สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๓๗

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

ธันวาคม ๒๕๓๗

S00037

๓๗...

            “หลวงพ่อครับ การแผ่เมตตา เราจะแผ่ให้คนเป็น ๆ ได้ไหมครับ” พระบัวเฮียวถามท่านพระครู

            “คนเป็น ๆ ของเธอน่ะมันเป็นอย่างไรล่ะ” คนถูกถามแกล้งทำไม่เข้าใจเพราะไม่คิดว่าลูกศิษย์จะถามอะไรเชย ๆ แบบนี้

            “คนเป็น ๆ ก็คือคนที่ไม่ตาย แล้วคนที่ตายก็คือคนที่ไม่เป็นน่ะครับ” เมื่ออาจารย์แกล้งมา ลูกศิษย์จึงแกล้งไปบ้าง

            “เธอตอบเกินคำถามแล้วนะบัวเฮียว ฉันให้เธออธิบายเฉพาะคนเป็น ๆ เธอก็อธิบายคนตาย ๆ มาด้วย ทั้งที่ฉันไม่ได้ถาม

            “ผมทราบนี่ครับว่าหลวงพ่อจะต้องถามต่ออีก เลยตอบ ๆ ไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด”

            “แปลว่าเธอได้ “เห็นหนอ” แล้วใช่ไหม ขอแสดงความยินดีด้วยนะ” ท่านยั่วอีก   

            “ผมยังไม่เก่งกาจขนาดนั้นหรอกครับหลวงพ่อ หมายถึงตอนนี้นะครับ แต่ต่อไปไม่แน่” คนพูดทำเขื่อง

            “นี่ขนาดยังไม่เก่งก็ยังเก่งถึงปานนี้ แล้วถ้าเก่งล่ะจะเก่งถึงปานไหน” อาจารย์เอ่ยชม ชมเผื่อไปถึงอนาคตด้วย       

            “ผมเพียงแต่เดาใจหลวงพ่อได้ถูกต้องเท่านั้นเองครับ ก็ถูกแกล้งเสียจนชิน ก็เลยรู้ทางหนีทีไล่” คนเป็นศิษย์ว่า

            “ผมไม่ได้ “หาว่า” นะครับ ก็หลวงพ่อเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ผมไม่ชอบใส่ร้ายป้ายสี ไม่เชื่อถามผมดูก็ได้ หลวงพ่อรังแกผมทุกครั้งที่โอกาสอำนวย บางครั้งโอกาสไม่อำนวย หลวงพ่อก็ยังรังแกเลย” พระบัวเฮียวถือโอกาส “แก้แค้น” ด้วยการต่อว่า

            “ก็ถ้าไม่รังแกเธอ แล้วจะไปรังแกใครเล่า”

            “นั่นไง หลวงพ่อสารภาพแล้ว” “โจทก์” พูดอย่างเป็นต่อ

            “สารภาพแล้วก็แปลว่าได้รับการลดโทษครึ่งหนึ่งใช่ไหม”

            “คงใช่มังครับ”

            “คง ไม่ได้ซี ภาษากฎหมายต้องระบุให้ชัดเจนลงไปเลย”

            “ผมไม่ได้เรียนกฎหมายมาครับ”

            “ฉันก็ไม่ได้เรียนแต่ฉันรู้เอง ใคร ๆ เขาก็ว่าฉันรู้ตั้งแต่ก่อนเกิด” อาจารย์ถือโอกาส “คุย” บ้าง”

            “แล้ว ใคร ๆ น่ะเชื่อถือได้แค่ไหนครับ เชื่อได้แค่ไหน”

            “ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ก็ต้องเชื่อได้นั่นแหละน่า”

            “เอาละครับ เป็นอันว่าหลวงพ่อได้ลดโทษไปครึ่งนึงเพราะยอมรับสารภาพ” คนเป็นลูกศิษย์สรุป

            “พอดีฉันมีโทษแค่ครึ่งเดียว พอได้ลดครึ่งก็เลยหมดพอดี เรียกว่าเจ๊ากันไป”

            พระบัวเฮียวเห็นไม่ได้การ ถ้ามัวพูดเลอะเลือนเลื่อนเปื้อนแบบนี้ไม่ได้การแน่ จึงวกกลับมาพูดเรื่องเดิม

            “แหม หลวงพ่อครับ ผมถามนิดเดียว หลวงพ่อแถมให้เป็นกิโล ๆ เลย”

