สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๔๓

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

ธันวาคม ๒๕๓๗

S00043

๔๓...

          เพราะนายขุนทองจัดตารางเวลาการทำงานให้ท่านพระครู จึงทำให้ญาติโยมที่มาเข้ากรรมฐานได้มีโอกาสมาขึ้นในอันที่จะเรียนถามข้อข้องใจสงสัยเกี่ยวกับการปฏิบัติ

          ในการปฏิบัติธรรมให้ได้ผลดีนั้น จำเป็นจะต้องมีครูอาจารย์คอยควบคุมชี้แนะอย่างใกล้ชิด มิฉะนั้นอาจทำให้ผู้ปฏิบัติเกิดความเข้าใจผิดพลาดคลาดเคลื่อนหรือหลงทางได้ง่าย

          เช้าวันหนึ่งขณะที่ท่านพระครูกำลังสอบอารมณ์ให้อุบาสกอุบาสิกาอยู่ที่กุฏิ หญิงสาวผู้หนึ่งเดินเข้ามานั่งแถวหลังสุด ก้มลงกราบสามครั้งแล้วนิ่งอยู่ สีหน้าท่าทางบ่งบอกว่าหล่อนกำลังมีทุกข์ ท่านเจ้าของกุฏิยังต้องใช้เวลาในการสอบอารมณ์อีกนาน จึงอนุญาตให้หล่อน “ลัดคิว” ด้วยการถามว่า

          “มีอะไรหรือจ๊ะแม่หนู ไหนเขยิบเข้ามานั่งใน ๆ หน่อยซิ” บรรดาผู้ที่นั่งอยู่ก่อนต่างขยับกายเปิดทางให้หล่อนคลานเข้ามา

          “อาตมาต้องขอโทษญาติโยมด้วยนะ ขอลัดคิวให้แม่หนูคนนี้ก่อน ท่าทางเขาจะมีธุระด่วน เอ้าแม่หนูมีอะไรก็ว่าไปเลย” ท่านกล่าวอนุญาต หญิงสาวจึงพูดขึ้นว่า

          “หลวงพ่อคะ หนูมาขอบวชชีค่ะ”

          “คิดยังไงถึงจะบวชล่ะหนู”

          “หนูกลุ้มใจค่ะ ให้หนูบวชเถิดนะคะหลวงพ่อ หนูอยากจะอยู่ในที่สงบค่ะ” ท่านพระครู “ตรวจสอบ” คุณสมบัติของหล่อนแล้วจึงพูดขึ้นว่า

          “เอาละ อย่าเพิ่งพูดเรื่องบวช เอาอย่างนี้ เดี๋ยวหลวงพ่อจะให้นายขุนทองเขาพาหนูไปฝากไว้กับแม่ครัวสักเจ็ดวัน แล้วค่อยมาพูดกันใหม่” ท่านเรียกนายขุนทองมาสั่งการ ครั้นหญิงสาวลุกออกแล้ว อุบาสิกาคนหนึ่งได้ถามขึ้นว่า

          “ทำไมหลวงพ่อไม่ส่งเขาไปอยู่สำนักชีล่ะคะ ทำไมถึงส่งไปอยู่โรงครัว”

          “ก็พวกแม่ชีเขากินข้าววันละสองมื้อ แต่แม่หนูคนนี้แกจำเป็นจะต้องกินสามมื้อ อาตมาจึงต้องส่งไปอยู่กับพวกแม่ครัว”

          “ไหน ๆ เขาจะบวชก็น่าจะฝึกกินสองมื้อไว้ ไม่งั้นจะบวชได้ยังไง” อุบาสิกาผู้นั้นออกความเห็น

          “ก็ใครว่าอาตมาจะให้เขาบวชล่ะ ขืนบวชก็เสียชื่อวัดหมด รับรองว่าวัดป่ามะม่วงเสียชื่อกันคราวนี้เอง ให้บวชไม่ได้เด็ดขาด” ท่านพูดเสียงหนักแน่น

          “ทำไมหรือครับ” อุบาสกที่นั่งหน้าสุดถาม ผู้ที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้มีประมาณยี่สิบคน เป็นอุบาสกเพียงสามคนเท่านั้น แสดงว่าพวกผู้ชายเป็นโรคไม่ชอบเข้าวัด ท่านพระครูตอบว่า

