สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๓๑

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

ธันวาคม ๒๕๓๗

S00031

๓๑...

          วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๑๖ คุณนายดวงสุดาลงทุนขับรถมาวัดป่ามะม่วงด้วยตนเอง ตามคำขอร้องของบิดาและมารดา เถ้าแก่เส็งกับคุณกิมง้ออยากมาฟังพระสงฆ์สวดธรรมจักรในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ “นิมิตในกรรมฐาน” บอกให้มาเนื่องจากคนทั้งสองปฏิบัติก้าวหน้ามากจนสามารถเกิดนิมิตได้ตรงกัน

                หลังจากปรึกษาหารือกันแล้ว จึงแจ้งความจำนงให้บุตรสาวทราบ บังเอิญคนขับรถประจำตำแหน่งของท่านผู้ว่าฯ ขอลากลับบ้านเพื่อไปฉลองปีใหม่กับครอบครัว จึงตกเป็นหน้าที่ของคุณนาย ที่จะต้องสงเคราะห์บิดามารดา เป็นการสงเคราะห์ที่เจ้าตัวเต็มใจอย่างยิ่ง

          ผู้คนมาวัดกันมากมายตั้งแต่เด็กอายุแปดเก้าขวบไปจนถึงคนชราและส่วนใหญ่จะเป็นเพศหญิง พวกผู้ชายคงจะพากันไปกินเหล้าฉลองปีใหม่กันจึงไม่นิยมมาวัด

          บรรดาแม่ครัวต้องทำงานหนักเป็นพิเศษ เพราะแขกเหรื่อทยอยกันมาไม่ขาดระยะ เว้นแต่ผู้ที่มาปฏิบัติกรรมฐานซึ่งมีเป็นส่วนน้อยเมื่อเปรียบเทียบกัน

          เวลายี่สิบนาฬิกา ทุกคนไปรวมกันในพระอุโบสถ และทำวัตรเย็นร่วมกับพระภิกษุทั้งวัด จากนั้นเจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงแสดงพระธรรมเทศนาเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง แล้วพระภิกษุและฆราวาสปฏิบัติกรรมฐานจนถึงเวลายี่สิบสามนาฬิกา ปฏิบัติกรรมฐานเสร็จจึงพร้อมใจกันแผ่เมตตาไปยังสรรพสัตว์และเจ้ากรรมนายเวร

          ใกล้เวลาเที่ยงคืน คณะสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์บทธรรมจักรไปจนถึงเวลาหนึ่งนาฬิกาของวันใหม่ หลังจากนั้นพระภิกษุและฆราวาสทำวัตรเช้าร่วมกัน

          เป็นการต้อนรับวันใหม่ที่เถ้าแก่เส็งและคุณกิมง้อไม่เคยประสบมาก่อน คนทั้งสอง “อิ่มบุญ” จนลืมความง่วงและตั้งปณิธานไว้ว่า จะมาฉลองปีใหม่ที่วัดป่ามะม่วงทุกปีจนกว่าสังขารจะไม่อำนวย

          การทำวัตรเช้าเสร็จสิ้นลงเมื่อเวลาตีสอง ทั้งพระและฆราวาสต่างแยกย้ายกันกลับไปยังกุฏิของตน ผู้ที่ยังไม่ง่วงก็จะปฏิบัติกรรมฐานต่อโดยไม่หลับนอน ส่วนคนที่ทนง่วงไม่ไหวก็จะนอนเอาแรงเป็นเวลาสองชั่วโมง แล้วลุกขึ้นมาปฏิบัติกรรมฐานตอนตีสี่

          เวลาแปดนาฬิกาของเช้าวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๑๗ คุณนายดวงสุดาและผู้บังเกิดเกล้าทั้งสองจะมาลาท่านพระครูกับกรุงเทพฯ เมื่อมาถึงกุฏิของท่านก็เห็นคนนั่งรอเต็มไปหมด ท่านพระครูยังไม่ลงมาจากชั้นบน

          เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้น ตามด้วยเสียงแก้วแตกดังเพล้ง ความอยากรู้อยากเห็นว่าได้เกิดอะไรขึ้น ทำให้คุณนายพาร่างอันอุดมไปด้วยก้อนเนื้อและไขมันออกไปยังหลังกุฏิอันเป็นที่มาของเสียง

