สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๔๑
สุทัสสา อ่อนค้อม
ธันวาคม ๒๕๓๗
๔๑...
แขกคนสุดท้ายกลับไปแล้ว และ ท่านพระครูก็ขึ้นไปเขียนหนังสือยังชั้นบนของกุฏิแล้ว นายขุนทองกำลังเก็บแก้วน้ำเพื่อเตรียมจะไปล้าง
หญิงชราคนหนึ่งเดินเข้ามาในกุฏิ
เขาจึงรีบบอกนางว่า
ยาย
หลวงพ่อเพิ่งขึ้นข้างบนเมื่อสักครู่นี้เอง พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่แล้วกัน
บ้านอยู่ไกลหรือเปล่าล่ะยายน่ะ
อยู่อ่างทองโน่น
ยายขอขึ้นไปพบท่านเดี๋ยวเดียวเอง
นางบอกเป็นเชิงขออนุญาต
ไม่ได้หรอกยาย
เอายังงี้ดีกว่า เดี๋ยวหนูจะพาไปหาที่พัก พรุ่งนี้เช้ายายค่อยมาพบท่าน
โชคดีนะที่พรุ่งนี้เป็นวันพระ ไม่งั้นยายก็ต้องรอถึงบ่ายสองโมงท่านจึงจะลงรับแขก หนุ่มวัยยี่สิบเอ็ดบอกกล่าวพลางมองนาฬิกาที่ฝาผนัง
ขณะนั้นเป็นเวลาสองทุ่มตรง
แต่ยายต้องพบท่านวันนี้
ไม่เป็นไร ท่านไม่ลง ยายขึ้นไปหาท่านเองก็ได้ ยังไม่ทันที่นายขุนทองจะเอ่ยปากห้าม
หญิงชราผู้นั้นก็เปิดประตูเดินขึ้นไปชั้นบน นายขุนทองเดินตามไปที่ประตู
แต่ปรากฏว่าเปิดไม่ออก นางคงจะลงกลอนเอาไว้ รู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านด้วยเกรงจะถูกหลวงลุงดุเอา
หญิงชราลงมาเมื่อไหร่จะต้องต่อว่าเสียให้เข็ด โทษฐานที่ขัดคำสั่ง เลขาส่วนตัว ของท่านเจ้าของกุฏิ
อ้าว
โยมปั่นมาได้ยังไงนี่
ท่านพระครูทัก รู้ว่าฝ่ายนั้นเป็นอัมพาตลุกไปไหนมาไหนไม่ได้
ฉันมาลาหลวงพ่อจ้ะ
พรุ่งนี้ตอนตีสี่ฉันจะไปแล้ว นอนทรมานมาหลายปีเหลือเกิน
ทิดขำเขาจะได้หมดภาระเสียที
คำบอกเล่าของนางปั่นทำให้ท่านพระครูได้รู้ ว่าร่างที่นั่งพับเพียบอยู่ต่อหน้าท่านนี้มิใช่
กายเนื้อ หากเป็น เจตภูต
จะไปหรือ แล้วโยมได้ อะไร ไปล่ะ ท่านถาม อะไร ในที่นี้ท่านต้องการหมายถึง
บุญหรือบาป เพราะสองสิ่งเท่านั้นที่มนุษย์จะเอาติดตัวไปยังภพภูมิหน้าได้ ส่วนสมบัติพัสถานที่เป็นวัตถุธรรมไม่มีใครเอาไปได้
แม้เหรียญบาทเพียงอันเดียวที่ลูกหลานเขาเอาใส่ปากให้ก็ยังต้องเป็นของสัปเหร่อไปในที่สุด
ฉันได้บุญไปจ้ะหลวงพ่อ