          “จะให้บวชได้ยังไง ก็มาสองคน บวชได้หรือ”

          “ใช่ ใคร ๆ ก็เห็นเขามาคนเดียว แต่อาตมาเห็นเขามาสองคน อยู่ในท้องคนนึง แบบนี้จะให้บวชได้ยังไง ใครไม่รู้ก็จะหาว่ามาท้องกับพระ เพราะครรภ์มันโตขึ้นทุกวัน ๆ เมื่อกี้อาตมาไม่พูดกลัวเขาจะอาย ญาติโยมเห็นหรือยังว่า “เห็นหนอ” นั้นมีประโยชน์มหาศาลทีเดียว ไม่ใช่เป็นการอวดคุณวิเศษแต่ประการใด โยมเห็นด้วยไหม”

          “เห็นด้วยครับ” อุบาสกตอบ

          “หลวงพ่อคะ แล้วอย่างฉันนี่จะมีโอกาสได้ “เห็นหนอ” หรือเปล่าคะ” อุบาสิกาอีกผู้หนึ่งถามขึ้น

          “จะได้หรือไม่ได้มันก็ขึ้นอยู่กับบุญบารมีที่โยมได้สั่งสมไว้แต่ชาติปางก่อน บวกกับความเพียรพยายามในชาตินี้ จะเพียรพยายามสักเท่าใดก็จะไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการปฏิบัติของเราเป็นหมัน เพราะมันจะเป็นเหตุปัจจัยของชาติต่อ ๆ ไป อาจจะไปได้ชาติหน้าก็ได้ แต่อย่างไรก็ตามอาตมาไม่สนับสนุนให้ตั้งความหวัง ขอให้โยมอยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด กำหนดสติรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ตลอดเวลา จะได้ “เห็นหนอ” หรือไม่ได้ก็ไม่ต้องไปสนใจ แต่ถ้าใครได้แล้วนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง อีกหน่อยก็เสื่อม อย่างอาตมานี่ไม่เคยใช้ดูเลขให้หวยใคร เพราะไม่ใช่วิสัยของพระที่จะทำเช่นนั้น”

          “งั้นพระที่รับสะเดาะเคราะห์รดน้ำมนต์ตัดเวรตัดกรรมก็ไม่ถูกต้องซีคะ อ้อ พระหมอดูอีกอย่าง”

          “มันจะถูกต้องได้ยังไงล่ะโยม ท่านเก่งแต่สะเดาะเคราะห์ให้คนอื่นเขา พอเคราะห์ตัวเองกลับสะเดาะไม่ได้ โยมคอยดูไปก็แล้วกันว่ากฎแห่งกรรมจะทำหน้าที่เร็วหรือช้า คุณหญิงคนนึงเขามาพูดให้อาตมาฟังว่า เดี๋ยวนี้กรรมติดจรวดนะ ให้ผลทันตาเห็น ไม่ต้องรอถึงชาติหน้า” ท่านนึกถึงคำพูดของคุณหญิงอรอุษา

          “พระสมัยนี้ทำตัวนอกรีดนอกรอยนะครับหลวงพ่อ ที่ผมกล้าพูดเพราะผมเคยเป็นลูกศิษย์วัดมาก่อน ตอนเรียนหนังสือผมต้องอาศัยวัดอยู่ เพราะเป็นเด็กบ้านนอก พ่อแม่ส่งไปเรียนกรุงเทพฯ เลยไปอาศัยอยู่กับหลวงพี่ซึ่งเป็นคนบ้านเดียวกัน

          “งั้นหรือ โดยมอยู่วัดอะไรล่ะ” เขาบอกชื่อวัดแห่งหนึ่ง เป็นวัดที่รายได้ดีเพราะมีศพคนรวย ๆ มาให้เผากันทุกวัน ส่วนคนจนไม่มีสิทธิ์เอาศพมาเผาที่วัดนี้เพราะสู้ “ค่าโสหุ้ย” ไม่ไหว