          ภาพที่เห็นทำให้คุณนายถึงกับอ้าปากค้าง ผู้หญิงอายุประมาณสี่สิบกำลังขว้างแก้วใส่ผู้ชายวัยเดียวกัน ฝ่ายนั้นหลบอุตลุด กระทั่งพวกแม่ครัวมาช่วยกันยื้อยุดหล่อนเอาไว้

          “ปล่อยกูนะ กูจะไปฆ่ามัน” หล่อนตะโกนและดิ้นรน

          “ใจเย็น ๆ ค่ะ คุณนาย นี่ในวัดนะคะ ไงก็เกรงใจหลวงพ่อท่านมั่ง” นางบุญรับเตือนสติ คนที่นั่งอยู่ในกุฏิทยอยกันออกมาดู คุณนายดวงสุดามองอย่างสังเวช นึกตำหนิสตรีผู้นั้นที่ไม่มีความอดกลั้นแม้ในวัดวาอาราม นางกิมเอ็งซึ่งมารอให้ท่านพระครูสอบอารมณ์พร้อมสามีและลูกชายเห็นคุณนายดวงสุดาเดินออกไปก็ลุกตาม

          “กิมเอ็งอย่าออกไป ไม่ใช่เรื่องของเรา” คหบดีบอกภรรยา หากความอยากรู้อยากเห็นตามวิสัยหญิง ทำให้หล่อนขัดคำสั่งของผู้เป็นสามี พอออกไปก็สบตาเข้ากับสตรีที่ดูเหมือนกำลังบ้าคลั่งคนนั้น เลยถูกหางเลขเข้าอย่างจัง

          “มองอะไร ระวังเถอะอีกพวกชอบเสือกเรื่องของชาวบ้าน กูจะตบล้างน้ำเสียให้เข็ด” หล่อนว่าใส่หน้านางกิมเอ็ง ภรรยาคหบดีถอยกรูดเข้ามาตามด้วยภรรยาผู้ว่าราชการจังหวัด คนแรกเข้ามานั่งข้าง ๆ สามีพลางนึกในใจว่า “อยู่ดีไม่ว่าดีนะเรา ถูกด่าฉลองปีใหม่แต่เช้า ซวยชะมัด”

          คุณนายดวงสุดาไม่ถึงกับเข้ามานั่ง เพราะอยากรู้หล่อนจึงเดินไปด้อม ๆ มอง ๆ อยู่แถว ๆ ประตูหลังกุฏิ ผู้หญิงคนนั้นสะบัดแขนอย่างแรงหลุดจากการเกาะกุม หล่อนวิ่งไปคว้าไม้ได้ท่อนหนึ่ง จึงตรงเข้าไปหาคนเป็นสามี ฝ่ายนั้นรีบวิ่งไปที่รถเก๋งไขกุญแจเข้าไปนั่งประจำที่คนขับได้อย่างหวุดหวิด คนเป็นเมียก่นด่าหยาบ ๆ คาย ๆ ใช้ไม้ทุบกระจกหน้ารถจนร้าวเป็นทาง หล่อนกระชากที่ปัดน้ำฝนหน้ารถออกมา มันบาดมือหล่อนจนเลือดแดงฉาน สามีหล่อน สตาร์ทรถ หล่อนจึงวิ่งไปขวางหน้าเอาไว้

            “เอาเลย มึงชนกูซะให้ตายเลย” สามีบีบแตรเป็นการเตือนให้ถอยหากภรรยาไม่ยอมถอย เขาจึงยื่นหน้าออกไปตะโกนว่า “ไม่ถอยกูชนจริง ๆ นะ” แล้วเร่งน้ำมันอย่างแรงเป็นการขู่ ถ้าหล่อนไม่ถอยเขาก็จะชนให้ตายไปเสียเลย

          “ผู้พันอย่าชนค่ะอย่า” พวกแม่ครัวร้องเสียงหลง คนหนึ่งวิ่งไปยืนคู่กับผู้หญิงคนนั้น คิดว่าคนขับคงไม่กล้าชน

          “ป้าถอยออกไป ไม่งั้นผมชนนะ” ผู้ที่ถูกเรียกว่า “ผู้พัน” ตะโกนบอกและทำท่าออกรถ หญิงผู้บ้าคลั่งกระโดดขึ้นไปยืนหราบนกระโปรงหน้ารถใครคนหนึ่งพูดขึ้นว่า

          “ป้าไปเรียกคุณนายลงมาเถอะ ประเดี๋ยวผู้พันแกแกล้งขับเร็ว ๆ คุณนายก็ตกลงมาคอหักตายหรอก”

