สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๓๘

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

ธันวาคม ๒๕๓๗

S00038

๓๘...

            พระบัวเฮียวออกจาก “ผลสมาบัติ” เมื่อเวลาแปดนาฬิกาตรงของวันรุ่งขึ้น ท่านแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศลไปให้มารดาและพ่อเลี้ยง พร้อมกันนั้นก็ได้ตั้งจิตอธิษฐานขอให้บุคคลทั้งสองเลิกทำปาณาติบาตอันเป็นมิจฉาอาชีวะ หันมาเลี้ยงชีพด้วยสัมมาอาชีวะ

            ท่านรู้สึกถึง “พลัง” ที่แผ่ออกไปจากตัว และเกิดความมั่นใจอย่างประหลาดว่านางบุญพาและนายหรุ่ม สามีของนางต้องได้รับส่วนแห่งบุญกุศลนั้นอย่างแน่นอน

            เสร็จกิจธุระอันสำคัญนั้นแล้ว ท่านจึงสรงน้ำทำความสะอาดร่างกาย รู้สึกตัวเบา สดชื่นกระปรี้กระเปร่าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน อำนาจแห่งบุญกุศลอันเกิดจาก “ภาวนามัย” ช่างประณีตลึกซึ้ง และ “จิตที่ฝึกไว้ดีแล้ว” เท่านั้นจึงจะสัมผัสได้

            เลยเวลาอาหารเช้าร่วมครึ่งชั่วโมง ท่านไม่รู้สึกหิวจึงเริ่มเดินจงกรมและตั้งใจจะนั่งสมาธิไปจนถึงสิบเอ็ดนาฬิกาอันเป็นเวลาเพล ต่อจากนั้นจึงจะแผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศลให้บิดามารดา ญาติพี่น้อง เทพยดา เปรต และสรรพสัตว์ทั้งหลายทุกภพทุกภูมิที่อยู่ในทุกทิศโดยไม่มีประมาณ และที่จะลืมเสียมิได้ก็คือ เจ้ากรรมนายเวรของท่าน บางทีพวกเขาอาจพากันอโหสิกรรมให้ หรือไม่ก็ให้ท่านได้ชดใช้กรรมเร็วขึ้น อย่างช้าก็ขอให้ก่อนเวลาที่พระอุปัชฌายาจารย์ของท่านจะมรณภาพเพื่อ “ใช้หนี้นก”

            เดินจงกรมได้ชั่วโมงเศษจึงกำหนดนั่ง รู้สึกสมาธิตั้งมั่นได้รวดเร็วกว่าทุกครั้ง การกำหนดพอง – ยุบ ชัดเจนและสม่ำเสมอ อาการปวดเมื่อยต่าง ๆ ไม่ปรากฏ ท่านรู้สึกสบายกายสบายใจตลอดเวลาที่นั่ง มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม และสามารถประคองจิตไว้ไม่ให้ตกภวังค์

            กระทั่งได้ยินเสียงระฆังเพลจึงถอนจิตออกจากสมาธิ แล้วแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลไปยังเทพยดา และสรรพสัตว์ทั้งหลาย จากนั้นจึงเดินไปยังหอฉันเพื่อฉันภัตตาหารเพล

            เมื่อท่านกำลังจะก้าวเท้าขึ้นบันไดหอฉัน ก็ได้ยินเสียงเรียกอยู่ข้างหลัง หันไปดูก็พบชายวัยกลางคนนั่งคุกเข่ากับพื้นซีเมนต์ มือประคองถาดอาหาร เป็นถาดทรงกลมทำด้วยกระเบื้องลายคราม ในถาดมีชามชุดบรรจุอาหารพร้อมฝาครอบตรงกลางถาดมีแก้วใส่น้ำไว้เกือบเต็ม

            “ท่านบัวเฮียว เราขออนุโมทนาในส่วนกุศลที่ท่านได้ทำแล้ว ขอถวายอาหารมื้อนี้แก่ท่าน โปรดรับประเคนด้วย” พระบัวเฮียวยื่นมือทั้งสองออกไปรับถาดอาหาร แล้วถามขึ้นว่า