          “โอ๊ย วันนี้น่ะเหรอ ยอดยิวเลยค่ะหลวงพ่อ ญาติฉันเคยเอาศพพ่อเขาไปไว้ ตั้งใจจะสวดพระอภิธรรมสักเจ็ดคืนก็ต้องขอย้ายวัดเพราะสู้ค่าใช้จ่ายไม่ไหว ขนาดเขาเป็นคนมีเงินนะคะ ยังสู้ไม่ไหวเลยค่ะ”

          “แล้วหลวงพ่อเชื่อไหมครับ คนที่อยู่วัดมักจะเกลียดพระ อย่างผมนี่เกลียดมาก ๆ แต่ก็ไม่ทุกองค์นะครับ องค์ไหนดีผมก็ไม่เกลียด แต่องค์ที่ดี ๆ ก็หายากแสนยาก”

          “ไปเกลียดท่านเรื่องอะไรล่ะโยม”

          “ก็ท่านทำตัวไม่เหมาะสมน่ะครับ อย่างหลวงพี่ข้างห้องผม ท่านเอาสีกาเข้าไปคุยในห้อง คุยตั้งแต่หัวค่ำยันดึก ปิดประตูคุยเสียด้วย ผมก็ไม่อยากจะคิดว่าเขาทำอะไรกันเพราะผมกลัวบาป อีกอย่างเราก็ไม่ได้เห็นกะตา”

          “แล้วทำไมไม่แอบดูล่ะ” อุบาสกอีกคนถาม

          “ไม่หรอกครับ ผมกลัวเห็น แต่พวกเพื่อน ๆ ผมมันเจาะฝาแอบดูแล้วพากันหัวเราะคิก ๆ ชอบใจ”

          “แหม ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะแอบดูให้รู้ดำรู้แดงไปเลย” อุบาสกผู้นั้นว่า

          “ผมไม่อยากเดือดร้อน เจ้าพวกนั้นพอดูแล้วก็เดือดร้อนไปตาม ๆ กัน เพราะต้องออกไปเสียเงินเสียทองให้ผู้หญิงอย่างว่า ส่วนผมไม่มีเงินที่จะทำเช่นนั้น” เขาบอกเหตุผลที่ไม่ยอมแอบดู ท่านพระครูเชื่อในสิ่งที่เขาพูดโดยไม่ต้องใช้ “เห็นหนอ” เข้าตรวจสอบ ที่เชื่อเพราะท่านเองก็เคยเป็นลูกศิษย์วัดมาก่อน จึงรู้เช่นเห็นชาติพวกพระนอกรีตนอกรอยมามากต่อมาก แล้วจึงเล่าแต่ในส่วนที่พอจะเล่าได้ ว่า

          “อาตมาก็เคยเป็นเด็กวัดเหมือนกัน วัดแถวฝั่งธนนะ ชื่ออะไรก็อย่ารู้เลย ก็อย่างที่โยมว่า ใกล้พระก็เกลียดพระ อาตมาเกลียดพระที่สุด แต่อย่าลืมนะ มันเป็นกฎแห่งกรรม เกลียดพระก็เลยต้องมาเป็นพระ โบราณเขาสอนไว้ว่าเกลียดขี้ได้ขี้ อาตมานี่เกลียดพระจึงต้องมาเป็นพระ” ท่านย้ำ

          “ทำไมหลวงพ่อถึงเกลียดพระล่ะคะ”

          “จะไม่ให้เกลียดได้ยังไง ก็ท่านทำไม่ถูกต้อง”

          “แล้วหลวงพ่อทำไมไม่ฟ้องพระผู้ใหญ่ล่ะคะ”

          “ฟ้องไม่ได้หรอก ขืนฟ้องเขาก็ไล่อาตมาออกจากวัด แล้วจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ”

          “เหมือนผมเลยครับหลวงพ่อ ผมกับเพื่อน ๆ เห็นพระทำผิดก็ไม่มีปากมีเสียง เพราะถ้าขืนปากมากไป เขาไล่ออกจากวัดก็จะไม่ได้เรียนหนังสือ พ่อแม่อุตส่าห์ส่งมาเรียน”