          “เฮ่ย ใครมันจะฆ่าเมียได้ลงคอวะ ลูกเต้าก็มีด้วยกัน โน่นยืนตัวสั่นงันงกอยู่โน่น” “ป้า” หรือนางบุญรับชี้ไปที่เด็กชายหญิง อายุประมาณหกเจ็ดขวบที่ยืนอยู่กับพี่เลี้ยง คุณนายดวงสุดามองไปที่เด็กทั้งสองซึ่งยืนห่างจากหล่อนประมาณสามวา หน้าตาท่าทางของแกดูตื่นตระหนก หัวใจดวงน้อยคงแทบจะแหลกสลาย เพราะการกระทำของพ่อกับแม่ คุณนายไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดสองคนนั่นจึงทำร้ายจิตใจลูกได้ถึงปานนี้

          เสียงแม่ครัวคนที่สาวกว่าบอกนางบุญรับอีกว่า “เร็ว ๆ ซีป้า ไปเอาตัวคุณนายลงมาหน่อย ฉันว่าผู้พันแกกล้าฆ่าคุณนานนะ ผู้ชายที่กำลังหลงเมียน้อยน่ะ ฆ่าเมียหลวงได้นะป้า”

          “ถ้ายังงั้นพวกเอ็งก็ไปช่วยข้าหน่อย ไปเร็ว ๆ เข้า” นางชักชวนพรรคพวกพลางวิ่งนำไปที่รถ ผู้ชายคนนั้นกำลังเคลื่อนรถออก ป้าคนที่ไปยืนขวางรีบพาตัวเองหลบออกมาด้วยกลัวตาย ผู้หญิงบ้าคลั่งที่ยืนหราอยู่บนกระโปรงรถ ก็เปลี่ยนเป็นนั่งยอง ๆ หันหน้าเข้าหาคนขับ ชี้หน้าด่าปาว ๆ สลับกับเสียงกรี๊ด ๆ แสบแก้วหู นางบุญรับวิ่งไปเคาะกระจกด้านคนขับ โกหกหน้าตาเฉยว่า “ผู้พันหยุดก่อน หลวงพ่อเรียก” ผู้พันเหยียบเบรค หากยังไม่ยอมลงมาจากรถเพราะกลัวภรรยา

          “คุณนายลงมาเถอะค่ะ หลวงพ่อท่านเรียก “นางบอกผู้หญิงที่กำลังบ้าคลั่ง สงสารหล่อนจับใจ เพราะรู้เรื่องราวของหล่อนเป็นอย่างดี “ผู้พันทำร้ายจิตใจหล่อนเกินไป อาจหาญควงเมียน้อยมากราบอวยพรหลวงพ่อ ทั้งที่รู้ว่าจะมาพบหล่อนที่นี่ แล้วเมียน้อยก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเพื่อนรักเพื่อนใคร่ของหล่อนนั่นเอง อุตส่าห์พามาเข้ากรรมฐาน กินด้วยกัน นอนด้วยกันอยู่ที่วัดนี้ แล้วจู่ ๆ ก็มากลายเป็นเมียน้อยของผัวหล่อน หากนางบุญรับเป็นหล่อนก็คงแค้นแทบกระอักเหมือนกัน

          ได้ยินว่าหลวงพ่อเรียก คุณนายราศีก็ได้สติ หล่อนหยุดด่าและหยุดร้องกรี๊ด ๆ กระโดดลงจากกระโปรงรถอย่างระมัดระวังแล้วเดินเชื่อง ๆ เข้าไปในกุฏิ

          พันเอกประวิทย์เห็นภรรยาเดินไปยังกุฏิท่านพระครู คิดว่าหล่อนคงจะต้อง “ฟ้อง” ท่านเกี่ยวกับความผิดของเขา จะยอมให้หล่อนฟ้องข้างเดียวไม่ได้ เขาต้องตามไปชี้แจง ท่านจะได้ไม่ฟังความข้างเดียว คิดได้ดังนี้จึงก้าวลงจากรถเดินตามภรรยาไปห่าง ๆ