เพราะหลวงพ่อเมตตาฉันแท้ ๆ เชียว ไม่งั้นก็คงต้องพกบาปไป นางพูดอย่างรู้บุญรู้คุณ
ดีแล้วที่โยมเลือกไปวันพระ
พรุ่งนี้เป็นวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ แล้วก็เป็นวันพฤหัสด้วย อาตมาไม่ใช่คนถือฤกษ์ถือยาม
แต่ก็ยังชอบวันพฤหัส เพราะเป็นวันพ่อแม่ครูอาจารย์
จ้ะ
ฉันก็กำหนดจิตว่าจะขอตายวันพระ จะได้ไปถือศีล ไปปฏิบัติกรรมฐานข้างบนโน้น
นางหมายถึงสุคติโลกสวรรค์
ดีแล้วละโยม
แล้วก็อย่าติดสุขเสียจนลืมการปฏิบัติล่ะ ชีวิตบ้างบนนั้นสบายกว่าในโลกมนุษย์
เขาก็เลยพากันประมาทมัวเมา ครั้นพอหมดบุญก็เลยต้องไปทุคติ
จ้ะหลวงพ่อ
ฉันจะไม่เป็นอย่างพวกเขา หลวงพ่อสอนให้ฉันฝึกสติ
ฉันก็จะใช้สตินี่แหละคอยเตือนใจฉัน
ถูกต้องที่สุด
โบราณท่านสอนเอาไว้เป็นคำกลอนว่า ตนเตือนตนของตนให้พ้นผิด
ตนเตือนจิตตนได้ใครจะเหมือน ตนเตือนตนไม่ได้ใครจะเตือน ตนลืมเตือนใจตนหล่นอบาย การเตือนตนเองไว้เสมอก็คือการมีสตินี่เอง
เมื่อไหร่ที่ขาดสติ โอกาสที่จะตกไปในอบายภูมิก็มีมากขึ้น
จ้ะ
แล้วหลวงพ่อต้องไปเผาศพฉันด้วยนะจ๊ะ
เผาเมื่อไหร่ล่ะ
ฉันสั่งทิดเขาไว้แล้วว่าให้สวดพระอภิธรรมเจ็ดวัน
วันที่แปดก็เผาเลย จะได้ไม่เป็นภาระลูกๆ เขา
เห็นทิดเขาพูดว่าหมดห่วงแล้วเขาจะมาขอบวชอยู่กะหลวงพ่อ
ยังไงฉันก็ฝากเขาด้วยแล้วกัน เขาเกิดมาเป็นคู่เวรคูกรรมของฉันแท้ ๆ
ท่านพระครูหยิบสมุดบันทึกขึ้นมาเปิดหน้าที่ตรงกับวันที่
๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๗ เขียนลงไปล่า เวลาสองทุ่ม เจตภูตของนางปั่นมาจากอ่างทอง
เพื่อบอกว่าพรุ่งนี้เวลาตีสี่จะทิ้งร่าง เจตภูตนั้นมีจริงอย่างไม่ต้องสงสัย จดเสร็จจึงเงยหน้าถามนางปั่นว่า
ศพเผาที่วัดไหน
เวลาเท่าไหร่
วัดโบสถ์ตอนสี่โมงเย็นจ้ะ
แล้วทิดเขาคงมาเรียนให้หลวงพ่อทราบอีกครั้งหนึ่ง ฉันเห็นจะต้องลาละจ้ะ
เดี๋ยวทิดเขาจะสงสัยว่า ทำไมหลับนานนัก
นางกราบเบญจางคประดิษฐ์สามครั้งแล้วจึงลุกออกไป
นายขุนทองถือถาดใส่แก้วน้ำที่ล้างแล้วเดินเข้ามา
เห็นนางปั่นเดินออกประตูกุฏิไป จึงวางถาดลงแล้ววิ่งตามหมายจะไปต่อว่า