          “นั่นน่ะสิ เรามันหัวอกเดียวกัน นะโยมนะ”

          “ครับ” อุบาสกตอบยิ้ม ๆ

          “ที่อาตมาเกลียดพระเพราะถูกท่านใช้ทุกคืน เราจะดูหนังสือหนังหา กับต้องมาวิ่งซื้อก๋วยเตี๋ยวให้พระฉันในเวลาวิกาล”

          “แล้วท่านให้เงินไหมครับ ให้เงินค่าจ้างน่ะครับ”

          “ไม่ได้ให้ค่าจ้างหรอก ท่านใช้วิธีหลวงพี่ชาม ลูกศิษย์ชาม อาตมาก็กินก๋วยเตี๋ยวทุกคืนจนเบื่อมาจนบัดนี้”

          นอกจากบริโภคอาหารในเวลาวิกาลแล้ว ก็ยังถกเขมรเตะตะกร้อกันทุกเย็น นุ่งห่มก็ไม่สำรวม เป็นพระทำอย่างนั้นผิดวินัยนะ ต้องนุ่งห่มให้ครบสามชิ้นที่เรียกว่าไตรจีวร ตั้งแต่บวชมานี่ อาตมายังไม่เคยละเมิดพระวินัยข้อนี้เลย จะร้อนแสนร้อนเหงื่อหยดติ๋ง ๆ อาตมาก็นุ่งห่มครบสามชิ้น ทั้งสบง จีวร และสังฆาฏิ แต่พระวัดนั้นนุ่งสบงตัวเดียว แถมถกเขมรเตะตะกร้อกันอย่างสนุกสนาน ไม่มีการสำรวมอิริยาบถกันเลย แต่อย่าพูดไปนะ ตอนนี้หลวงพี่พวกนั้นพากันเข้าเมรุไปเกือบหมดแล้ว ที่ยังอยู่ก็คงเตะตะกร้อไม่ไหวมั้ง”

            “แย่จังนะคะหลวงพ่อ แล้วแบบนี้ ศาสนาไม่เสื่อมยังไงไหว” อุบาสิกาผู้นั้นรู้สึกห่วงใยในพระพุทธศาสนา

          “ศาสนาน่ะไม่เสื่อมหรอกโยม จิตใจคนต่างหากที่เสื่อม ทั้งจิตใจคนที่เป็นพระและคนที่เป็นฆราวาสนั่นแหละ แต่เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว โยมก็อย่าไปสรุปเอาว่าพระเลวหมด เพราะที่ดี ๆ ก็ยังมีอยู่ ขอให้โยมใช้ปัญญาไตร่ตรองเอาก็แล้วกัน พระแท้กับพระเทียมนั้นมีข้อแตกต่างกันเยอะ “คนที่บวชเพื่อละคือพระแท้”  จำเอาไว้ ถ้าใครมาบวชเพื่อหวังลาภสักการะคนนั้นไม่ใช่พระแท้หรอก

          ในสมัยพุทธกาลคนที่มีเงินมาก ๆ มาขอบวช พระพุทธองค์จะไม่บวชให้ ต้องจัดการเอาเงินไปแจกจ่ายคนยากจนให้หมดเสียก่อน ตัวอย่างเช่น วิสาขอุบาสกมีเงินหนึ่งพันกหาปณะมาขอบวช พระพุทธองค์ตรัสว่า “เราไม่บวชให้บุคคลที่มีเงินหนึ่งพันกหาปณะ” ท่านวิสาขอุบาสกจึงต้องเอาเงินไปแจกจ่ายคนยากคนจนแล้วถึงได้บวช แต่สมัยนี้นะ พระบางองค์ตอนบวชไม่มีอะไรเลย แต่พอตอนสึก โอ้โฮ ข้าวของทรัพย์สมบัติมากมายเหลือเกิน เอารถบรรทุกมาขนตั้งสามเที่ยวก็ไม่หมด นี่แบบนี้ไม่ใช่สาวกของพระพุทธเจ้าแน่”

          “หลวงพ่อคะ แล้วพระที่นอนกับผู้หญิง ทำไมท่านไม่สึกเสียให้รู้แล้วรู้รอด จะได้ไม่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ แล้วก็ไม่ทำให้คนเข้าใจศาสนาผิด ๆ ด้วย เป็นฉันฉันสึกดีกว่า”

