สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๓๕

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

ธันวาคม ๒๕๓๗

S00035

๓๕...

          “สิ่งที่ผมข้องใจสงสัยมันมีหลายอย่างนะครับหลวงพ่อ” พระบัวเฮียวพูดอย่างเกรงใจเป็นที่สุด

          “งั้นก็ว่าไปทีละอย่าง นึกว่าวันนี้เป็นวันของเธอก็แล้วกัน จะได้ไม่เอาไปเที่ยวพูดว่าฉันไม่มีเวลาให้”

          “โธ่ หลวงพ่อครับ ตั้งแต่มาอยู่วัดนี้ผมยังไม่เคยเที่ยวเลยสักครั้ง แล้วจะเอาหลวงพ่อไปพูดอย่างนั้นได้ยังไง” พระหนุ่มปฏิเสธเสียงแข็ง

          “แน่ใจนะ” ท่านพระครูคาดคั้น

          “แน่ใจครับ แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์”

          “แล้วเมื่อกี้ใครตะโกนว่าฉันให้เจ้าขำฟังล่ะ ว่าฉันไม่มีเวลาให้ เธอพอจะรู้บ้างไหมว่าใครว่า”

          “ก็พอจะรู้เหมือนกันครับ แต่เขาไม่ได้เอาไปเที่ยวว่านี่ครับ เขานั่งว่าอยู่ตรงนี้ ตรงที่ผมนั่งนี่” พูดพร้อมกับชี้นิ้วลงที่พื้น การได้ยั่วพระอุปัชฌาย์เป็นความสุขอันยิ่งใหญ่ของพระบัวเฮียว

          “เอาตัวรอดจนได้นะ เอาละ ฉันขอชมเชยว่าเธอเก่ง ฉันยังไม่เคยเห็นใครเก่งอย่างนี้มาก่อนเลยจริง ๆ”

          “อย่างนี้นะอย่างไหนครับ” พระหนุ่มไม่วายยั่ว

          “ก็อย่างที่เรียกว่ามะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูกน่ะซี” ท่านพระครูเฉลย การได้พูดจาหยอกล้อกับ “น้องชายในอดีตชาติ” ทำให้ท่านมีความสุข แม้ว่าฝ่ายนั้นจะยังไม่รู้ว่าชาติหนึ่งตนเคยเกิดเป็นน้องชายของท่าน

          “ถ้าอย่างนั้นหลวงพ่อก็ต้องไปฝึกปาเป้าใหม่ หรือไม่ก็เพิ่มมะกอกเป็นสี่ตะกร้า ถ้ายังปาไม่ถูกอีกก็เพิ่มเป็นห้าหกเจ็ดหรือแปดตะกร้า มันจะต้องถูกสักลูกนึงจนได้แหละครับ” พระหนุ่มแนะนำ

            “เอาละ เอาละ มัวพูดเยิ่นเย้ออยู่นั่นแหละ จะถามอะไรก็ถาม ฉันเป็นคนไม่ชอบหายใจทิ้ง”

          “ครับ ผมเองก็ชอบหายใจเป็นการเป็นงาน งั้นผมขอเรียนถามข้อข้องใจเลยนะครับ” ท่านพระครูพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต พระบัวเฮียวกำลังจะเอ่ยปากถาม ก็พอดีกับบุรุษผู้หนึ่งคลานเข้ามา พระหนุ่มมีอันต้อง “ถูกขัดคอ” อีกจนได้

          เถ้าแก่เส็งกราบท่านพระครูสามครั้ง กราบพระบัวเฮียวสามครั้งแล้วเอ่ยขึ้นว่า

          “ผมต้องขอประทานโทษที่มาขัดจังหวะ แต่ผมก็จำเป็นต้องมาเพราะอยากพบหลวงพ่อมากครับ”

          “เจริญพร โยมเถ้าแก่มาคนเดียวหรือ”

          “มาคนเดียวครับ ผมเหมารถแท็กซี่มาจากกรุงเทพฯ”

          “อย่างนั้นหรือ ทำไม่ไม่ให้คุณนายดวงสุดามาส่งล่ะ”

          “ผมไม่อยากกวนเขาครับ อีกประการหนึ่งผมอยากให้การมาครั้งนี้เป็นความลับ ทั้งคุณกิมง้อและหนูดวงสุดาไม่ทราบว่าผมมา” เถ้าแก่เส็งตอบ