            “แล้วไม่ชอบหรือไง สมัยนี้เขาต้องมีของแถมกันทั้งนั้น ซื้อไม้จิ้มฟันแถมโลงศพอะไรเทือกนี้”

            “แต่ผมไม่ชอบของแถมหรอกครับ สินค้าที่มีของแถมมันแสดงถึงว่าคุณภาพไม่ดี ถ้าดีไม่ต้องมีของแถมคนก็แย่งกันซื้อ จริงไหมครับ”

            “จริงก็ได้ ไม่จริงก็ได้” คนตอบเล่นลิ้น ท่านเคร่งเครียดกับ ธุระของคนอื่นมามากแล้ว มีพระบัวเฮียวนี่แหละที่ช่วยให้คลายเครียดได้

            “งั้นเอาจริงก็แล้วกันนะครับ ผมมันคนจริง เอาละครับ ทีนี้หลวงพ่อตอบคำถามผมด้วยเถอะครับ ที่ผมถามว่าเราแผ่เมตตาให้คนเป็น ๆ จะได้หรือไม่” พระหนุ่มต้องทวนคำถาม มิฉะนั้นท่านพระครูจะต้องย้อนว่า “เธอถามว่ายังไงล่ะ” เมื่อลูกศิษย์ถามจริงจัง อาจารย์จึงตอบว่า

            “ได้สิบัวเฮียว ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”

            “ถ้าย่างนั้นผมจะแผ่เมตตาไปให้โยมแม่กับผัวเขา หลวงพ่อว่าเขาจะได้รับไหมครับ”

            ท่านพระครูมองหน้าลูกศิษย์พลางประเมินผลในใจ “แบตเตอรี่ลูกนี้ชาร์จไฟไว้เต็ม หม้อก็ไม่รั่ว จึงพร้อมที่จะถูกนำมาใช้ประโยชน์ได้ทุกเมื่อ” คิดดังนี้แล้ว จึงตอบว่า

            “ได้อย่างแน่นอน เธอปฏิบัติได้ถึงขั้นแล้ว แม้จะยังไม่ได้ “เห็นหนอ” แต่ก็สามารถแผ่เมตตาไปให้ผู้อื่นได้” พระบัวเฮียวแสนจะดีใจ จนลืมกำหนด “ดีใจหนอ” พระอุปัชฌาย์จึงกล่าวเตือนว่า

            “บัวเฮียว ทำไมไม่กำหนด “ดีใจหนอ” ล่ะ” พระหนุ่มปฏิบัติตาม เมื่อข่มความยินดีลงได้แล้ว จึงพูดขึ้นว่า

            “สองสามวันมานี่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรครับหลวงพ่อ ผมคิดถึงแต่โยมแม่ ไม่รู้แกสุขสบายดีหรือเปล่า ผมเคยเขียนจดหมายทิ้งไปเมื่อก่อนปีใหม่ แกก็เงียบงอมไปเลย ได้รับหรือเปล่าก็ไม่รู้”

            “ก็เธอเขียนทิ้งไปใครเขาจะได้รับล่ะ ต้องเขียนส่งไปเขาถึงจะได้รับ” ท่านพระครูยังอยากยั่วต่อ

            “หลวงพ่อว่าแกได้รับหรือเปล่าครับ” คนถูกยั่วไม่ยั่วตอบ หากถามเป็นงานเป็นการ ท่านต้องการให้พระอุปัชฌาย์ใช้ “เห็นหนอ” ตรวจสอบให้

            “ได้รับซี” ท่านพระครูเผลอตกหลุมพรางจนได้ ที่จริงพระบัวเฮียวไม่ได้ตั้งใจจะ “ต้อน” พระอุปัชฌาย์ แต่เมื่อโอกาสเป็นของท่านแล้วจะละเลยเสียก็กระไรอยู่ อีกประการหนึ่งท่านก็ได้รับคำตอบเป็นที่พอใจแล้ว จึงขอ “เวลานอก” ยั่วอาจารย์เล่นแก้เซ็ง

            “อ้าว ก็ไหนหลวงพ่อบอกว่าทิ้งไปไม่ได้รับ ต้องส่งไปถึงจะได้ แล้วทำไมโยมแม่ผมได้รับล่ะครับ ในเมื่อผมทิ้งไป”