          “ก็ท่านไม่ได้เป็นโยมน่ะซี ถ้าเป็นโยมก็คงหมดเรื่องไปแล้ว จริงไหม”

          “ผมว่า ท่านคงเสียดายลาภสักการะที่เคยได้น่ะครับหลวงพ่อ กลัวว่าสึกไปแล้วจะไม่มีใครนับหน้าถือตา จะไม่มีใครเอาปัจจัยมาถวาย”

          “หลวงพ่อคะ พระหมั้นผู้หญิงบาปไหมคะ” อุบาสิกาที่อายุน้อยกว่าใครเพื่อนถาม หล่อนเป็นครุสอนหนังสือในกรุงเทพฯ

          “หมั้นยังไงล่ะ”

          “คือวัดอยู่ข้างบ้านหนูน่ะคะ หลวงลุงองค์หนึ่งอายุห้าสิบ ท่านไปหมั้นผู้หญิงอายุสิบเจ็ด ทำพิธีหมั้นกันด้วย หนูยังไปดูเลยค่ะ ท่านก็มานั่งใกล้ ๆ กับผู้หญิงแล้วมอบสินสอดทองหมั้นให้ หนูก็ปากไม่ดี อดรนทนไม่ได้จึงถามท่านว่า “ทำไมหลวงลุงไม่สึกเสียเลยล่ะ จะได้สวมแหวนเพชรให้เจ้าสาวได้” ท่านก็ตอบทันทีว่า “ยังสึกไม่ได้หรอกครู รอเก็บเงินแต่งงานก่อน” หนูเลยอายม้วนไปเลย พระอายุห้าสิบตอบอย่างนี้ หนูอายเลยค่ะ แล้วท่านก็ทำอะไรตล้กตลก เวลามีญาติโยมเอาส้มสูกลูกไม้มาถวาย พอเขาลงกุฏิไป ท่านก็ลงกุฏิบ้าง ถือถาดผลไม้ที่เขาเอามาถวายนั้นไปถวายผู้หญิงอีกทีหนึ่ง ผู้หญิงที่เป็นคู่หมั้นน่ะค่ะ คนแถวนั้นเขารู้กันทั้งซอย ไม่มีใครเลื่อมใสศรัทธาท่าน แต่คนที่มาจากที่อื่นเขาคงไม่รู้ มาให้ท่านดูหมดได้ทุกวัน ท่านบอกจะต้องเก็บเงินไว้จ้างเขาปลูกเรือนหอให้เสร็จก่อนถึงจะสึก หนูก็แกล้งพูดประชดว่ากว่าจะถึงเวลานั้น หลวงลุงไม่หกสิบเสียก่อนหรือ ท่านก็ว่าไม่หรอก เหลืออีกไม่กี่หมื่นก็ครบแล้ว”

          “แหม โยมก็ไปต่อล้อต่อเถียงกับท่านอยู่ได้ ประเดี๋ยวท่านก็จะหาว่าอิจฉาท่านหรอก” ท่านพระครูว่า

          “ท่านว่าแล้วค่ะ บอกว่า “ครูเสียใจใช่ไหมที่อาตมาไม่มาขอหมั้นครู ครูก็เลยอิจฉาหนูอรเขา” คู่หมั้นชื่ออรปณิตาค่ะ”

            “แล้วโยมว่ายังไง”

          “หนูก็ย้อนว่า “โอ๊ย แก่ ๆ อย่างหลวงลุงถึงมาขอ หนูก็ไม่เอาหร้อก ใครจะโง่เอาผีมาเผาล่ะหลวงลุ้ง”

            “ผมก็ว่าพอกันเลยนะครับ ทั้งพระทั้งสีกาฝีปากพอ ๆ กัน” อุบาสกผู้นั้นว่า เลยถูกครูสาวขว้างค้อนเข้าใส่หนึ่งวง

          “แบบนี้บาปไหมคะหลวงพ่อ ถึงขั้นปาราชิกไหมคะ” ขว้างค้อนใสบุรุษนั้นแล้วครูสาวถามต่อ ท่านพระครูตอบว่า