          “อ้อ แล้วจะค้างหรือเปล่า หรือว่ากลัวทางบ้านเขาจะเป็นห่วง”

          “ไม่ค้างครับ ผมว่าจะมากราบหลวงพ่อ แล้วก็จะกลับ”

          “ถ้าอย่างนั้นก็อยู่ทานอาหารกลางวันเสียก่อน เดี๋ยวชวนโชเฟอร์เขาไปทานด้วย คงไม่รีบร้อนใช่ไหม”

          “ครับ ก็ตั้งใจว่าทานอาหารกลางวันแล้วจึงจะกลับ ขอบพระคุณหลวงพ่อมากครับที่เมตตา” พูดพร้อมกับประนมมือไหว้

          “โยมเถ้าแก่โชคดีนะที่มาแล้วพบท่าน ที่จริงวันนี้ท่านต้องไปบรรยายธรรมที่กรุงเทพฯ แต่ถ้าผู้จัดเขาขอเลื่อนกะทันหัน” พระบัวเฮียวพูดหมายจะเอาบุญเอาคุณ หากก็ต้องผิดหวังเมื่อบุรุษวัยเจ็ดสิบตอบว่า

          “แต่ผมทราบครัวว่าท่านต้องอยู่ ที่เหมารถแท็กซี่มาตั้งสามร้อยก็เพราะต้องการมาพิสูจน์เรื่องนี้ด้วยครับ”

          “โยมทราบได้อย่างไรล่ะ” ท่านเจ้าของกุฏิถามอย่างสนใจ เถ้าแก่เส็งจึงเล่าว่า

          “มันแปลกมากครับหลวงพ่อ เมื่อเย็นวานขณะที่ผมกำลังนั่งสมาธิผมรู้สึกคิดถึงหลวงพ่อมาก กำหนดอย่างไรก็ไม่หายคิดถึง เลยตั้งใจว่า พรุ่งนี้จะต้องมากราบหลวงพ่อ พอคิดได้ดังนั้นก็เกิดความกังวลอีกว่า อาจจะไม่พบเพราะไม่ใช่วันพระ ความที่ผมอยากรู้จึงพยายามรวมจิตให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิ แล้วผมก็กำหนด “เห็นหนอ เห็นหนอ” ก็เกิดนิมิตเห็นหลวงพ่ออยู่ที่วัด ขณะเดียวกันก็มีเสียงกระซิบที่ข้างหูว่า “พรุ่งนี้ท่านพระครูไม่ได้ไปไหน พรุ่งนี้ท่านพระครูอยู่วัด” ผมก็เลยมาพิสูจน์นี่แหละครับ” เถ้าแก่เส็งเล่าจบท่านพระครูจึงถามขึ้นว่า

          “แล้วคุณโยมผู้หญิงกับคุณนายดวงสุดา รู้หรือเปล่า”

          “ผมไม่ได้เล่าให้คุณกิมง้อฟังครับ กลัวเขาจะหาว่าเหลวไหล ส่วนลูกดวงสุดาเขาไม่ได้มาหาผม เขาอยู่ที่บ้านเขาครับ”

          “แปลว่าโยมเถ้าแก่ได้ “เห็นหนอ” ใช่ไหมครับหลวงพ่อ” พระบัวเฮียวถามอย่างตื่นเต้น

          “ถูกแล้วบัวเฮียว เห็นไหมว่ามันไม่ได้ยากเย็นแต่ประการใด ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่จะเกินความสามารถของมนุษย์ผู้มีความเพียรไปได้ จริงไหม”

          “จริงครับ”

          “อาตมาขออนุโมทนานะ โยมเถ้าแก่มีวิริยะอุตสาหะดีเหลือเกิน” ท่านพระครูเอ่ยปากชม

          “อาตมาก็ขออนุโมทนาด้วย” พระบัวเฮียวพูด รู้สึกดีใจและเสียใจระคนกัน ดีใจเพราะ “ลูกศิษย์” มีความก้าวหน้าในการปฏิบัติ แต่ที่เสียใจเพราะเกิดความรู้สึกว่าตนคงจะย่อหย่อนในการทำความเพียร จึงยังไม่บรรลุผลที่มุ่งหวัง ท่านอยากได้ “เห็นหนอ” มานาน แต่ก็ยังไม่ได้ เถ้าแก่เส็งปฏิบัติทีหลังแต่กลับได้ก่อนท่าน