            “เออน่า ฉันช่วยให้เขาได้รับเองแหละ” ท่านพระครูถือโอกาสพูดเอาบุญเอาคุณ คนเป็นศิษย์จึงกลับมาพูดเป็นงานเป็นการอีกว่า

            “หลวงพ่อครับ ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ เวลาสองทุ่มผมจะนั่งสมาธิแผ่เมตตาไปให้โยมแม่กับผัวเขา ผมจะนั่งไปจนถึงสองโมงเช้าเลยนะครับ”

            “เธอนั่งได้นานขนาดนั้นหรือ ตั้งสิบสองชั่วโมงเชียวนะ”

            “ผมทำได้ครับหลวงพ่อ ผมเคยนั่งมาแล้ว”

            “ดีจริง ฉันขออนุโมทนาด้วย แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอนั่งหลับนะ” พระอุปัชฌาย์ยังสงสัย

            “ไม่หลับครับหลวงพ่อ ผมมีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาที่นั่ง หายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ ท้องพองก็รู้ว่าพอง ท้องยุบก็รู้ว่ายุบ เจ็บปวดตรงไหนก็กำหนด ผายลมกี่ครั้งก็กำหนดทุกครั้ง” ลูกศิษย์สาธยายเสียยืดยาว อาจารย์กำลังจะบอกให้หยุด ก็พอดีคนเป็นศิษย์หยุดเองเสียก่อน

            “ทีหลังไม่ต้องอธิบายละเอียดอย่างนี้ก็ได้ ฉันรู้แล้วว่าเธอปฏิบัติได้จริง เร่งทำความเพียรเข้าจะได้ใช้หนี้เวรหนี้กรรมให้หมด พระบัวเฮียวก็ถึงกับขนลุก จึงกำหนด “ขนลุกหนอ” ด้วยสติอันว่องไวที่ได้ฝึกไว้ดีแล้ว

            “หลวงพ่อครับ พรุ่งนี้ตีสี่ผมไม่ต้องลงโบสถ์ได้ไหมครับ เพราะผมยังอยู่ในสมาธิ”

            “ได้ เพราะถือว่าเธอกำลังปฏิบัติอยู่เหมือนกัน เพียงแต่ไม่ได้ปฏิบัติร่วมกับคนอื่น ๆ แต่ก็ไม่ถือว่าผิดกติกาแต่ประการใด เมื่อเธอนั่งจนครบสิบสองชั่วโมงแล้ว ให้ถอนจิตออกจากสมาธิเสียก่อน แล้วจึงค่อยแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลไปให้เขา เธอเข้าใจแล้วใช่ไหม”

            “เข้าใจครับ ขอบพระคุณหลวงพ่อที่เมตตาผมมาโดยตลอด บุญของผมแท้ ๆ ที่ได้มาพบพระอุปัชฌาย์ที่ประเสริฐเช่นหลวงพ่อ” พูดพร้อมกับก้มลงกราบด้วยความสำนึกในบุญคุณ

            “หลวงพ่อครับ เราแผ่เมตตาข้ามทวีปได้ไหมครับ” พระบัวเฮียวถามขึ้นอีก

            “ได้ แต่คนแผ่จะต้องมีพลังสมาธิกล้าแข็งพอ ต้องปฏิบัติอย่างจริงจัง เคยมีนะ เคยมีคนทำมาแล้วที่วัดนี้แหละ”

            “ใครครับ เดี๋ยวนี้ยังอยู่ที่วัดนี้หรือเปล่าครับ” ท่านคิดไปถึงพระมหาบุญ คงเป็นพระมหาบุญนั่นเอง

            “ไม่อยู่แล้ว เป็นชาวนอรเว มาบวชที่วัดนี้แล้วปฏิบัติเคร่งครัดมาก จนสามารถแผ่ส่วนกุศลไปให้พ่อแม่กับปู่เขาที่นอรเวได้ เอาเถอะถ้าเธออยากรู้เรื่องวันหลังจะเล่าให้ฟัง

            “ถ้าอย่างนั้นการที่คหบดีและครอบครัวช่วยกันแผ่เมตตาไปให้ลูกชายคนโตที่อเมริกาก็ได้ซีครับ”

            พูดถึงคหบดีท่านพระครูก็นึกได้จึงวาน “เห็นหนอ” ตรวจสอบแล้วก็รู้เรื่องเดี๋ยวนั้น จึงตอบ