          “เท่าที่โยมเล่ามายังไม่ถึงขั้นปาราชิกหรอก ยังไม่ถึง อาบัติปาราชิก มี ๔ ข้อคือ เสพเมถุน ๑ ฆ่ามนุษย์ ๑ ขโมยเงินตั้งแต่ห้ามาสกขึ้นไป ๑ และอวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน ๑ หากประพฤติข้อหนึ่งข้อใดในสี่ข้อนี้จึงจะเรียกว่า ต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากสมณเพศ เอาละ ทีนี้เรามาสอบอารมณ์กันต่อดีกว่า รู้สึกว่าจะพูดมากกันเกินขอบเขตไปแล้ว ทั้งอาตมาทั้งโยมนั่นแหละ อย่างนี้เขาเรียกว่า “กรรมฐานรั่ว” อุตส่าห์ตั้งใจปฏิบัติมาตั้งหลายวันก็มาทำรั่วเสียแล้ว เห็นไหมสอบตกกันทั้งพระทั้งฆราวาสเลย” ท่านตำหนิตัวเองด้วย แล้วเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงพูดอีกว่า

          “อาตมาเกือบต้องตายเพราะพระนะ ดีที่มีคนช่วยเอาไว้ อาตมายังรู้บุญรู้คุณเขามาจนบัดนี้ อยากฟังไหมจะเล่าให้ฟัง”

          “อยากฟังครับ”

          “อยากฟังค่ะ” อุบาสกอุบาสิกาตอบพร้อมกัน

          “คืออาตมาตอนเด็ก ๆ ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ ยายมาขอไปเลี้ยงตั้งแต่อายุหกขวบ พอเรียนจบมัธยมสาม ก็ไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ไปอยู่กับคุณปู่ที่บางแวก จังหวัดธนบุรี ตอนนั้นกรุงเทพฯ กับธนบุรียังไม่รวมกันเหมือนเดี๋ยวนี้ คุณปู่ของอาตมาชื่อหลวงธารา อาตมาก็ไปเรียนที่โรงเรียนสวนกุหลาบ ตอนเย็นโรงเรียนเลิกก็ไปเรียนดีดสีตีเป่ากับครูจำนงค์ที่ในสวนหลังวัดโตนด”

          “ตอนนั้นหลวงพ่ออายุเท่าไรคะ”

          “ดูเหมือนจะสิบเจ็ดย่างสิบแปด ทีนี้อาตมาก็ต้องเดินผ่านวัดโตนดทุกเย็น ไปเรียนดนตรีสองชั่วโมง หกโมงเย็นเขาก็เอาเรือมารับที่หน้าวัด คุณปู่มีเรือส่วนตัว มีคนขับด้วยชื่อ นายแรม”

          “เหมือนกับที่คนสมัยนี้มีรถส่วนตัวใช่ไหมครับ” อุบาสกผู้หนึ่งถาม

          “คงอย่างนั้นกระมัง อาตมาก็บังเอิญไปรู้ความลับหลวงตาวัดโตนดเข้า แกเลยอาฆาตอาตมา”

          “หลวงพ่อรู้ความลับอะไรของท่านครับ”

          “อ้าว ถ้าบอกโยม มันก็ไม่เป็นความลับน่ะซี จะให้บอกหรือ”

          “หลวงพ่อไม่ต้องบอกก็ได้ค่ะ แต่พวกเราอยากทราบ” อุบาสิกาพูดง่ายแต่ฟังยาก

          “อยากทราบก็จะบอก เพราะไหน ๆ แกก็ตายไปแล้ว คือหลวงตาองค์ที่ว่านี้ แกกินยาฝิ่น แล้วก็ต่อนกเขา กินข้าวค่ำ ถ้าว่ากันตามพระวินัยแล้ว แกก็ไม่ใช่พระ เพราะถ้าเป็นพระคงไม่คิดฆ่าคน ต้องมีความเกรงใจในพระวินัยบ้าง”