          พระอุปัชฌาย์รู้ความคิดของคนเป็นศิษย์จึงพูดขึ้นว่า

          “ไม่ต้องเสียอกเสียใจไปหรอกบัวเฮียวเอ๋ย ของอย่างนี้ไม่ใช่จะได้กันง่าย ๆ หรอกนะ แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าปฏิบัติชาตินี้แล้วจะได้ในชาตินี้ เรื่องของอภิญญานั้น คนที่จะได้ต้องเคยสะสมบารมีมาตั้งแต่ชาติก่อน ๆ แล้วอีกประการหนึ่ง การที่เธอยังไม่ได้เพราะเธออยากได้ จงจำไว้ว่าถ้าอยากแล้วจะไม่ได้ ต้องไม่อยากได้จึงจะได้”

          “หมายความว่าอย่างไรครับ ผมชักจะงง ๆ เสียแล้ว”

          “ก็หมายความว่า ที่เธอยังไม่ได้ “เห็นหนอ” เพราะเธอไปอยากได้มันน่ะซี เธอจะต้องทำเฉย ๆ อย่าไปมุ่งมั่นจนเกินไป แล้วเธอก็จะได้เอง” ท่านพระครูแนะนำ

          “แปลว่าผมต้องฝืนใจใช่ไหมครับ คือทำเป็นไม่อยากได้ แบบนี้ก็โกหกตัวเองซีครับ”

          “เธอก็ต้องทำใจไม่ให้อยากได้จริง ๆ ซี ไม่งั้นมันก็เป็นการโกหกตัวเองอย่างที่เธอว่านั้นแหละ” แล้วถ้ามเถ้าแก่เส็งว่า

          “เวลาโยมปฏิบัติธรรม โยมหวังว่าจะได้ “เห็นหนอ ไหม ตั้งใจไว้เลยไหมว่าจะต้องให้ได้”

          “ผมไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยครับ ผมรู้แต่ว่าทางที่ผมกำลังดำเนินอยู่นี้เป็นทางสายเอกที่จะนำไปสู่ความหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง ถ้าผมตั้งใจปฏิบัติก็อาจจะเข้าถึงความดับทุกข์ได้ ส่วนอดีตและอนาคตผมจะพยายามไม่คิดถึง” เถ้าแก่เส็งตอบอย่างคนที่ “เข้าถึงธรรม” โดยแท้

          พระบัวเฮียวฟังแล้วรู้สึกละอายใจ เพราะตัวท่านปฏิบัติธรรมชนิดที่ยังมีโลภะ ความอยากได้ “เห็นหนอ” ก็คือตัวโลภะ นั่นเอง

          “หลวงพ่อครับต่อไปนี้ผมจะไม่หวังอีกแล้วครับ ฟังโยมเถ้าแก่พูดแล้วผมรู้สึกละอายใจตัวเองนัก ผมจะไม่สนใจว่าจะได้ “เห็นหนอ” หรือไม่ได้ เพราะมันไม่เกี่ยวกับความดับทุกข์ใช่ไหมครับ”

            “ถูกแล้วบัวเฮียว “เห็นหนอ” ก็คือ การได้ทิพยจักษุ เป็นอภิญญาข้อหนึ่งในหกข้อ ดูเหมือนฉันจะเคยอธิบายให้เธอฟังแล้วว่า อภิญญาห้าข้อแรกนั้นเป็นโลกียปัญญา ปุถุชนคนธรรมดาก็สามารถมีได้หากได้ฌาณ ๔ และสมาธิกล้าแข็งพอ แต่อภิญญาข้อสุดท้ายที่มีชื่อว่า อาสวักชยญาณนั้นเป็น โลกุตตรอภิญญา พระอรหันต์เท่านั้นจึงจะมีได้ และเมื่อได้แล้วก็จะไม่เสื่อม ส่วนโลกียอภิญญานั้นเสื่อมได้ ถ้าฌานเสื่อม”

          “ถ้าอย่างนั้นพระอริยบุคคลชั้นต้นเช่น พระโสดาบันก็ไม่จำเป็นว่าจะได้อภิญญาใช่ไหมครับ”