            “โยมมาจากไหน แล้วทำไมถึงรู้จักอาตมา” ท่านไม่เคยเห็นบุรุษผู้นี้มาก่อน ท่าทางเขามีอะไร ๆ ที่ผิดไปจากคนธรรมดา แม้จะแต่งตัวเหมือนชาวบ้านทั่ว ๆ ไป ทว่าผิวพรรณดูละเอียดผุดผ่อง ทั้งยังมีกลิ่นหอมจาง ๆ ลอยออกจากกาย เป็นกลิ่นที่จมูกของพระบัวเฮียวไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน

            “เราอาศัยอยู่แถวนี้ แต่ไม่เคยมาให้ใครเห็น นอกจากท่านพระครูแล้วก็มีท่านนี่แหละที่เห็นเรา” เสียงนั้นฟังกังวาน แม้จะไม่มีคำว่า “ครับ” หากก็ฟังไม่ขัดหู

            “ขอบใจโยมมาก เชิญขึ้นข้างบนก่อนสิจะได้คุยกัน”

            “ไม่หรอก เราจะรีบกลับ เราไปละ” บุรุษนั้นก้มลงกราบสามครั้งแล้วลุกเดินออกไปทางประตูหลังวัด พระบัวเฮียวคิดว่าเขาคงเป็นชาวบ้านฝั่งโน้นพายเรือข้ามฟากมา จึงอยากไปดูให้เห็นกับตา วางถาดใบนั้นไว้ตรงหัวบันไดแล้วเดินตามออกไปติด ๆ ครั้นพ้นประตูวัดออกไป กลับไม่พบผู้ใดเดินอยู่แถวนั้นแม้แต่คนเดียว มองลงไปในลำน้ำก็ไม่พบเรือแม้แต่ลำเดียวเช่นกัน ท่านจึงเดินกลับหอฉันด้วยความฉงนฉงาย คิดว่าฉันเสร็จจะต้องไปเรียนถามท่านพระครูให้หายข้องใจ

            พระบัวเฮียวหยิบถาดอาหารตรงหัวบันไดขึ้นมา ครั้นนั่งเรียบร้อยแล้วจึงเปิดฝาครอบออกทีละใบ ชามแรกเป็นข้าวสวย ชามที่สองเป็นน้ำพริก ชามที่สามเป็นผักต้ม มองเผิน ๆ ก็เป็นอาหารพื้น ๆ ของพวกชาวบ้าน ทว่ากลิ่นนั้นหอมหวนชวนรับประทานยิ่งนัก ท่านใช้ช้อนตักน้ำพริกราดลงบนข้าวแล้วใช้ส้อมจิ้มผักต้มมาวางบนน้ำพริก ตักใส่ปากกำหนด “เคี้ยวหนอ ๆ” กระทั่งถึง “กลืนหนอ” แล้วก็ให้รู้สึกอิ่มแปล้ทั้งที่ฉันไปเพียงคำเดียว ท่านยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม แล้วหันไปบอกพระที่นั่งข้าง ๆ

            “ลองน้ำพริกผักต้มนี่ดูสักคำสิท่าน รสชาติอร่อยดีแท้”

            “อร่อยก็กำหนด “รสหนอ” ซีท่าน อย่างไปปรุงแต่ง” ภิกษุรูปนั้นถือโอกาส “สอน” แล้วพูดต่อไปว่า

            “วันพระวันโกนเขาก็ต้องฉันหมูเห็ดเป็ดไก่ เรื่องอะไรจะไปฉันน้ำพริก เบื่อจะแย่อยู่แล้ว” ท่านพูดเพราะไม่ได้ “กลิ่น” อย่างที่พระบัวเฮียวได้ ในสายตาของภิกษุรูปนั้น สิ่งที่อยู่ในถาดก็คือน้ำพริกผักต้มธรรมดาที่แสนจะเบื่อหน่าย