          คุณนายราศีเข้ามานั่งคอยท่านพระครูตรงหน้าอาสนะ พยายามสงบสติอารมณ์อย่างที่สุด ครั้นเห็นหน้าผู้เป็นสามี ความคั่งแค้นประดังขึ้นมาอีก หล่อนคว้าได้ถ้วยน้ำชาก็ขว้างไปที่ใบหน้าของเขา ถ้วยกระเบื้องปะทะเข้าตรงหน้าผากอันล้านเลี่ยน ยังผลให้มันบวมปูดเขียวปั้ดขึ้นในพริบตา พันเอกวัยสี่สิบมีอาการ “เลือดขึ้นหน้า” เขาตรงเข้าหาภรรยา ตบหน้าหล่อนฉาด ๆ ไปหลายทีจนหน้าซีดเซียวนั้นหันซ้ายหันขวาไปตามแรงตบ

          คนที่นั่งรออยู่ลุกขึ้นห้าม พวกผู้ชายจับผู้พัน พวกผู้หญิงจับคุณนายราศี กุฏิอันเงียบสงบของท่านพระครูจึงกลายเป็นโรงงิ้ว

          “ไปตามหลวงพ่อลงมาเร็ว ๆ เข้า” คหบดีสั่งนายสมชายซึ่งยืนอ้าปากค้างดูเหตุการณ์อยู่ เด็กหนุ่มจึงวิ่งขึ้นไปยังกุฏิชั้นบน ละล่ำละลักบอกท่านพระครูว่า

          “เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับหลวงพ่อ ผู้พันกับคุณนายใช้กุฏิหลวงพ่อเป็นเวทีมวยไปซะแล้ว หลวงพ่อลงไปเป็นกรรมการหน่อยเถอะครับ ไม่งั้นคุณนายราศีได้หมดราศีกันคราวนี้แหละ” แม้จะอยู่ในภาวะที่เรียกว่าหน้าสิ่งหน้าขวาน หากนายสมชายก็ยังอุตส่าห์มีแก่ใจสร้างอารมณ์ขัน

          “ห้ามไม่ได้หรอกสมชาย เรื่องของผัวเมีย ฉันไม่กล้าเข้าไปยุ่งหรอก” ท่านพูดด้วยเสียงปกติ ไม่ตื่นเต้น ไม่ยินดียินร้าย เพราะจิตของท่านมั่นคงแล้ว ไม่หวั่นไหวสั่นคลอน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

          “แล้วถ้าเกิดเขาฆ่ากันตายในกุฏิหลวงพ่อล่ะ เรื่องมิดังไปถึงไหน ๆ หรือ” เด็กหนุ่มมีท่าทีกังวล

          “ไม่ถึงยังงั้นหรอกสมชาย ถ้าเขาตีกันอยู่ที่กุฏิฉัน หรือยู่ในบริเวณวัดป่ามะม่วง เขาจะไม่ตาย เพราะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองอยู่ แต่ถ้าพ้นเขตวัดไปเมื่อใด รับรองว่าตายทั้งคู่ สองคนนี้กำลังชะตาขาด ถ้าเธอกลัวเขาตายก็ลงไปดูลาดเลาก็แล้วกัน อย่าให้เขาออกนอกเขตวัด” ท่านสั่งเสียงเรียบ

          ลูกศิษย์ก้นกุฏิจึงจำต้องลงมาข้างล่าง เมื่อเขาเปิดประตูออกมา ทุกคนก็ชะเง้อมองด้วยคิดว่าเป็นท่านพระครู การตะลุมบอนของสองสามีภรรยาก็ชะงักลง

          “ประเดี๋ยวหลวงพ่อจะลงมา” เขาบอกทุกคนในที่นั้น ได้ยินว่าหลวงพ่อจะลงมา คุณนายราศีก็หยุดอาละวาด นายสมชายจัดการหาหยูกยามาทำแผลให้หล่อน แผลซึ่งถูกที่ปัดน้ำฝนบาด พวกผู้ชายก็หายาหม่องมานวดหน้าผากบริเวณที่ปูดโปออกมาให้พันเองประวิทย์ คุณนายดวงสุดาใจเต้นไม่เป็นส่ำตลอดเวลาที่เกิดเหตุการณ์ ส่วนบิดามารดาของหล่อนเพียงแต่ตกใจเล็กน้อยด้วยได้ฝึกจิตไว้ดีแล้ว

          ครู่ใหญ่ ๆ ท่านพระครูจึงเปิดประตูออกมา ทุกคนต่างทำความเคารพด้วยการกราบสามครั้ง ท่านเดินไปนั่งยังอาสนะ พันเอกประวิทย์และภรรยานั่งหมอบอยู่ต่อหน้าท่าน คุณนายราศีร้องไห้กระซิก ๆ

