะเป็นใคร”

         “จำไม่ได้จ้ะ”

         “ก็ในเมื่อจำไม่ได้ แล้วโยมเที่ยวไปทำร้ายเขาอย่างนั้นมันก็ไม่ถูกต้อง รู้ไหมว่าโยมกำลังสร้างเวรสร้างกรรม แล้วตัวโยมเองนั่นแหละจะต้องมารับเวรรับกรรมในภายหลัง หยุดเสียเถิด อาตมาขอบิณฑบาต นะโยมนะ” ท่านขอร้องขณะเดียวกันก็แผ่เมตตาให้หล่อนด้วย

         เมื่อได้รับกระแสเมตตาที่ท่านแผ่มาให้ วิญญาณอาฆาตดวงนั้นก็นำนึกในบาปบุญคุณโทษ หล่อนกราบท่านพระครูแล้วพูดว่า

         “ฉันหยุดแล้วจ้ะหลวงพ่อ หยุดแล้ว นับแต่วันนี้ต่อไป ฉันจะเลิกก่อกรรมทำเข็ญ แต่คนอื่น ๆ เขาจะคิดยังไงฉันไม่รู้นะจ๊ะ เพราะบางคนเขาก็เชื่อฟังฉัน แต่บางคนก็ดื้อรั้น” หล่อนหมายถึงดวงวิญญาณอื่น ๆ ที่ตายเพราะอุบัติเหตุอันเนื่องมาจากความอาฆาตของหล่อน

         “เดี๋ยวอาตมาจะแผ่เมตตาไปให้พวกเขา แล้วโยมค่อยไปบอกก็แล้วกัน จากนั้นก็ให้โยมไปเข้าฝันพวกชาวบ้านให้จัดการทำบุญปัดรังควาญกันที่ถนนนี่แหละ ชวนพรรคพวกไปด้วยนะ บอกหลาย ๆ เสียงเขาจะได้เชื่อ” ท่านแนะนำ

         “หลวงพ่อ แล้วฉันจะตกนรกไหมจ๊ะ ฉันรู้ว่าฉันจะต้องตกนรกอย่างแน่นอน หลวงพ่อช่วยฉันด้วย” หล่อนอ้อนวอน รู้สึกกลัวภัยอันเกิดจากบาปกรรมที่ต้นสร้างด้วยแรงโทสะ

         “อาตมาคงช่วยได้ไม่มากนักหรอก โยมจะต้องก้มหน้ารับกรรมที่โยมก่อ ที่โยมกลับใจได้นี่ก็เป็นผลดีกับตัวโยมมากแล้ว เพราะจะได้ไม่ต้องไปตกนรกนาน อาตมาเห็นจะต้องลาละ” ท่านกำหนดลืมตา

         เป็นเวลาเดียวกับที่ตำรวจทางหลวงจัดการนำศพและซากรถที่ขวางทางอยู่ออกได้ รถจึงวิ่งได้ตามปกติ

         “สำเร็จไหมครับหลวงพ่อ” นายสมชายถามขณะเคลื่อนรถตามคันหน้าไปอย่างช้า ๆ

         “โชคดีที่เขารู้จักฉัน เลยพูดกันง่ายหน่อย ก็ต้องนับว่าเป็นบุญของเขา ขืนดื้อดึงก็ต้องก่อกรรมทำเข็ญไปอีกนาน”

         “แล้วหลวงพ่อรู้จักเขาไหมครับ”

         “ไม่รู้จัก เขาบอกเขาเคยไปทำบุญที่วัดป่ามะม่วง ก็คนไปทำบุญมีเป็นร้อยเป็นพัน ฉันจะจำยังไงไหว ขืนจำได้หมดก็เป็นผู้วิเศษเท่านั้น”

         “แต่ใคร ๆ เขาก็คิดกันทั้งนั้นว่า หลวงพ่อเป็นผู้วิเศษ ไม่งั้นจะพูดกับผีได้หรือ” นายสมชายไม่ยอมแพ้

         “รีบ ๆ ไปเถอะไป๊ จะได้ถึงบ้านโยมปั่นเร็ว ๆ” ท่านพูดตัดบท คร้านที่จะอธิบายให้นายสมชายหรือใครต่อใครฟังว่า ท่านมิใช่ผู้วิเศษ ท่านเป็นเพียงผู้ต้องการละกิเลส แล้วก็ละได้เกือบจะหมดสิ้นแล้ว....

 

มีต่อ........๒๗