            “ได้ซี แล้วตอนนี้ก็เข้าสุสานไปแล้ว คหบดีกับภรรยาเดินทางไปรับศพเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมานี่เอง”

            “แบบนี้ก็ไม่ดีซีครับ แผ่เมตตาไปทำให้เขาตาย ถ้าไม่แผ่เขาอาจจะยังไม่ตายก็ได้”

            “ดีสิบัวเฮียว ทำไมจะไม่ดีล่ะ ก็คนติดยาน่ะมีความสุขนักหรือ เขาตายไปจะได้หมดเวรหมดกรรม แล้วก็จะได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดีกว่า ถึงอย่างไรคนที่ติดยาก็อายุสั้นอยู่แล้ว ตายแบบได้รับส่วนกุศลกับตายแบบไม่ได้รับน่ะ อย่างไหนจะดีกว่ากัน เธอคิดเอาเองก็แล้วกัน”

         “แต่พ่อแม่เขาจะคิดจะเข้าใจเหมือนที่ผมกับหลวงพ่อเข้าใจหรือเปล่าก็ไม่รู้”

            “เขาเข้าใจ คนที่เขาปฏิบัติจะเข้าใจธรรมชาติของชีวิตได้ดีกว่าคนที่ไม่ได้ปฏิบัติ ฉันก็บอกเขาเป็นนัย ๆ แล้ว อีกประการหนึ่ง การตายของลูกจะช่วยชีวิตพ่อเอาไว้ คหบดีเขาตั้งใจจะเลิกค้ายาเสพย์ติด เธอก็รู้ของอย่างนี้ใครลงได้เข้าไปเกี่ยวข้องแล้ว คิดถอนตัวเป็นต้องตายทุกราย”

            “เป็นอะไรตายครับ”

            “ไข้โป้ง” ท่านพระครูตอบหน้าตาเฉย

            “ร้ายแรงขนาดนั้นเชียวหรือครับ เจ้าไข้โป้งที่ว่านี่ แล้วมียารักษาไหมครับ” พระหนุ่มถามซื่อ ๆ

            “บัวเฮียว”

            “ครับ”

            “นี่เธอไม่เข้าใจจริง ๆ หรือว่าแกล้งไม่เข้าใจกันแน่ เธอไม่รู้จริง ๆ น่ะ หรือว่าไข้โป้งหมายถึงอะไร

            “ไม่ทราบจริง ๆ ครับ มันหมายถึงอะไรครับ”

            “จ้างฉันก็ไม่บอกเธอ” พระอุปัชฌาย์ถือโอกาสเล่นตัว

            “แล้วถ้าไม่จ้างหลวงพ่อจะบอกไหมครับ ผมไม่มีเงินจ้าง

            “เธอจะรู้ไปทำไมเล่า”

            “ก็เผื่อหลวงพ่อเป็นผมจะได้บอกหมอถูกไงครับ”

            “ไม่ต้องหรอก รับรองว่าฉันไม่ตายด้วยไข้โป้งอย่างแน่นอน รับรองว่าไม่ใช่” อาจารย์ตอบเสียงหนักแน่น

            “แล้วหลวงพ่อจะตายด้วยอะไรล่ะครับ” พูดไปแล้วก็ให้รู้สึกเสียใจ จึงก้มลงกราบขอขมาพระอุปัชฌายาจารย์

            “ผมกราบขอโทษหลวงพ่อด้วยครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะลามปาม แต่ปากมันพาไป หลวงพ่อโปรดอย่าถือโทษผมเลยนะครับ ผมมันพวกขี้กลากเหล็ก ชอบลามปามโดยไม่เลือกกาลเทศะ” พระหนุ่มตำหนิตัวเองเสียยืดยาว ท่านพระครูไม่ได้โกรธคนเป็นศิษย์ ท่านตอบเสียงเรียบว่า “ฉันตายด้วยอะไรน่ะหรือ เธอฟังนะบัวเฮียว ฟังแล้วก็จดจำเอาไว้ ฉันยังไม่เคยบอกเรื่องนี้แก่ใคร เธอเป็นคนแรกที่รู้” ท่านนิ่งไปอึดใจหนึ่ง แล้วจึงพูดด้วยเสียงและอากัปกิริยาที่เป็นปกติว่า