          “มีอะไรก็ค่อย ๆ พูดค่อย ๆ จา กันก็ได้ ทำไมถึงต้องลงไม้ลงมือกัน” ท่านพูดเสียงเบาจนเกือบเป็นกระซิบ ด้วยต้องการให้ได้ยินกันเพียงสามคน

          “หลวงพ่อคะ หนูทนไม่ไหวแล้ว เขาทำร้ายจิตใจหนู ทำร้ายจิตใจลูก” คุณนายราศีพูดเสียงปนสะอื้น

          “ก็เราอย่าไปยอมให้เขาทำร้ายซี ใจของเราไปให้คนอื่นมาทำร้ายได้ยังไง ไหนเขาทำยังไงว่าไปซิ”

          “ก็เขาพาเมียน้อยมาอวดหลวงพ่อ เขากล้าฉีกหน้าหนู ใคร ๆ เขารู้กันทั้งวัดว่า เขาเป็นสามีหนู แล้วอยู่ ๆ เขาก็ควงคนอื่นมา” คุณนายวัยสี่สิบเล่าด้วยความเคียดแค้น

          “คนอื่นที่ไหนกัน เพื่อนคุณนายไม่ใช่หรือ อาตมาเคยเห็นเขามาเข้ากรรมฐานกับคุณนาย อยู่กุฏิเดียวกันอีกด้วย”

            “นั่นซีคะ เพราะอย่างนี้หนูถึงได้แค้นใจมาก ทั้งเพื่อนทั้งผัวรวมหัวกันทรยศ” หล่อนสะอื้นฮัก ๆ

          “ทีมันทรยศผมล่ะครับหลวงพ่อ เวลาผมไปราชการต่างจังหวัด มันก็เอาคนขับรถเข้าไปนอนในห้องแทนผม” ท่านพระครูอยากรู้ความจริงว่าคุณนายราศีประพฤติเช่นนั้นจริง ๆ หรือว่าพันเอกประวิทย์คิดมากไปเอง ท่านจึงใช้ “เห็นหนอ” ตรวจสอบ

          แล้ว “เห็นหนอ” ก็รายงานว่า พันเอกวัยสี่สิบตั้งใจใส่ร้ายภรรยา เพื่อท่านพระครูจะได้เห็นอกเห็นใจที่เขาต้องทำผิด นายทหารผู้นี้มีจิตเป็นอกุศล หยาบช้า ลามก ประพฤติชั่วทั้งที่นับถือพระ เป็นเรื่องน่าเวทนานัก หากว่าเขาได้เป็นใหญ่เป็นโตในกาลข้างหน้าก็จะเป็นพิษเป็นภัยต่อชาติบ้านเมืองอย่างมหันต์ทีเดียว

          คุณนายราศีไม่แก้ข้อกล่าวหานั้น หล่อนรู้ดีว่าท่านพระครูรู้ว่าอะไรเป็นอะไร โดยที่หล่อนไม่จำเป็นต้องอธิบาย

          “หลวงพ่อคะ หนูเจ็บใจตัวเองเหลือเกินค่ะ เจ็บใจที่เลือกคนผิด หนูผิดเอง ไม่รู้ว่ากรรมเวรอะไรของหนู” หล่อนสะอึกสะอื้น

          “ก็เลือกเสียใหม่ให้ถูกซี ได้โอกาสแล้วนี่ ชายชู้มึงไง ไอ้คนขับรถกูน่ะ เอาเถอะกูยกให้” คนเป็นสามีพูดแดกดัน

          “ผู้พัน” ท่านพระครูเรียกบุรุษนั้นอย่างอดรนทนไม่ได้ รู้สึกสมเพชเขาเป็นกำลัง หากท่านก็ไม่อาจจะช่วยอะไรได้ บุรุษผู้นี้กำลังตาบอดสนิทจึงไม่อาจมองเห็นแสงสว่างใด ๆ ได้เลย เมื่อช่วยไม่ได้ ท่านจึงจำต้องวางอุเบกขา ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกรรมของเขา

          “คุณนาย อาตมารู้สึกเสียใจเหลือเกิน เสียใจแทนคุณนาย ที่อุตส่าห์มาเข้ากรรมฐานหลายครั้ง ๆ ละหลายวัน แต่ไม่สามารถนำไปใช้แก้ปัญหาชีวิต อุตส่าห์มาฝึกสติ แต่กลับแสดงออกเหมือนคนขาดสติ ไม่น่าเลย เสียชื่อลูกศิษย์วัดป่ามะม่วงหมด” ท่านพระครูลงทุน “เทศนา” คุณนายราศี รู้ว่าหล่อน “รับได้”