            ระหว่างที่นั่งรอพระรูปอื่น ๆ ฉัน พระบัวเฮียวก็กำหนดสติ ด้วยการพิจารณา “พอง – ยุบ” ที่ท้อง จิตของท่านเริ่มจะชินกับการเจริญสติอยู่ทุกอิริยาบถ

            “เป็นไง วันนี้อาหารไม่ถูกปากหรือยังไง ฉันน้อยเหลือเกิน” พระมหาบุญถามอย่างเป็นห่วง

            “หามิได้ครับ ผมอิ่มและรู้สึกมีความสุขมาก หลวงพี่ไม่ลองสักคำหรือครับ” พูดพลางส่งชามผักและน้ำพริกให้ พระมหาบุญตักมาชิมอย่างเสียไม่ได้ ในความรู้สึกของท่านมันก็เป็นอาหารธรรมดา ๆ ที่ไม่มีรสมีชาติอะไร พระบัวเฮียวมิรู้ดอกว่าสิ่งที่ตนกำลังประสบอยู่ในขณะนี้เป็นเรื่องที่รู้ได้เฉพาะตัว

            เมื่อฉันเสร็จและ “ยถาสัพพี” พร้อมกับภิกษุรูปอื่น ๆ แล้ว พระบัวเฮียวก็เดินตรงมายังกุฏิท่านพระครู เป็นเวลาเดียวกับที่ท่านเจ้าของกุฏิบอกให้บรรดา “ผู้มีใบหน้าอันเปื้อนทุกข์” ทั้งหลายพากันไปรับประทานอาหารที่โรงครัว แล้วท่านก็ไม่ได้ขึ้นไปเขียนหนังสือข้างบน เพราะรู้ว่าพระบัวเฮียวจะต้องมาหา

            เพียงอึดใจเดียวพระหนุ่มก็มา หากคราวนี้มาในมาดใหม่ คือมาดของ “ผู้มีใบหน้าอันเปื้อนสุข” กราบพระอุปัชฌาย์สามครั้งแล้ว พระหนุ่มจึงเริ่มเรื่อง

            “หลวงพ่อครับ ผมปฏิบัติได้ตามที่เคยกราบเรียนหลวงพ่อไว้ทุกประการ”

            “ดีมาก ฉันขออนุโมทนา” อาจารย์ยกมือขึ้น “สาธุ”

            “แต่มันมีเรื่องสงสัยเกิดขึ้นแล้วครับหลวงพ่อ ผมสงสัยจริง ๆ แล้วก็รู้ว่าหลวงพ่อต้องแก้ข้อสงสัยให้ได้”

            “แหม รู้สึกว่าเธอจะมีวิจิกิจฉานิวรณ์มากจังนะบัวเฮียวนะ” พระอุปัชฌาย์ว่า

            “มันไม่ใช่วิจิกิจฉานิวรณ์หรอกครับหลวงพ่อ มันสงสัยยังไงก็บอกไม่ถูก รู้แต่ว่ามันไม่ใช่นิวรณ์แต่เป็นอะไรก็ไม่รู้”

            “งั้นก็ลองเล่าไปซิ” พระบัวเฮียวจึงเล่าเรื่องบุรุษผู้นั้นนำอาหารมาถวาย เล่าอย่างละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบ

            “ฉันขออนุโมทนา” ท่านพระครูพูดพร้อมกับยกมือขึ้น “สาธุ” พระบัวเฮียวรู้สึกงุงงงหนักขึ้น กำลังจะเอ่ยปากถาม ท่านพระครูก็พูดขึ้นว่า

            “ฉันขออนุโมทนา เธอปฏิบัติได้ก้าวหน้ามากที่สุดในบรรดาพระภิกษุที่อยู่วัดนี้ รู้ไว้เสียด้วย ผู้ชายที่นำอาหารมาให้เธอเมื่อสักครู่นี้น่ะคือ เทวดา ไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาอย่างที่เธอเข้าใจหรอกนะ”