          “แกฆ่าใครครับ” อุบาสกถามเห็นท่านพระครูใช้ “แก” กับหลวงตา เขาจึงถือโอกาสใช้บ้าง

          “ฆ่าอาตมานี่แหละ แกใจร้ายเหลือเกิน สั่งให้เด็กวัดมารุมซ้อมอาตมา ซึ่งกำลังนอนหลับอยู่ที่ศาลาริมน้ำเพราะรอเรือมารับ อาตมายกมือไหว้ปะหลก ๆ ขอชีวิต พวกเด็กวัดทำท่าจะสงสาร แต่หลวงตาสั่งว่า “อย่าไปสงสารมัน ไอ้นี่มันร้ายกาจมาก ขืนปล่อยไปมันจะกลับมาเล่นงานพวกเอ็ง” พวกเด็กวัดเลยซ้อมอาตมาอีก อาตมาก็คิดจะกระโดดลงน้ำ จึงวิ่งไปที่แพ พวกมันก็วิ่งตาม หลวงตาเห็นว่า อาตมาคงจะหนีไปได้ เลยชักมีดออกมาส่งให้ลูกศิษย์สั่งว่า “เอาเลย แทงมันให้ตาย แล้วโยนลงน้ำไป”  อาตมากลัวมาก แล้วรู้สึกมีคนฉุดลงไปในน้ำ จากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย”

          “คนที่ช่วยหลวงพ่อเป็นใครคะ”

          “เป็นหมอจีน อายุห้าสิบเศษ ชื่อ ลุงหมั่น แซ่ตั้ง เขาพายเรือผ่านมาเห็นเข้าพอดี เลยฉุดอาตมาลงเรือแล้วพายหลบเข้าไปในคลองบ้านอ้อย ถ้าไม่ได้ลุงหมั่นช่วย ป่านนี้ไม่รู้ว่าไปอยู่นรกขุมไหน เพราะตอนเด็ก ๆ ไม่เคยสร้างความดีเลย ยายก็สอนไปเถอะ สอนจนอ่อนใจก็ไม่ดีขึ้น ยายให้เอาอาหารไปถวายเพลพระที่วัด อาตมาก็เอาไปกินกับเด็กเลี้ยงควายที่กลางทุ่ง อาหารไม่เคยถึงพระเลย เพื่อนที่เลี้ยงควายมันก็บอกว่า “ให้แม่มันกินทำไมกันพระ อีกหน่อยก็สึกออกไปเป็นผัวใครก็ไม่รู้ มากินกันเองดีกว่า” อาตมาก็เชื่อเขากระทั่งวันหนึ่งถูกยายจับได้”

          “คุณยายท่านแอบสะกดรอยตามไปดูหรือคะ” อุบาสิกาที่เป็นครูถาม

          “เปล่า พออาตมาหิ้วปิ่นโตออกจากบ้าน ก็ไปกินกับเด็กเลี้ยงควายที่กลางนา กินเสร็จก็เล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน ล้างปิ่นโตเสียเอี่ยมอ่อง เพื่อทำลายหลักฐาน”

          “หลวงพ่อฉลาดรอบคอบดีจังนะครับ” อุบาสกชม

          “ไม่ฉลาดได้เรอะ มือชั้นนี้แล้ว” ท่านพูดยิ้ม ๆ

          “แต่ถึงจะฉลาดอย่างไรก็ถูกยายจับได้ เพราะพออาตมาเดินมาถึงบ้าน ยายก็ถามมาแต่ไกลว่า “ไอ้หนูถวายเพลเรียบร้อยแล้วหรือ” อาตมาก็ว่า “เรียบร้อยแล้วยาย” ยายก็ถามอีกว่า “แล้วรับพรมากหรือเปล่า” อาตมาก็โกหก “รับซียาย สมภารท่านให้พรมาเต็มปิ่นโตเลย” ยายบอก “ดีมาก ไอ้หนูทำดีมาก มารีบ ๆ ขึ้นมา ยายจะให้รางวัล” อาตมาก็ชักเอะใจเพราะยายไม่เคยพูดอย่างนี้ พอขึ้นพ้นหัวกระได ตายเลย สมภารนั่งอยู่บนบ้าน โอ้โฮยายตีซะหลังลายพร้อยเลย ตีต่อหน้าสมภารเสียด้วย แล้วก็สอนว่า “ทีหน้าทีหลัง อย่าทำอีก กินของพระ เอ็งจะเป็นเปรต รู้ไหม”