          พันเอกประวิทย์รู้สึกสะใจและนึกสมน้ำหน้าคนเป็นภรรยาที่ถูก “เทศน์” ฉลองปีใหม่ แสดงว่าหลวงพ่อท่านเชื่อในสิ่งที่เขาพูด เขามิรู้ดอกว่าท่านพระครูจะไม่สั่งสอนบุคคลที่ “รับไม่ได้” และท่านก็จะไม่พูดให้เขาต้องสะเทือนใจ ชายวัยสี่สิบไม่รู้ว่าตัวเองนั้นอยู่ในประเภท “อเวไนยสัตว์”

          “หลวงพ่อคะ ได้โปรดช่วยหนูด้วย ช่วยให้หนูพ้นจากสภาวะที่แสนทรมานนี้เสียที ได้โปรดเถอะค่ะ” สรีวัยสี่สิบอ้อนวอน

          “อาตมาช่วยได้ก็เพียงชี้แนวทางให้เท่านั้น นอกนั้นคุณนายต้องช่วยตัวเอง”

          “หนูมองไม่เห็นทางเลยค่ะหลวงพ่อ มันมืดแปดด้านเลย หนูหมดกำลังใจ หมดอาลัยตายอยากในชีวิตเสียแล้ว”

          “หมดแล้วก็สร้างขึ้นมาใหม่ได้ สร้างกำลังใจขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับชีวิต อาตมาเชื่อว่าคุณนายทำได้ ไปตรองดูนะ คุณนายเป็นถึงครูบาอาจารย์ มีความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรม ปัญหาชีวิตแค่นี้คุณนายเอาชนะมันได้ อาตมาขอพูดสั้น ๆ ว่า ถ้าเราทำจิตใจของเราให้เข้มแข็ง ก็ไม่มีใครมาทำร้ายจิตใจของเราได้ เว้นเสียแต่ว่า ตัวเราเองจะทำร้ายตัวเอง

เอาละ กลับไปพักผ่อนที่กุฏิของคุณนายได้แล้ว ลูกรออยู่ไม่ใช่หรือ พูดกับเขาให้รู้เรื่อง ลูกสองคนน่ะ ส่วนคนอื่นถ้าพูดกันไม่รู้เรื่อง ก็ไม่จำเป็นต้องพูด คนเป็นผัวเมียกัน เลิกกันก็กลายเป็นคนอื่น จำไว้นะคุณนาย”

          คุณนายราศีกราบท่านพระครูสามครั้ง แล้วเลี่ยงออกมาหาลูกซึ่งยืนหน้าซีดเซียวอยู่กับพี่เลี้ยงทางด้านหลังกุฏิ เห็นหน้าลูกก็ให้สงสารจับใจ จนต้องร้องไห้ออกมา หล่อนคิดได้เดี๋ยวนั้น ต่อแต่นี้ไปจะไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก หล่อนจะถนอมน้ำใจลูกและประคับประคองเลี้ยงดูลูกน้อยทั้งสองอย่างดีที่สุด จะต้องทำหน้าที่ของพ่อและแม่ในเวลาเดียวกัน เพราะคนเป็นพ่อของลูกนั้น หล่อน “ตัดหางปล่อยวัด” ไปแล้ว เพิ่งตัดใจได้เดี๋ยวนี้เอง

          ภรรยาลุกออกไปแล้ว พันเอกประวิทย์ก็ได้โอกาส “กล่าวโทษ” ของฝ่ายนั้น ตามวิสัยของบุรุษผู้มี “กิเลสหนาตัณหามาก”

          “แย่จังนะครับหลวงพ่อ กรรมของผมเหลือเกินที่ต้องมามีเมียวิปริตผิดมนุษย์เช่นนี้” ท่านพระครูไม่ออกความเห็น เพราะคนที่พูดอย่างนี้น่าจะเป็นคุณนายราศีมากกว่า

          “คนที่มาด้วยเมื่อตอนเช้าไปไหนเสียล่ะ” ท่านเลี่ยงไปถามถึงผู้หญิงอีกคนหนึ่ง คนที่พันเอกประวิทย์กำลังลุ่มหลงอย่างหนัก

          “ผมพาหลบไปไหว้ที่สำนักชีครับ ไม่งั้นยายราศีอาละวาดตาย”

          “วัดป่ามะม่วงเลยกลายเป็นที่เล่นซ่อนหาว่างั้นเถอะ”