          “ถูกแล้ว และคนที่ได้อภิญญาก็ไม่จำเป็นว่าจะได้เป็นพระโสดาบัน เพราะมันไม่เกี่ยวกัน ผู้ที่บรรลุโสดาบันปัตติผลเป็นพระโสดาบันนั้น เพราะละสังโยชน์เบื้องต่ำได้สามอย่างคือ สักกายทิฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส ไม่เกี่ยวข้องกับอภิญญาแต่ประการใด” ท่านพระครูอรรถาธิบาย

          “แต่หลวงพ่อครับ เมื่อกี้หลวงพ่อว่าพระปฏิบัติได้ก้าวหน้ากว่าฆราวาส แบบนี้จะแปลว่า ฆราวาสไม่มีโอกาสบรรลุมรรคผลอย่างนั้นสิครับ อย่างที่หลวงพ่อว่าบางคนได้ถึงญาณ ๑๓ แต่ก็ติดอยู่แค่นั้น”

          “ไม่เสมอไปหรอกบัวเฮียว ที่ฉันยกตัวอย่างให้เธอฟังเมื่อกี้นั้น ฉันหมายเฉพาะคนที่เขาเข้ามาปฏิบัติกรรมฐานที่วัด คือขณะอยู่ในวัดอาจได้ถึงญาณ ๑๓ แต่พอกลับไปบ้าน เขาไม่ปฏิบัติต่อเขาก็จะไม่สามารถก้าวไปถึงญาณ ๑๔ หรือญาณ ๑๖ เป็นพระโสดาบันได้ ผู้ที่เป็นฆราวาสมีโอกาสที่จะบรรลุได้ถึงระดับอนาคามีผลนั่นเทียว”

          “ไม่ถึงอรหัตตผลหรือครับ ทำไมไม่ถึงเล่าครับ”

          “ถ้าถึงก็จะต้องบวชภายในเจ็ดวัน ถ้าไม่บวชก็ต้องตาย

          “ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นครับ” บุรุษสูงวัยถามอย่างสงสัย พระบัวเฮียวก็กำลังจะถามแบบเดียวกันนี้

          “เพราะภาวะความเป็นอยู่ของฆราวาสไม่สามารถรองรับภาวะของพระอรหันต์ได้ ในสมัยพุทธกาลเคยมีปรากฏ ทีฆราวาสบรรลุอรหัตตผลแล้วไม่บวช เพราะท่านมีภาระต้องเลี้ยงดูบิดามารดาซึ่งตาบอด เมื่อท่านบรรลุได้ไม่ถึงเจ็ดวันก็ถูกวัวบ้าขวิดถึงแก่ความตาย” ยินคำว่า “วัว” พระบัวเฮียวก็ขนลุกซู่โดยไม่ทราบต้นสายปลายเหตุ อาจเป็นด้วยจิตใต้สำนึกของท่านมีความเกี่ยวพันกับวัวควายนั่นเอง

          “แบบนี้วัวตัวนั้นก็บาปแย่เลยนะครับหลวงพ่อ” เถ้าแก่เส็งถาม

          “บาปแน่นอน เพราะเป็นครุกรรมข้อ อรหันตฆาต”

          “ไม่น่าเลยนะครับ ท่านเป็นถึงพระอรหันต์ ไม่น่ามาเสียชีวิตเพราะถูกวัวบ้าขวิด” บุรุษสูงวัยรู้สึกปลงสังเวช

          “จะเป็นอะไรก็ตาม ไม่มีใครหนีกรรมพ้น พระพุทธองค์ตรัสเรื่องนี้ให้ภิกษุฟังว่าเป็นเพราะพระอรหันต์รูปนี้ท่านเคยสร้างกรรมไว้กับวัว จึงต้องมาชดใช้” ฟังถ้อยคำของพระอุปัชฌาย์ พระหนุ่มก็เสียววาบเข้าไปถึงหัวจิตหัวใจ จึงเสถามเถ้าแก่เส็งว่า

          “เวลานั่งสมาธิโยมเถ้าแก่เคยง่วงไหม ง่วงมาก ๆ จนแม้จะลุกขึ้นเดินก็ยังง่วงน่ะเคยเป็นไหม”

          “เคยครับแต่นานมาแล้ว ดูเหมือนจะตอนที่ปฏิบัติเดือนแรก ๆ โน่นแน่ะครับ” บุรุษสูงวัยตอบ

          “แล้วโยมทำยังไง”

          “ผมก็พยายามอยู่ในที่แจ้งบ้าง รับประทานอาหารให้น้อยลงบ้าง นอนบ้าง”