            “ฉันจะตายด้วยอุบัติเหตุรถคว่ำ เดี๋ยวเธอกลับไปจดบันทึกไว้เลยนะว่า วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๒๑ เวลาเที่ยงสิบห้า ท่านพระครูเจริญต้องมรณภาพเพราะอุบัติเหตุรถคว่ำ”

            หากพระบัวเฮียวส่องกระจกตอนนี้ ก็จะพบว่าใบหน้าของท่านซีดขาว เหมือนปราศจากโลหิตมาหล่อเลี้ยง คำบอกเล่าของผู้เป็นอาจารย์ทำให้ท่านตระหนก อีกสี่ห้าปีข้างหน้า บุคคลที่ให้แสงสว่างแก่ชีวิตท่านจะต้องลาลับไปจากโลกนี้ ภิกษุหนุ่มบังเกิดความรู้สึกเศร้าใจจนสุดจะพรรณนา ท่านต้องกำหนด “เศร้าใจหนอ เศร้าใจหนอ” อยู่นาน กระทั่งมันบรรเทาเบาบางลง จึงถามพระอุปัชฌาย์ว่า

            “ทำไมต้องเป็นอย่างนั้นครับหลวงพ่อ ทำไม”

            “มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยนั่นแหละบัวเฮียว เหตุปัจจัยที่ว่านี้คือกรรมนั่นเอง เธออย่าทำหน้าซีดอย่างนั้นเลยน่า ขอทีเถอะ คนที่จะตายคือฉันไม่ใช่เธอ เลิกทำหน้าซีด ๆ แบบนั้นได้แล้ว” ท่านยังมีแก่ใจยั่ว

            “โธ่ หลวงพ่อครับ ขนาดหน้าสิ่งหน้าขวานอย่างนี้ หลวงพ่อยังใจเย็นอยู่ได้ แล้วผมก็ไม่ได้ทำแกล้งหน้าซีดนะครับ มันซีดของมันเองเพราะผมไม่อยากให้หลวงพ่อตาย และถ้าให้ผมตาย แทนที่จะเป็นหลวงพ่อ ผมก็ยินดีครับ อนุญาตให้ผมได้ทดแทนพระคุณของหลวงพ่อด้วยการตายแทนเถิดครับ” พระบัวเฮียวพูด เป็นการพูดที่ออกมาจากใจจริง ทว่าคนฟังกลับรู้สึกปลงอนิจจัง ที่ลูกศิษย์ของท่านช่างคิดและพูดเหมือนคนที่ไม่เคยปฏิบัติกรรมฐานมาก่อนเลยในชีวิต

            “น่าอนาถใจ อุตส่าห์ปฏิบัติมาตั้งหลายเดือน นึกว่าจะก้าวหน้าไปถึงไหน ๆ ที่แท้ก็ไปไม่ถึงไหนเลย บัวเฮียวนะบัวเฮียว” ท่านพูดพลางทอดถอนใจ

            “หลวงพ่อหมายถึงผมหรือหมายถึงใครครับ” คนเป็นศิษย์ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่ท่านพูด

            “ก็ฉันกำลังพูดอยู่กับใครล่ะ”

            “พูดอยู่กับผมครับ ท่านพระครูเจริญกำลังพูดกับพระบัวเฮียว หลวงพ่อยังไม่ทันแก่ซักเท่าไหร่หลงซะแล้ว ไม่น่า”

            “ฉันน่ะหรือหลง ผิดไปละมั้ง คนที่หลงน่าจะเป็นเธอมากกว่า มีอย่างที่ไหน อุตส่าห์ปฏิบัติกรรมฐานมาตั้งหลายเดือน ยังมาพูดได้ว่าจะตายแทนฉัน ช่างไม่รู้ ไม่เข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรมเอาเสียเลย ถ้าคนเราทำกรรมแทนกันได้ พรุ่งนี้เช้าเธอก็ไม่ต้องฉันเช้าหรอกนะ ฉันจะฉันแทนแล้วให้เธอเป็นคนอิ่ม เอายังงั้นไหม”

            “มันจะเป็นไปได้อย่างไรครับ คนไหนกินคนนั้นก็ต้องอิ่มซีครับ คนอื่นจะมาอิ่มแทนได้อย่างไร” พระบัวเฮียวว่า

            “มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นแหละ ในทำนองเดียวกัน การที่เธอจะมาตายแทนฉันมันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะฉันเป็นคนทำกรรม ฉันก็ต้องเป็นผู้รับผลของมัน”