          “ครับ ก็สนุกตื่นเต้นดี” เขากลับเห็นเป็นเรื่องสนุก ท่านพระครูรู้สึกอ่อนอกอ่อนใจเป็นกำลัง จึงบอกกับเขาว่า

          “งั้นก็พากลับบ้านกลับช่องเสีย ประเดี๋ยวคุณนายราศีมาพบเข้าก็จะเกิดเรื่องอีก”

          นายทหารวัยสี่สิบก้มลงกราบสามครั้ง ก่อนลุกออกมายังพูดอีกว่า

            “ป่านนี้คงนั่งร้องไห้ขี้มูกโป่งแล้ว คนนี้เขาขี้แยครับหลวงพ่อ แต่นิสัยดีมาก ดีจริง ๆ ยายราศีเทียบไม่ติดเลย”

          “ถ้าดีจริงคงไม่แย่งสามีเพื่อนซึ่ง ๆ หน้าอย่างนี้หรอก” ท่านพระครูอยากจะพูดเช่นนี้ หากท่านก็ไม่ได้พูด เพราะเห็นว่าไม่เกิดประโยชน์อันใดเลย ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ตนหรือประโยชน์ท่าน

          “หลวงพ่อคะ หนูไม่กล้ามาเข้ากรรมฐานแล้วละค่ะ” คุณนายดวงสุดาพูดหลังจากนายทหารผู้นั้นลุกไปแล้ว

          “อะไรทำให้คุณนายคิดอย่างนั้นล่ะ”

          “ก็หนูไม่อยากเป็นแบบคุณนายราศีน่ะซีคะ แล้วก็ไม่อยากเป็นอย่างเพื่อนเธอด้วย อุตส่าห์พากันมาอยู่วัด แล้วคนนึงก็ออกงิ้ว อีกคนก็แย่งสามีคนอื่นหน้าตาเฉย” หล่อนว่า

          “คนอื่นคนไกลที่ไหนล่ะคะ เพื่อนกันแท้ ๆ ไม่น่าทำเลย” นางกิมเอ็งแย้ง หล่อนยิ้มให้คุณนายดวงสุดาอย่างเป็นมิตร

          “กิมเอ็ง มันไม่ใช่เรื่องของเราน่า อย่าลืมว่าเธอกำลังปฏิบัติกรรมฐานนะ” คหบดีปรามภรรยา ลูกชายสามคนนั่งสัปหงกเพราะความง่วง

          “แหม คุณนายพูดอย่างนี้ก็เสียชื่อวัดป่ามะม่วงหมดเลย เสียชื่อพระครูเจริญด้วย คนเขาจะได้เอาไปพูดว่าพระครูเจริญสอนลูกศิษย์ให้เพี้ยน” ท่านพูดด้วยเสียงที่ได้ยินกันทั่วทั้งกุฏิ

          “ไม่จริงครับหลวงพ่อ” เถ้าแก่เส็งขัดขึ้น ตัวเขากับภรรยาปฏิบัติกรรมฐานสม่ำเสมอและเคร่งครัด จึงเข้าถึงความจริงอะไรบางอย่างที่คนบางคนยังเข้าไม่ถึง

          “ผมขอยืนยันว่ากรรมฐานไม่ได้ทำให้คนเพี้ยน การที่คุณนายคนนั้นกับเพื่อนทำอะไรเพี้ยน ๆ เพราะแกไม่ใช่นักปฏิบัติที่แท้จริง แกยังเข้าไม่ถึงหัวใจกรรมฐาน ผมว่าหลวงพ่อรู้เรื่องนี้ดีกว่าผม กรุณาอธิบายให้คนอื่นเข้าใจด้วยเถิดครับ” เขาขอร้องท่านพระครู ท่านเจ้าของกุฏิจึงพูดขึ้นว่า

          “เอาละญาติโยมที่รักทั้งหลาย ที่โยมเถ้าแก่พูดมานั้นถูกต้องเป็นจริงทุกประการ อาตมาจึงขอยืนยันว่า กรรมฐานไม่เคยทำให้ใครวิปริต ถ้าหากคนคนนั้นปฏิบัติอย่างถูกต้อง และเอาจริงเอาจัง และโปรดเข้าใจเสียใหม่ให้ถูกต้องด้วยว่า คนที่มาปฏิบัติกรรมฐานไม่ใช่คนที่หมดกิเลสแล้ว เพราะถ้าหมดกิเลสก็ไม่จำเป็นต้องมาปฏิบัติ การมาปฏิบัติก็เพื่อจะให้กิเลสมันเบาบางลงและหมดไปในที่สุด เพราะฉะนั้นตราบใดที่เขายังไม่บรรลุธรรมขันใดเลย เขาก็ยังคงเป็นปุถุชนธรรมดาเหมือน ๆ กับคนทั่ว ๆ ไป ที่ยังมี รัก โลภ โกรธ หลง จึงอาจถูกกิเลสชักพาไปในทางเสื่อมได้”