         “เทวดา” พระบัวเฮียวทวนคำ

            “จะเป็นไปได้อย่างไรครับหลวงพ่อ” ถามอย่างข้องใจเต็มประดา

            “ได้หรือไม่ได้มันก็เป็นไปแล้ว เธอจำไม่ได้หรือที่เขาพูดกับเธอว่านอกจากฉันแล้ว เธอเป็นคนที่สองที่ได้เห็นเขา”

            “คงจะจริงครับ เอ แล้วพวกถาดกับถ้วยชามของเขาเล่าครับ ผมไม่ได้เอาลงมาจากหอฉัน แล้วก็ไม่รู้จะเอาไปคืนให้ที่ไหน” พระหนุ่มเกิดห่วงเรื่องถ้วยชาม

            “อย่ากังวล เรื่องนั้นไม่ต้องกังวล ของเหล่านั้นเป็นสิ่งที่เขาเนรมิตขึ้นมา เดี๋ยวเขาก็เรียกกลับคืนไปได้”

            “แล้วทำไมเขาถึงเจาะจงมาถวายผมคนเดียวล่ะครับ แล้วพระมหาบุญชิมดูก็ไม่ได้รสชาติอย่างที่ผมได้”

            “บัวเฮียว เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องเฉพาะตัวนะ แล้วเธอไม่ต้องไปบอกใคร เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับฉันมานับครั้งไม่ถ้วน แล้วฉันก็ไม่เคยบอกกล่าวให้ใครฟัง ที่บอกเธอเป็นคนแรกเพราะเธอได้ประสบเหตุการณ์เดียวกัน ฉันถึงได้อนุโมทนากับเธอยังไงล่ะ”

            “งั้นที่หลวงพ่อไม่ค่อยฉันอะไรแล้วอยู่ได้ทั้งวันก็เพราะฉันอาหารของเทวดานี่เอง ใช่ไหมครับ”

            “ก็คงยังงั้น เขาเรียกว่า อาหารทิพย์ ที่เรียกอย่างนี้เพราะมันประณีตกว่าอาหารของมนุษย์ ต้องฉันทีละมาก ๆ แล้วก็ถ่ายมากออกมาเป็นอุจจาระ ฉันมากก็ถ่ายมาก แต่อาหารทิพย์ฉันคำเดียวอิ่มแล้วไม่มีกากเหลือเป็นอุจจาระ พวกเทวดาเขาจึงไม่ต้องถ่ายอุจจาระบนสวรรค์ก็เลยไม่มีส้วมเหมือนอย่างโลกมนุษย์” ท่านพระครูอรรถาธิบาย

            “หลวงพ่อเคยไปดูมาแล้วหรือครับ”

            “ถึงไม่ดูก็รู้ ที่รู้เพราะ “เห็น” น่ะ

            “ที่ “เห็น” เพราะ “เห็นหนอ” บอกใช่ไหมครับ

            “เออน่า จะอะไรก็ช่าง ถ้าเธออยากเป็นอย่างฉันก็ให้เร่งทำความเพียรเข้า วันหนึ่งก็จะสำเร็จได้”

            หลวงพ่อครับทำไมเทวดาเขาจึงนำอาหารมาถวายเฉพาะผมกับหลวงพ่อล่ะครับ ทำไม่พระรูปอื่น ๆ เขาจึงไม่ถวาย”

            “ก็เขาพอใจในการประพฤติปฏิบัติของเราน่ะสิ อย่าลืมนะบัวเฮียว พระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนั้นประเสริฐกว่าเทวดาเสียอีก แม้เทวดาเขาก็ยังนับถือ การที่เขานำอาหารมาถวาย เขาก็อยากได้บุญเหมือนกัน ในสมัยพุทธกาล เมื่อพระอรหันต์ท่านออกจากนิโรธสมาบัติ พวกเทพยดาก็พากันนำอาหารมาถวายโดยแปลงมาในรูปของมนุษย์”

         “เป็นเทวดาก็ยังอยากได้บุญอีกหรือครับ”