เขาวิ่งตามไปจนถึงประตูวัด ทั้งที่เห็นหลังอยู่ไว ๆ แต่กลับตามนางไม่ทัน ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงแก่
ๆ ท่าทางขี้โรคคนนั้นจะเดินเร็วถึงปานนี้ เมื่อนางเดินลับตาและหายไปในความมืด
เขาจึงเดินกลับกุฏิ ขึ้นไปเรียนท่านพระครูว่า
หลวงลุงฮะ เมื่อกี้มียายแก่คนนึงมาขอพบหลวงลุง
เปิดประตูขึ้นไปจนได้แถมใส่กลอนอีกด้วย หนูไม่รู้จะทำยังไง
เลยคอยจ้องจะต่อว่าตอนแกลงมา เสร็จแล้วก็ตามแกไม่ทันเสียอีก หลวงลุงจะด่าหรือว่าหนูก็เชิญได้เลยเพราะหนูผิดไปแล้ว
นายขุนทองก้มหน้าสารภาพ
ข้าไม่มีอะไรจะว่าเอ็งหรอกเจ้าขุนทอง
และข้าก็ไม่ได้คิดว่าเอ็งทำผิดอะไร ผู้หญิงคนที่เอ็งเห็นน่ะคือโยมปั่นเมียนายขำ
ได้ยินดังนั้นนายขุนทองถึงกับสะดุ้ง
หลวงลุงว่าอะไรนะฮะ
นี่พ่อหนูไปแอบมีเมียแก่ ๆ ไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
เขาเข้าใจว่าท่านพระครูหมายถึงนายขำผู้เป็นบิดาของเขา
ท่านเจ้าของกุฏิจึงต้องขยายความให้ฟังว่า
นี่เขานายขำอ่างทอง
พ่อเองเขานายขำสิงห์บุรี มันคนละขำกัน ยังมีขำลพบุรี ขำอยุธยา ขำนครสวรรค์อีกนะ
ที่ข้ารู้จักน่ะ อ้อ!
มีขำสุพรรณอีกคนนึงด้วย
แล้วหลวงลุงว่าคนไหนหล่อที่สุดฮะ
คนไหน
เอ็งก็ไม่มีอะไรนอกจากเรื่องความหล่อ
เอ็งดูคนแค่ที่หล่อไม่หล่อเท่านั้นเองหรือ
ก็มีอะไรจะให้ดูมากไปกว่านี้ล่ะหลวงลุง
หนูเป็นคนสวยก็จ้องสนใจคนหล่อ อยากมีแฟนหล่อ ๆ มันถึงจะคู่ควรกัน
หรือหลวงลุงว่าไม่จริง หลานชายย้อนถาม
นี่เจ้าขุนทอง
ถ้าเอ็งไม่มีอะไรดีกว่านี้จะมาพูดกับข้า ก็ขอเชิญลงไปได้ ข้าจะทำงานละ
แหม หลวงลุงละก็
อะไรนิดอะไรหน่อยก็ต้องไล่กันด้วย หนูอุตส่าห์เป็นห่วงแทบแย่ หลานชายต่อว่ากราย ๆ
เอ็งมาห่วงอะไรข้าล่ะหรือ
เจ้าขุนทอง ห่วงอะไร
ห่วงซี
ก็ยายปั่นแกเป็นผู้หญิงแล้วหลวงลุงเป็นผู้ชาย ขึ้นมาคุยกันในที่ลับยามวิกาลเช่นนี้
ใครเขารู้เข้า หลวงลุงจะต้องถูกครหานินทา แต่ก่อนหลวงลุงเคร่งครัดในเรื่องเช่นนี้มาก
แต่ทำไมวันนี้ไม่เคร่งครัด
หลวงลุงน่าจะให้แกลงมาคุยข้างล่างหรือไม่ก็เรียกหนูขึ้นไปอยู่เป็นเพื่อนถึงจะถูก
ที่หนูพูดมานี่ หลวงลุงว่าผิดหรือเปล่า