            “ผมเห็นหลวงพ่อทำแต่กรรมดี หลวงพ่อสั่งสอนอบรมให้คนเป็นคนดี และยังสงเคราะห์ช่วยเหลือเขาด้วยความเมตตา โดยไม่ต้องการผลตอบแทน หลวงพ่อไม่เคยคิดถึงความสุขของตัวเองด้วยซ้ำ แล้วทำไมจะต้องประสบเคราะห์กรรมแบบนั้น หรือว่านั่นคือผลตอบแทนของการทำกรรมดี ผมไม่เข้าใจเลยว่า เหตุใดโลกมันถึงอยุติธรรมอย่างนี้ ไม่เข้าใจจริง ๆ ครับ หลวงพ่อ” พระหนุ่มรำพึงรำพัน

            “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกบัวเฮียว อย่าเข้าใจผิด จะไว้เถิดว่าทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว จริงอยู่ ใคร ๆ อาจจะเห็นว่าฉันทำแต่กรรมดี แต่กรรมชั่วที่ฉันทำพวกเขาไม่เคยเห็น”

            “หมายความว่าลับหลังคนอื่น ๆ หลวงพ่อแอบทำกรรมชั่วหรือครับ เป็นไปไม่ได้ ยังไง ๆ ผมก็ไม่เชื่อ หลวงพ่อไม่ใช่คนแบบนั้นแน่นอน”

            “แบบไหน แบบที่เรียกว่าหน้าไหว้หลังหลอกใช่ไหม เธอคิดว่าฉันจะเป็นอย่างนั้นหรือ”

            “ไม่คิดครับ ไม่คิด ไม่เคยคิด และ จะไม่คิด”

            “บัวเฮียว เธอรู้จักฉันมานานแค่ไหนเชียว” พระหนุ่มนับนิ้วแล้วตอบว่า

         “สี่เดือนครับ”

         “เพียงสี่เดือน แล้วเธอจะแน่ใจได้อย่างไรว่าฉันไม่เคยทำกรรมชั่ว”

            “อย่าว่าแต่สี่เดือนเลยครับ ถึงผมรู้จักหลวงพ่อสี่วัน ผมก็แน่ใจว่าคนอย่างหลวงพ่อไม่ทำ ถึงผมไม่ได้ “เห็นหนอ” อย่างหลวงพ่อ แต่ผมก็มั่นใจในสิ่งที่ผม “เห็น” โดยไม่มี “หนอ” ครับ”

            “เอาละเมื่อเธอมั่นใจอย่างนั้นก็ดีแล้ว ฉันก็จะได้บอกเธอเสียให้หมดเรื่อง จะได้หายสงสัย ฉันต้องประสบอุบัติเหตุคอหักตายเพราะกรรมชั่วที่ฉันเคยทำไว้ ฉันทำกรรมชั่วมามากเหลือเกินบัวเฮียวเอ๋ย” ท่านพูดอย่างปลงสังเวช

         “ทำไว้เมื่อชาติก่อน ๆ หรือครับ”

         “ชาตินี้แหละ เธอไม่รู้อะไร สมัยที่ฉันเป็นวัยรุ่น อายุสิบสองสิบสามน่ะ เกสะบัดเลย ใคร ๆ เขาเรียกฉันไอ้มหาโจรกันทั้งบาง นั่นแหละช่วงนั้นแหละที่ฉันก่อกรรมทำเข็ญไว้มากแล้วก็ต้องมานั่งชดใช้อยู่จนถึงทุกวันนี้”

         “ที่หลวงพ่อบอกว่าต้องรถคว่ำคอหัก เพราะกรรมอะไรครับ” คนเป็นศิษย์ถามใคร่อยากรู้

         “หักคอนกน่ะซี เธอรู้ไหมฉันหักคอนกมาเป็นร้อย ๆ ตัวก็เลยต้องมาใช้หนี้นก ก็ดีจะได้ชดใช้เสียให้เสร็จสิ้นไป” พระบัวเฮียวเพิ่งจะเข้าใจได้เดี๋ยวนั้น กฎแห่งกรรมช่างเที่ยงตรงนัก ใครทำกรรมไว้เช่นไรก็ต้องได้รับผลเช่นนั้น จะมั่งมีหรืออยากจนอย่างไร ก็ไม่อาจหนีพ้นกรรมที่ตนทำไปได้ แล้วท่านก็นึกถึงกรรมของตัวเอง กรรมที่เคยฆ่าวัวฆ่าควาย