            “อยากได้ซี ก็เวลาที่เราปฏิบัติกรรมฐานเสร็จ เราถึงต้องแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้เทวดาด้วย เมื่อเขาได้รับส่วนกุศลเขาก็อาจจะตอบแทนบุญคุณเราด้วยการนำอาหารทิพย์มาถวาย และเมื่อเขาถวายเขาก็ได้บุญเพิ่มขึ้นอีก”

            “แล้วเทวดาเขาไม่ปฏิบัติกรรมฐานหรือครับ ถ้าเขาอยากได้บุญมาก ๆ ก็น่าจะปฏิบัติเองแทนที่จะมาคอยรับส่วนบุญจากมนุษย์”

            “เขาก็คงอยากปฏิบัติ แต่บางครั้งก็หาคนสอนให้ไม่ได้ อีกประการหนึ่ง ภูมิของเทวดาเป็นภูมิที่มีแต่ความสุขสบาย เขาก็เลยพากันเสพเสวยความสุขสบายนั้นจนเพลิน เรียกว่าบรรยากาศบนสวรรค์มันไม่เอื้ออำนวยต่อการประพฤติพรหมจรรย์ว่างั้นเถอะ”

            “งั้นเป็นมนุษย์ก็ดีกว่าเป็นเทวดาสิครับ”

            “มันก็ดีกว่าในแง่นี้ แต่ถ้าจะเอาในแง่ความสุขสบาย เป็นเทวดาดีกว่า เพราะเทวดามีความสุขทิพย์เป็นความสุขที่เนรมิตขึ้นมาได้ตามใจปรารถนา”

            “งั้นผมอยากเป็นเทวดาแล้วซีครับ จะได้เสวยอาหารทิพย์ทุก ๆ วัน”

            “อย่าเลยบัวเฮียว เป็นเธอนั่นแหละดีแล้ว เพราะทางที่เธอกำลังเดินอยู่นี้เป็นทางสายเอกที่จะนำเธอไปสู่ความหลุดพ้นจากวัฏสงสาร การเป็นเทวดาแม้จะสุขสบายอย่างไรก็ต้องเวียนว่าย วนเวียนอยู่ในสงสารสาครอย่างมิรู้จบสิ้น แล้วก็ใช่ว่าจะเลือกเกิดเป็นเทวดาได้ทุกภพทุกชาติเสียเมื่อไหร่ ประมาทพลาดพลั้งลงเมื่อใดก็ต้องไปเกิดในทุคติ ในอบาย”

            “หลวงพ่อครับ พวกเทวดานี่มีแต่ดี ๆ ใช่ไหมครับ ที่เลว ๆ มีไหมครับ” คนเป็นศิษย์ถามอีก

            “เทวดามีสองประเภท คือพวกที่เป็นสัมมาทิฐิกับพวงมิจฉาทิฐิ ก็เหมือนมนุษย์นั่นแหละมีทั้งคนดีและคนเลว พวกเทวดาที่เป็นสัมมาทิฐิเป็นพวกเทวดาตรง ส่วนพวกมิจฉาทิฐิเป็นพวกเทวดาพาล พวกหลังนี้ชอบกินเครื่องเซ่น ชอบรับสินบน ส่วนพวกแรกไม่รับเพราะชอบความยุติธรรม”

            “เทวดาที่นำอาหารมาให้ผมเป็นเทวดาตรงใช่ไหมครับ”

            “ถูกแล้ว ถ้าเป็นเทวดาพาลจะไม่ชอบทำบุญ ก็เหมือนคนเลวที่ชอบทำแต่บาป ไม่รู้จักสร้างบุญสร้างกุศลใส่ตัว เทวดากับมนุษย์จะว่าไปแล้วก็ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ สำหรับเธอขณะนี้อาจเรียกว่าดีกว่าเทวดา แต่ก็อย่าลำพองใจ อย่ากำเริบเสิบสาน ขอให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติไป วันหนึ่งก็อาจจะถึงจุดหมายได้” พระบัวเฮียวแสนจะดีใจจนต้องกำหนด “ดีใจหนอ ดีใจหนอ” อยู่นาน