ท่านพระครูรู้สึกพอใจในความรอบคอบของคนเป็นหลาน
จึงอธิบายให้เขาฟังว่า
ข้าขอบใจที่เอ็งเป็นห่วง
แต่เอ็งไม่ต้องวิตกหรอก เพราะโยมปั่นเขาไม่ได้เอาร่างจริงมาด้วย
ที่เอ็งเห็นนั้นเขาเรียกว่า เจตภูต
หมายความว่ายังไงฮะ หลานชายไม่เข้าใจ
ก็หมายความว่าโยมปั่นเขาเอาวิญญาณมา
ไม่ได้เอาร่างมา เขาเป็นอัมพาตไปไหนมาไหนไม่ได้มาหลายปีแล้ว
วิญญาณที่ออกจากร่างขณะที่นอนหลับนั้นเขาเรียกว่า เจตภูต
แล้วแกมาหาหลวงลุงทำไมหรือฮะ
มาบอกว่าพรุ่งนี้ตอนตีสี่แกจะตาย
ให้ข้าไปงานเผาศพแกด้วย
เป็นไปได้หรือฮะหลวงลุง
หนูไม่อยากจะเชื่อว่าคนเราจะสามารถรู้วันตายของตัวเองได้
ถ้าเป็นผู้วิเศษก็ว่าไปอย่าง
ไม่ต้องถึงกับเป็นผู้วิเศษหรอกเจ้าขุนทอง
อย่างข้าก็ไม่ได้เป็นผู้วิเศษมาจากไหน ข้าก็ยังรู้วันตายของข้า
หลวงลุงพูดเล่นหรือเปล่า
หลอกหนูเล่นใช่ไหม
ไม่ได้พูดเล่นแล้วก็ไม่ได้หลอก
ข้าพูดจริง ๆ ถึงเอ็งก็เถอะ ถ้าอยากรู้วันตาย เอ็งก็รู้ได้หากเอ็งปฏิบัติกรรมฐาน
โอ๊ย
หลวงลุงอย่าเพิ่งพูดถึงความตาย หนูยังไม่อยากรู้เพราะยังไม่อยากตาย
แหมคนกำลังอยู่ในวัยขบเผาะจะให้ตายซะแล้ว นายขุนทองตีโพยตีพาย
นี่แหละ
คนไม่เอากรรมฐานก็แบบนี้แหละ เหมือนกันหมดทุกราย
แบบนี้น่ะแบบไหนฮะ ชายหนุ่มย้อนถาม
ก็แบบเอ็งไง
ของแท้ไม่เอาจะเอาแต่ของปลอม
ท่านพระครูว่าหลานชาย
แล้วของแท้ของหลวงลุงน่ะคืออะไรล่ะฮะ
ก็กรรมฐานน่ะซี ถ้าเอ็งมาปฏิบัติกรรมฐาน
เอ็งก็จะสามารถรู้วันตายได้ โยมปั่นแกก็ปฏิบัติ ข้าก็ปฏิบัติ รู้มันดีกว่าไม่รู้นะเจ้าขุนทอง
โอ๊ย เซ็ง
ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ได้ยินแต่กรรมฐาน ๆ จนรำคาญจะแย่แล้ว
หลวงลุงไม่มีอะไรที่ดีกว่านี้แล้วหรือฮะ
ไม่มีอีกแล้ว
กรรมฐานนี่แหละดีที่สุด
ดียังไงฮะ
หลวงลุงช่วยบอกหน่อยเถอะ เผื่อบางทีหนูอาจจะเปลี่ยนใจมาชอบมันก็ได้
ท่านพระครูคิดว่าคราวนี้คงจะโน้มน้าวจิตใจนายขุนทองให้มาสนใจการปฏิบัติได้
จึงอธิบายให้เขาฟังว่า
ประโยชน์ของการปฏิบัติกรรมฐานนั้นมีมากมาย
เท่าที่ข้ารู้จากประสบการณ์ของข้าเอง และจากการสอบอารมณ์ของผู้ปฏิบัติคนอื่น ๆ