          “แล้วหายง่วงไหม”

          “ไม่หายครับ มันยิ่งง่วงหนักขึ้นไปอีก ง่วงแล้วก็รู้สึกเบื่อหน่ายไปหมด ผมก็พยายามเอาชนะมันด้วยการกำหนดสติอยู่ตลอดเวลา ง่วงก็กำหนดว่า “ง่วงหนอ” พอนอนไม่หลับก็กำหนดว่า “นอนไม่หลับหนอ” เมื่อรู้สึกเบื่อก็กำหนดว่า “เบื่อหน่ายหนอ” เรียกว่าผมไม่ยอมให้เผลอสติเลยแหละครับ เป็นอยู่อย่างนี้สักสามสี่วันก็หาย พอหายผมรู้สึกสบายอกสบายใจมาก ก็เกิดปีติว่าผมเอาชนะมารได้แล้ว และตั้งใจว่าจะเร่งทำความเพียรต่อไป เพราะอายุผมก็มากแล้ว จะอยู่ไปอีกนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ได้ หากมัวเห็นแก่กินแก่นอนก็จะทำให้ชีวิตเป็นหมัน เสียชาติเกิด ผมคิดอย่างนี้แหละครับ”

          “แล้วโยมสงสัยบ้างไหมว่าอาการเช่นนั้นมันเกิดจากอะไร อาการที่ง่วงมาก ๆ และเบื่อหน่ายทุกสิ่งทุกอย่างน่ะ” หากเจ้าของกุฏิถาม มิใช่ท่านไม่รู้คำตอบ ทว่าต้องการให้บุรุษสูงอายุได้ “สอน” พระหนุ่มทางอ้อม

          “ผมคิดว่ามันไม่ใช่ความง่วงธรรมดา ๆ คงจะต้องเป็นการปรากฏของสภาวธรรมอะไรสักอย่างหนึ่ง ผมแน่ใจว่าจะต้องเป็นเช่นนั้นครับ”

          “ถูกแล้ว นั่นแหละเป็นอาการของ “นิพพิทาญาณ” และที่โยมปฏิบัติตามที่เล่ามานั้นก็ถูกต้องแล้ว การปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้ามีความเด็ดเดี่ยวและใจสู้มันก็ไม่ยากจนเกินไป นี่อาตมาหมายถึงธรรมระดับสูงนะ” ท่านใช้ “เห็นหนอ” เข้าตรวจสอบก็ได้รู้ว่าบุรุษตรงหน้าได้ถึงญาณ ๑๓ แล้ว และคงจะบรรลุญาณ ๑๖ ในไม่ช้านี้ ท่านไม่พูดอะไรออกมาด้วย ไม่ต้องการให้คนที่เพิ่งได้ญาณ ๘ เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจอีก

          เมื่อพูดถึงเรื่องง่วงท่านพระครูก็นึกถึงอดีตสมัยที่ท่านอายุสิบสองสิบสาม จึงเล่าให้พระบัวเฮียวและเถ้าแก่เส็งฟังเป็นการคลายความเครียดว่า

          “อาตมามีเรื่องขำ ๆ จะเล่าให้ฟัง เรื่องง่วงนี่แหละ สมัยที่อาตมาอายุสิบสองสิบสาม อาตมาอยู่กับยาย พอตีสี่ยายก็ปลุกแล้ว ปลุกให้ลุกหุงข้าวใสบาตร วิธีปลุกของยายยอดเยี่ยมมาก โดยมจะลองเอาไปใช้กับลูกกับหลานก็ได้” ท่านบอกเถ้าแก่เส็ง

          “ทำอย่างไรครับ” ถามอย่างสนใจ

          “ก็ไม่ทำอะไรมาก ตอนแรกก็เข้าไปเขย่าตัวบอก “ไอ้หนู ไอ้หนู ลุกหุงข้าวใส่บาตรได้แล้ว” อาตมากำลังง่วงก็ตอบ ฮื่อ ๆ รู้แล้ว ขอนอนต่ออีกนิดเดียว ยายก๊ดขึ้นเหยียบเลย บอกจะลุกไม่ลุก อาตมากำลังอยากนอนเลยบอกกับยายว่า “แหม ดีจังเลยยาย ผมกำลังปวดเมื่อยอยู่พอดี ยายมาช่วยเหยียบให้ทุกวันเลยนะ”