         “หลวงพ่อครับ ผมจะเล่าเรื่องนี้ให้พระมหาบุญฟังจะได้ไหมครับ” ท่านขออนุญาตอาจารย์

         “ไม่ได้เด็ดขาด ก็ฉันบอกแล้วยังไงว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเฉพาะตัว ห้ามนำไปบอกเล่าใคร ดีไม่ดีเขาจะหาว่าเธอบ้า ดูแต่ฉันซี ได้ฉันของทิพย์มาตั้งสี่ห้าปียังไม่เคยปริปากบอกใคร ที่บอกเธอเป็นคนแรกก็เพราะเห็นว่าเธอก็ประสบมาแบบเดียวกันจึงพูดกันรู้เรื่อง เธอไม่เห็นหรอกหรือว่าตอนให้พระมหาบุญชิมอาหารทิพย์ เขาก็ยังว่ามันเป็นของธรรมดา ๆ ทั้งนี้เพราะเทวดาเขาจงใจให้เธอผู้เดียว คนอื่นมาชิมจึงไม่ได้รสและกลิ่นอย่างที่เธอได้ ฉันขอร้องนะบัวเฮียว ห้ามนำเรื่องนี้ไปบอกใครเพราะมันไม่เกิดประโยชน์อันใดเลย ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ตนหรือประโยชน์ท่าน เข้าใจหรือยังล่ะ”

         “เข้าใจครับ แต่....หลวงพ่อครับ ถ้าเกิดพระมหาบุญท่านเจอเหตุการณ์แบบผมแล้วผมค่อยบอกว่าผมก็เจอมาแล้ว อย่างนี้จะได้ไหมครับ”

         “ถ้าอย่างนั้นละก็ได้ ต้องให้เขาประสบกับตัวเองเสียก่อนเขาจึงเชื่อ เพราะของอย่างนี้มันพิสูจน์ให้ผู้อื่นรู้เห็นด้วยแบบวิทยาศาสตร์ไม่ได้ มันไม่ใช่ของสาธารณะ แต่เป็นของเฉพาะตน เพราะฉะนั้นถ้าเธอปากสว่างไปเที่ยวบอกใครต่อใคร เขาจะต้องว่าเธอบ้าแน่ ๆ จำเอาไว้”

         “แล้วจะบาปไหมครับ”

         “บาปซี บาปทั้งคนบอกและคนถูกบอกนั่นแหละ”

         บาปยังไงครับ อย่างผมนี่ผมพูดเรื่องจริงไม่ได้โกหกแล้วจะบาปได้ยังไง”

         “ก็เวลาที่เธอพูดเรื่องจริงแล้วคนฟังเขาไม่เชื่อน่ะ เธอรู้สึกอย่างไรล่ะ”

         “โกรธซีครับ ผมโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงเลย แต่พอรู้ตัวผมก็กำหนด “โกรธหนอ โกรธหนอ” ไปจนกว่าจะหายโกรธครับ”

         “ถึงอย่างนั้นเธอก็โกรธใช่ไหม ก่อนจะกำหนดได้เธอก็โกรธไปแล้วใช่ไหม”

         “ใช่ครับ”

         “แล้วโกรธเป็นอะไร เป็นอกุศลมูลตัวไหน”

         “ตัวโทสะครับ”

         “แล้วบาปไหมเล่า”

         “บาปครับ”

         “นั้นแหละฉันถึงบอกว่าไม่ต้องเล่าให้คนอื่นฟัง เพราะเขาเกิดไม่เชื่อ เธอก็ต้องบาป”

         “แต่ถ้าเกิดเข้าเชื่อล่ะครับ”

         “เป็นไปไม่ได้หรอกบัวเฮียวเอ๋ย คนสมัยนี้เขาคิดว่าเขาฉลาด เขาจึงไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ อย่างที่เธอคิดแถมใครเชื่อง่ายเขาก็หาว่าโง่ หาว่างี่เง่า ยิ่งเรื่องอย่างนี้เขายิ่งไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด คนทุกวันนี้เขาไม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์ ไม่เชื่อเรื่องบุญเรื่องบาป เพราะเขาหาว่าสิ่งเหล่านี้ไร้สาระ พอตายไปก็ไม่มีโอกาสกลับมาแก้ตัว น่าสงสาร” ท่านส่ายหน้าช้า ๆ อย่างปลงสังเวช