          หลวงพ่อครับ วัดป่ามะม่วงนี่มีคนมาตีกันฉลองปีใหม่อย่างนี้ทุกปีหรือเปล่าครับ” ชายผู้หนึ่งถามขึ้น เขาเพิ่งมาวัดนี้เป็นครั้งแรกเพราะเพื่อนชวนมา

          “ไม่หรอกโยม เพิ่งจะครั้งนี้เป็นครั้งแรก แต่อาตมาก็ต้องขอโทษญาติโยมแทนคู่กรณีด้วย ออกนอกเขตวัดไปเมื่อไหร่รับรองตายทั้งคู่”

          “แล้วปีหน้าจะมีอีกไหมครับ ผมจะได้มาดูอีก”        

          “ไม่มีแน่ อันนี้อาตมารับรอง นี่ยังดีนะ คนมาตีกันในวัดก็ยังดีกว่าพระในวัดตีกันเอง” เสียงหัวเราะดังขึ้น ท่านจึงย้ำอีกว่า

          “อ้าว จริง ๆ นะ อาตมาไม่ได้พูดเล่น แต่ไม่ใช่พระวัดนี้หรอก วัดที่กรุงเทพฯ อย่าให้ออกชื่อเลย ประเดี๋ยวจะหาว่าเอาเขามาวิจารณ์ เมื่อเร็ว ๆ นี้เอง อาตมาเข้ากรุงเทพฯ เพื่อจะไปพบท่านเจ้าคุณรูปหนึ่ง ไปถึงเห็นท่านกำลังดุพระลูกวัดอยู่ ไม่ทราบดุอีท่าไหน พระรูปที่ถูกดุต่อยเปรี้ยงเข้าที่ใบหน้าถูกปากครึ่งจมูกครึ่ง ท่านเจ้าคุณสลบทันที หงายผึ่งลงไปนอนเลย” ท่านเล่าเหตุการณ์ที่เห็นมากับตา

          “แล้วพระรูปนั้นทำยังไงครับ เห็นท่านเจ้าคุณสลบแล้วท่านทำยังไง” ชายคนนั้นถามอีก

          “ท่านยังไม่ทันได้ทำอะไร ปรากฏว่าพระลูกวัดรูปอื่น ๆ กรูเข้าตะลุมบอนท่าน ทั้งต่อยทั้งเตะ ทั้งเหยียบสลมเหมือดไปเลย อาตมายืนงงเป็นไก่ตาแตก ตอนแรกนึกสงสารท่านเจ้าคุณ แต่ตอนหลังสงสารพระรูปนั้น อาตมาเลยรีบกลับวัดป่ามะม่วง เพราะไม่อยากไปเป็นพยานที่โรงพัก พระลูกวัดพวกนั้นพอซ้อมเขาสลบ แล้วยังพาส่งโรงพักอีกในข้อหาทำร้ายร่างกายท่านเจ้าคุณ”

          “หลวงพ่อก็เลยไม่ได้พูดธุระกับท่าน”

          “จะพูดยังไงเล่า ก็เขากำลังมีเรื่องไม่น่าถาม”

          “แล้วท่านเจ้าคุณถึงกับมรณภาพไหมคะ” คุณกิมง้อถาม

          “ไม่หรอกโยม แค่หมัดเดียว”

          “ผมว่าท่านอาจแกล้งสลบก็ได้ แกล้งทำเป็นสลบเพื่อให้ลูกน้องแก้แค้นแทน” นายต่อหายง่วงและพูดขึ้นอย่างที่ใจคิด

          “หนูอย่าไปว่าพระว่าเจ้า บาปนะหนูบาป” ท่านพระครูปรามด้วยใบหน้ายิ้ม ๆ รู้ว่าเจ้าคุณรูปนั้นสลบไปจริง ๆ โดยมิได้เสแสร้ง ก็ “เห็นหนอ” บอกอย่างนั้น

มีต่อ........๓๒