            “แล้วสมภารท่านไม่ห้ามหรือคะ” ครูสาวถาม

          “ท่านก็ห้ามเหมือนกัน แต่ยายบอก “ไม่ได้หรอกท่านสมภาร มันทำมาหลายหนแล้ว ถ้าไม่ตีเดี๋ยวมันจะบาป ต้องตีล้างบาปให้มันหน่อย” นี่ยายพูดอย่างนี้ แหม หน่อยของยายน่ะ เล่นเอาอาตมาหลังลายไปหลายวัน ตั้งแต่นั้นก็เลยเข็ด ที่เข็ดเพราะไม่อยากถูกตี ไม่ใช่ว่ากลัวจะเป็นเปรตหรอก เพราะอาตมาไม่เชื่อที่ยายพูด”

          “แล้วเพื่อน ๆ หลวงพ่อว่าอย่างไรครับ เวลาที่หลวงพ่อหิ้วปิ่นโตเดินผ่าน”

          “เขาก็ถามว่า “เฮ้ย ไอ้แกละ วันนี้ไม่กินเลี้ยงกันอีกหรือ” อาตมาบอกไม่ได้หรอก ต้องเอาไปถวายพระ เดี๋ยวยายตีหลังลาย ว่าแล้วก็เลิกเสื้อให้เขาดูหลัง

          “ตอนเด็ก ๆ หลวงพ่อชื่อแกละหรือคะ” อุบาสิกาวัยห้าสิบถาม

          “คืออาตมาไว้ผมแกละ ไว้ทั้งข้างซ้าย ข้างขวา แล้วก็ข้างหลัง เรียกว่าสามแกละเลย เพื่อน ๆ เขาก็เรียก “ไอ้แกละ” บ้าง “แกละ” เฉย ๆ บ้าง แต่ยายมักจะเรียก “ไอ้หนู” นอกจากโกรธเต็มที่ถึงจะเรียก “ไอ้แกละ” สมภารวัยห้าสิบอธิบาย

          “แสดงว่าหลวงพ่อค่อนข้างเกเรนะครับ ผมหมายถึงตอนที่หลวงพ่อเป็นเด็ก อุบาสกพูดอย่างเกรงใจ

          “ไม่ค่อนข้างหรอกโยม เรียกว่า ยอดเกเลยเชียวแหละ หาเรื่องให้ยายปวดหัวได้ไม่เว้นแต่ละวัน เพราะเที่ยวไปมีเรื่องกับเขา “ตีหัวหมา ด่าแม่เจ๊ก” คือยี่ห้อของอาตมาละ” ท่านเล่าถึงวีรกรรมตอนเป็นเด็ก

          “แต่หลวงพ่อก็เรียนเก่งใช่ไหมครับ” อุบาสกพยายามหา “ความดี” ให้ท่านพระครู

          “เก่งหรือไม่เก่ง อาตมาก็เรียนมันทุกโรงเรียนเลยแหละ จังหวัดสิงห์บุรีมีโรงเรียนมัธยมอยู่ ๘ โรงเรียน อาตมาเรียนมาครบทุกแห่ง ๆ ละหนึ่งเดือนบ้าง สองเดือนบ้าง อย่างเก่งก็ไม่เกินหนึ่งปี พอเรียนครบ ๘ แห่งแล้ว ก็กะจะเรียนรอบสอง แต่ทางโรงเรียนเขารู้กิตติศัพท์ เลยไม่ยอมรับสักแห่ง ก็เลยต้องไปเรียนที่กรุงเทพฯ เรื่องของอาตมามันยาวนะโยม เล่าไปอีกสามวันก็ไม่จบ เอาละ อาตมาไม่เล่าแล้ว มาพูดถึงการปฏิบัติกันดีกว่า ไหนใครมีปัญหาอะไรก็ถามได้ ยังมีเวลาเหลืออีกประมาณสามสิบนาทีก่อนจะถึงเพล”

มีต่อ........๔๔