         “แต่ถ้าเราสามารถพิสูจน์ให้เขาเห็นได้ล่ะครับ”

         “เธอจะเอาอะไรมาพิสูจน์ เอาละ สมมุติเรื่องที่เกิดกับเธอวันนี้ ถ้าคนฟังเขาอยากเห็นเทวดาบ้าง เธอจะไปเอาเทวดาที่ไหนมาให้เขาดู เพราะเธอเองก็ยังไม่รู้ว่าเทวดาองค์นั้นมาจากไหน อย่าไปคิดให้ปวดหัวเลยนะ เชื่อฉันเถอะ”

         “ครับ ไม่คิดก็ได้ครับ พระหนุ่มรับคำอย่างว่าง่าย หากก็ยังไม่หายสงสัยจึงถามขึ้นอีกว่า

         “หลวงพ่อครับ แล้วคนฟังเขาจะบาปไหมครับ คือผมเล่าแล้วเขาไม่เชื่อเขาจะบาปไหมครับ”

         “เธอว่าบาปไหมล่ะ”

         “ก็เพราะผมไม่ทราบน่ะซีครับถึงได้เรียนถามหลวงพ่ออยู่นี่ไง กรุณาอธิบายให้ผมฟังหน่อยเถอะครับ”

         “แหม คำถามเธอมันแค่ระดับ ป.๔ เท่านั้นนะบัวเฮียว” ท่านตำหนิกราย ๆ

         “ก็ผมจบแค่ ป.๔ นี่ครับ ไม่ได้จบมัธยมเหมือนหลวงพ่อ จะได้มีคำถามระดับ ม.๖ มาถาม” คนเป็นศิษย์ย้อน

         “ไม่แน่หรอกบัวเฮียว คนจบ ป.๔ สามารถถามคำถามระดับ ม.๖ ได้ ฉันจบแค่ ม.๖ ยังถามคำถามระดับปริญญาเอกได้เลย”

         “แหมก็ใคร้ใครจะเก่งอย่างหลวงพ่อล่ะครับ อย่างหลวงพ่อน่ะมีคนเดียวในประเทศไทย หรืออาจจะในโลกด้วยซ้ำ ส่วนงี่เง่าอย่างผมน่ะมีมากมายหลากหลาย”

         “เออน่ะ เออน่ะ ไม่ต้องพร่ำพรรณนาให้มันมากมายถึงปานนั้นหรอก จะให้ตอบอะไรก็ว่ามา”

         “ก็ผมถามแล้วนี่ครับ”

         “ถามว่ายังไงล่ะ ถามใหม่ซิฉันจะได้รีบ ๆ ตอบ ประเดี๋ยวคนอื่นมาจะได้ไม่ต้องรอคิว” พระบัวเฮียวจึงต้องทวนคำถามใหม่ว่า

         “ผมเรียนถามหลวงพ่อว่าคนฟังเขาจะบาปไหม ถ้าผมเล่าเรื่องเทวดาให้เขาฟังแล้วเขาไม่เชื่อ เขาจะบาปไหมครับ” ท่านพูดช้า ๆ ชัดถ้อยชัดคำ ก็ตั้งใจ “ยวน” ด้วยนั่นแหละ ท่านพระครูจึงแกล้งยวนตอบยานคางว่า

         “บาปสิบัวเฮียว ก็ในเมื่อเธอพูดเรื่องจริงแต่เขาไม่เชื่อก็เท่ากับเขามีอกุศลข้อโมหะช่ายหมาย...”