          “แล้วท่านว่ายังไงครับ” พระบัวเฮียวถาม

          “แกก็บอก งั้นยายจะไปเอาไม้เรียวมาช่วยนวดให้นะหลานนะ เด็กอะไรขี้เกียจตัวเป็นขน ไม่เรียกไม่ลุก ไม่ปลุกไม่ตื่น”

          “แล้วหลวงพ่อทำยังไงครับ”

          “จะทำยังไงล่ะ ฉันก็ต้องรีบลุกขึ้นมาหุงข้าวน่ะซี ทีนี้ข้าวสมัยนั้นน่ะ เขาใช้หม้อดินหุง แล้วก็ใช้เตาฟืน ฉันก็ก่อไฟ ความง่วงก็เลยจับดุ้นฟืนนั่งหลับอยู่หน้าเตาไฟนั่นแหละ ยายมาเห็นเข้าก็ตบให้สองฉาด นี่ตบที่หน้านี่ ตบข้างซ้ายที ข้างขวาที” ท่านทำท่าประกอบ

          “แล้วเป็นยังไงบ้างครับ” พระบัวเฮียวถามอย่างนึกสนุก ท่านพระครูตอบหน้าตาเฉยว่า

          “ก็ค่อยยังชั่วขึ้นมาหน่อยนึง”

          “คุณนายของหลวงพ่อคงจะดุมากนะครับ” เถ้าแก่เส็งถาม

          “ดุ หรือ ไม่ดุ อาตมาก็ถูกตีไม่เว้นแต่ละวันเชียวแหละ บางวันก็ถูกตีสามครั้งหลังอาหารเช้า กลางวัน เย็น”

          “น่าจะแถมก่อนนอนอีกรอบนะครับ เพราะเวลาหมอให้ยาเขาจะให้กินหลังอาหารเช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน” พระบัวเฮียวว่าไปโน่น

          “บางวันก็ได้แถมก่อนนอนด้วย” ท่านเจ้าของกุฏิสารภาพ

          “งั้นแสดงว่าหลวงพ่อก็คงไม่เบาเหมือนกันนะครับ” พระบัวเฮียวว่า

          “เอ! จะว่าหนักก็ไม่เชิงนะ เพราะตอนนั้นยังผอม” พระอุปัชฌาย์ตั้งใจยั่วลูกศิษย์

          “แหม หลวงพ่อก็รู้ว่าผมไม่ได้หมายความยังงัน คือผมต้องการจะพูดว่าเด็กที่ถูกผู้ใหญ่ตีทุกวัน ๆ ละสามสี่ครั้งน่ะคงจะไม่เบาทีเดียว คือจะต้องเกเรจนขึ้นชื่ออะไรทำนองนี้”

          “เกหรือไม่เกคนเขาก็เรียกฉันว่า ไอ้มหาโจรกันทั้งบางนั่นแหละ”

          “แล้วหลวงพ่อเกลียดคุณยายไหมครับ ถูกคุณยายตีทุกวันแล้วรู้สึกเกลียดคุณยายไหม” คนเป็นฆราวาสถาม

          “ตอนนั้นเกลียด แต่ตอนนี้รัก เพราะถ้าไม่ได้ไม้เรียวยาย อาตมาก็ไม่ได้มาเป็นอย่างเช่นทุกวันนี้ อาตมารู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของยายมาก” เงียบกันไปครู่หนึ่ง ท่านเจ้าของกุฏิก็พูดขึ้นอีกว่า

          “มีอยู่ครั้งนึงอาตมาหนีไปเที่ยวดูหนัง โกหกยายว่าจะไปติดกัน เพื่อนจวนสอบไล่ ที่แท้หนีไปดูหนังกับเพื่อนกลับเสียดึก พอยายมาปลุกก็บอกยายว่าวันนี้ขอวันนึงเถอะ เพราะติวกับเพื่อนเหนื่อยมาก ขอตอนตื่นสายสักวัน ยายก็บอกว่า “ไอ้หนู เอ็งจะนอนยายก็ไม่ว่าหรอก แต่ก่อนจะนอนต้องลุกหุงข้าวใส่บาตรก่อน แล้วก็กินข้าวกินปลาเสียให้เรียบร้อยแล้วค่อยกลับมานอน” นี่เห็นไหมนโยบายของยายอาตมานี่เยี่ยมจริง ๆ อาตมาก็เลยสะลึมสะลือลุกขึ้นไปก่อไฟตั้งหม้อข้าว ไฟมันก็ไม่ติดซักที ก่อไฟอยู่ตั้งนานก็กลัวข้าวจะไม่ทันพระ เลยใส่ฟืนใหญ่ กระทุ้งฟืนเข้าไปในเตา แล้วก็จะเป็นเพราะความง่วงหรือเพราะมือหนักก็ไม่ทราบ กระทุ้งเสียหม้อข้าวแตกเลย”