พอสรุปได้สามประการใหญ่ ๆ คือ หนึ่งระลึกชาติได้ สองเห็นกฎแห่งกรรม และสามเกิดปัญญาแก้ไขปัญหาชีวิตได้
ซึ่งประการสุดท้ายนี้สำคัญที่สุด เพราะถ้าเราสามารถแก้ปัญหาของตัวเราเองได้
ก็ไม่ต้องไปวิ่งหาพระให้รดน้ำมนต์หรือวิ่งไปหาหมอดู เราต้องเป็นหมอดูให้ตัวเองมันถึงจะถูก
นี่แหละประโยชน์ของกรรมฐานอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่มานั่งหลับหูหลับตาเพื่อจะไปสวรรค์นิพพานอย่างที่ชาวบ้านเขาพูดกัน
เมื่อใดที่ยังไม่เกิดปัญญา ยังแก้ปัญหาชีวิตให้ตัวเองไม่ได้
แล้วจะไปสวรรค์นิพพานได้ยังไง ที่ข้าพูดมานี่เอ็งเห็นด้วยไหมเล่า
หนูยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ก็เลยยังตอบไม่ได้
หลวงลุงช่วยอธิบายหน่อยซีฮะว่าทำไม่ถึงต้องให้ระลึกชาติได้ แล้วระลึกได้กี่ชาติ
จะกี่ชาติก็ไม่สำคัญหรอก
แต่อย่างน้อย ๆ ก็ขอให้ระลึกชาติปัจจุบันได้ อย่างเช่นลูกที่เกเรไม่เชื่อฟังพ่อแม่
หรือชนิดที่เถียงพ่อเถียงแม่ คำไม่ตกฟาก
พอมาเข้ากรรมฐานได้สองสามวันก็ระลึกชาติได้เลย
คือเมื่อจิตสงบก็นึกย้อนไปในอดีตที่เคยทำไม่ดีไว้กับพ่อแม่ บางคนถึงกับร้องไห้โฮออกมาบอกว่ากลับบ้านไปนี่จะต้องไปกราบเท้า
ขอขมาโทษพ่อแม่หรือคนที่เคยด่าเมีย เคยทุบตีเมีย
พอมาเข้ากรรมฐานเมื่อจิตสงบก็จะรู้บุญคุณเมีย คิดว่ากลับไปบ้านจะต้องไปกราบเมีย อย่างนี้เป็นต้น
จริงหรือฮะหลวงลุง
แล้วหลวงลุงรู้ได้ยังไงฮะ
ก็เขาบอกข้าน่ะซี
บางคนถึงกับร้องไห้พูดว่า หลวงพ่อครับ ผมมันชั่วช้าสารเลวเสียเหลือเกิน ข้าก็ถามว่า ชั่วยังไงล่ะโยม เขาก็ตอบว่า ชั่วที่ชอบด่าเมีย
ชอบเตะเมียแทนลูกฟุตบอลน่ะครับ ต่อไปนี้ผมจะไม่ทำอีกแล้ว กลับไปนี่ผมจะไปกราบเมีย บังเอิญวันที่เขาจะกลับ
เมียเขามารับเอ็งเชื่อไหมพอเขาเห็นหน้าเมียเขาคลานเข้าไปกราบเลย
กราบต่อหน้าข้าด้วย เมียเขาก็งงว่า เอ หลวงพ่อสอนผัวฉันยังไงนะ
กลายเป็นคนละคนเลย เมื่อก่อนเห็นฉันเป็นลูกฟุตบอล
แต่เดี๋ยวนี้กลับเห็นฉันเป็นพระไปซะแล้ว นี่เมียเขามาแอบเล่าให้ข้าฟังอย่างนี้
เอ็งเห็นหรือยังล่ะว่า คนมาเข้ากรรมฐานน่ะระลึกชาติได้แบบนี้แหละ
แหม
หนูนึกว่าระลึกชาติ