         “ช่ายคร้าบ” ลูกศิษย์ล้อเลียนบ้าง ขณะนั้นบรรดา “ผู้มีใบหน้าอันเปื้อนทุกข์” ก็ทยอยกันเข้ามานั่งเพื่อขอความช่วยเหลือให้ท่านช่วยขจัดปัดเป่าทุกข์ให้

         วันนี้คงจะเป็นวันของ “คนท้อง” เพราะผู้หญิงครรภ์แก่พากันมาร่วมสิบราย ที่กลับไปเมื่อตอนเช้าก็หลายราย แต่ละรายจะต้องได้ “ผลมะตูมเสก” ติดไม้ติดมือไปต้มกินเพื่อให้คลอดลูกง่าย ท่านพระครูได้ให้ลูกศิษย์จัดเตรียมผลมะตูมไว้จำนวนมาก เพราะรู้ว่าจะมีคนมาขอ บ้างไม่มาเองก็ส่งสามีหรือญาติมาขอแทน เพราะคนที่เขาพูดกันว่ามะตูมเสกของท่านนั้นวิเศษนัก คนท้องกินเข้าไปแล้วคลอดลูกง่ายทุกราย สตรีครรภ์แก่นางหนึ่งคลานเข้าไปหาเพราะถึงคิว หล่อนกราบสามครั้งแล้วถามขึ้นว่า

         “หลวงพ่อคะ ลูกหนูจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายคะ”

         “เดี๋ยวซี ตอบตอนนี้ยังไม่ได้ ต้องรอให้คลอดออกมาเสียก่อน แล้วหลวงพ่อจะบอก” คำตอบของท่านเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนในที่นั้น แล้วท่านจึงสอนหล่อนว่า

         “ผู้หญิงหรือผู้ชายก็ลูกเรานะหนูนะ ให้เขาออกมาครบสามสิบสองประการ ไม่บ้าใบ้บอดหนวกก็พอแล้ว จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ช่างเขา โตขึ้นขอให้เป็นคนดีมีศีลธรรมก็แล้วกัน”

         “ค่ะ เอาไว้เขาโตแล้วหนูค่อยสอน” หล่อนว่า

         “สอนเดี๋ยวนี้แหละหนู ต้องสอนกันตั้งแต่อยู่ในท้อง ข้อสำคัญพ่อแม่ต้องทำให้ดูเป็นตัวอย่างด้วย ถ้าแม่คนไหนนั่งจั่วไพ่ทั้งวัน รับรองลูกออกมาเล่นไพ่เก่ง เพราะเขาสังเกตการณ์มาตั้งแต่อยู่ในท้อง เสียงหัวเราะดังขึ้น

         “อ้าว นี่เรื่องจริงนะ ไม่ได้พูดเล่น เด็กจะดีน่ะ เขาจะดีมาตั้งแต่ในท้องเลย อย่างบางคนพอคลอดออกมาปุ๊บก็บอกแม่ว่า “แม่จ๋าตักบาตรเถอะ” ท่านเลียนเสียงเด็กพูด บรรดาคนฟังพากันหัวเราะอีก

         “นี่ถ้าเขาพูดยังงี้แสดงว่าคนดีมาเกิด สำคัญเขาจะพูดว่า “แม่จ๋าซื้อรองเท้าหน้าสูง” ถ้าแบบนี้แปลว่าชอบแต่งตัว ไม่ค่อยดีเท่าไหร่”

         “รองเท้าหน้าสูงไม่มีหรอกค่ะหลวงพ่อ สงสัยคงจะเป็นรองเท้าส้นสูง” สตรีนั้นแย้ง

         “ไม่ใช่ส้นสูง รองเท้าหน้าสูงก็คือ ใส่แล้วหน้าสูงไงล่ะ หน้าเชิดสูงไปเลย” ท่านทำหน้าเชิดประกอบ คนฟังหัวเราะอีก

         “แต่พอถอดรองเท้าออกหน้าต่ำเลย นี่แหละรองเท้าหน้าสูง โยมเคยใส่ไหมล่ะ” ท่านถามสตรีสูงอายุที่นั่งหลังสุด

         “เคยค่ะ เคยสมัยสาว ๆ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ไหวแล้วค่ะ สังขารมันไม่อำนวย” หญิงสูงวัยตอบ นางมารอเพื่อขอผลมะตูมเสกไปให้ลูกสาว...

 

มีต่อ........๓๙