          “แล้วยายของหลวงพ่อว่ายังไงครับ” พระบัวเฮียวถาม รู้สึกสนุกสนานกับเรื่องที่ท่านเล่า

          “ก็ไม่ว่ายังไงหรอก แต่ตีเสียอานไปเลย คราวนั้นเล่นเอาหลังลายไปหลายวัน”

          “แหม! ชีวิตหลวงพ่อนี่โลดโผนดีจังนะครับ“ พระหนุ่มว่า

          “ใช่ ก็ทำให้มีชีวิตชีวาดีเหมือนกัน ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ฉันยังนึกขำอยู่จนทุกวันนี้ คือเรื่องละเมอ”

          “ใครละเมอครับ หลวงพ่อหรือคุณยาย” เถ้าแก่เส็งถาม

          “อาตมา คือก่อนนอนมันกังวลว่าน้ำ มันแห้งโอ่ง พรุ่งนี้จะต้องตื่นขึ้นตักน้ำแต่เช้า พอหลับไปก็เลยละเมอ นี่ชาวบ้านเขามาเล่าให้ฟังตอนเช้า เขาบอกว่าเห็นอาตมาตักน้ำตั้งแต่ตีสี่ ตักขึ้นบ้าน อาตมาก็แปลกใจว่าคนละเอาทำไมถึงหาบกระแต๋งไปสระได้ แถมขึ้นบันไดบ้านถูกด้วย เขาว่าอาตมาตักเอา ๆ เขาพูดด้วยก็ไม่พูด ก็คนละเมอจะรู้เรื่องยังไง จริงไหม” ท่านถามพระบัวเฮียว

          “จริงครับ แล้วเขาบอกไหมครับว่าเขาพูดว่าอย่างไร”

          “เขาบอกเขาตะโกนถามว่า “ไอ้หนูนึกยังไง ลุกขึ้นมาตักน้ำตั้งแต่ตีสี่” ฉันก็ไม่พูดกับเขา ตักน้ำเสร็จก็กลับไปนอนจนรุ่งเช้า”

          “แล้วไม่ลุกหุงข้าวหรือครับ”

            “ไม่ลุกเพราะยายไม่ได้ปลุก ยายไม่อยู่ ไปช่วยงานที่บ้านเหนือ พอตื่นเช้ามาก็ตกใจ โอ้โฮ! น้ำเต็มโอ่งหมดทั้งสิบโอ่ง แถมโอ่งข้าวสารก็มีน้ำเต็ม ข้าวสารลอยเป็นแพเลย”

          “หลวงพ่อก็เลยถูกยายตีอานไปเลย” พระบัวเฮียวเดา คราวนี้ท่านพระครูตอบอย่างผู้มีชัยว่า

          “โน คราวนี้ฉันรอดตัว เพราะพอยายกลับมาจากบ้านเหนือก็ถามว่า “ไอ้หนู ใครแช่ข้าวให้ยาย” ฉันก็ตอบว่า “ผมละเมอตักน้ำใส่โอ่งข้าวสาร” กลัวยายตีก็กลัว แต่ยายกลับตอบว่า “เออดี บ้านเหนือเขากำลังจะทำขนมจีน งั้นเองรีบเอาไปให้เขาทำแป้งขนมจีนเร็ว ๆ เข้า”

          เสียงระฆังเพลดังขึ้น พระบัวเฮียวกราบพระอุปัชฌาย์สามครั้ง แล้วลุกเดินไปยังหอฉัน ท่านพระครูบอกเถ้าแก่เส็งว่า

          “ไป เชิญไปรับประทานอาหารก่อน เดี๋ยวค่อยมาคุยกันต่อ สมชายไปเรียกโชเฟอร์มาด้วย” สั่งเสร็จท่านก็ขึ้นไปยังชั้นบนของกุฏิเพื่อเขียนหนังสือสอบอารมณ์กรรมฐาน...

         

         

 

         

 

มีต่อ........๓๖