         “หลวงพ่อครับ แล้วผมจะชดใช้กรรมเมื่อไหร่ ก่อนหรือหลังหลวงพ่อ”

         “เธออยากใช้ก่อนหรือหลังล่ะ”

         “ก่อนซีครับ ถ้าหลวงพ่อมรณภาพไปแล้วใครเล่าจะมาช่วยผม”

         “อ้อ ที่เธอแสดงอากาศเศร้าโศกเสียใจออกมานี่ก็เพราะห่วงตัวเองหรอกหรือ ฉันนึกว่าเธอห่วงฉันเสียอีก ที่แท้ก็ห่วงตัวเองนี่เอง” ท่านพูดยิ้ม ๆ พระบัวเฮียวรู้สึกคลายเครียดลง ตอบผู้เป็นอาจารย์ว่า

         “ก็หลวงพ่อเคยสอนผมนี่ครับว่า ...บุคคลตามค้นไปด้วยใจตลอดทิศ ก็มิได้พบผู้ที่เป็นที่รักยิ่งกว่าตนที่ไหนเลย ...หลวงพ่อพูดอย่างนี้ใช่ไหมครับ”

         “ฉันไม่ได้พูด ฉันเพียงแต่อ้างพุทธพจน์มาให้เธอฟังเท่านั้น เอาละ เอาละ สรุปว่าเธอรักตัวเองมากที่สุดก็แล้วกัน”

         “แล้วหลวงพ่อล่ะครับ หลวงพ่อรักใครมากที่สุด” คนเป็นศิษย์ย้อนถาม

         “ฉันก็รักตัวเองมากที่สุดเหมือนเธอนั่นแหละ ก็ฉันเป็นศิษย์พระพุทธองค์ก็ต้องเชื่อตามคำสอนของท่าน ใคร ๆ ก็รักตัวเองมากที่สุดด้วยกันทั้งนั้น ฉะนั้นถ้ามีใครมาบอกว่า เขารักเธอมากกว่าตัวเขา ก็เชื่อได้เลยว่า เขาพูดปด”

         “นั่นซีครับ มีเรื่องเขาเล่ากันสนุก ๆ ว่า ผู้หญิงกับผู้ชายเป็นคู่รักกัน นั่งพลอดรักกันที่ใต้ต้นมะพร้าว ผู้ชายก็บอกผู้หญิงว่าเขารักหล่อนมาก สามารถตายแทนได้ ผู้หญิงบอกจ้างก็ไม่เชื่อ พอดีมะพร้าวหล่นลงมา ผู้ชายรีบเอามือทั้งสองกุมหัวตัวเองไว้ก่อน ผู้หญิงเขาเลยจับโกหกได้”

         “นั่นแหละ แล้วเธอก็อย่าไปเที่ยวโกหกใครต่อใครเขาแบบนั้นก็แล้วกัน”

         “ไม่หรอกครับหลวงพ่อ เอ หลวงพ่อครับ แล้วโยมวรรณวิไล กับคุณโยมผ่องพรรณล่ะครับ หลวงพ่อเคยพูดไว้ว่าอีกแปดปีเขาจะมาหาหลวงพ่อ ถ้าหลวงพ่อมรณภาพเสียแล้ว เขาจะมาพบใครเล่าครับ” พระหนุ่มแสดงความห่วงใยไปถึงสองศรีพี่น้อง

         “แหม จำแม่นจริงนะ แต่ที่เธอถามมานั้นฉันก็ยังตอบไม่ได้ เพราะ “เห็นหนอ” บอกมาอย่างนั้นฉันก็ต้องพูดไปตามนั้น มันก็ขัด ๆ กันอยู่นะ แต่เธอไม่ต้องวิตกหรอก มันเรื่องของอนาคต เอาปัจจุบันให้ดีที่สุดก็แล้วกัน เรื่องอดีต เรื่องอนาคตไม่ต้องไปพะวงถึง เข้าใจหรือยังล่ะ ถ้าเข้าใจแล้วก็กลับกุฏิได้ สองทุ่มจะปฏิบัติกรรมฐานไม่ใช่หรือ ฉันขออวยพรให้ประสบความสำเร็จนะบัวเฮียว”

มีต่อ........๓๘