สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๔๔

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

ธันวาคม ๒๕๓๗

S00044

๔๔...

            วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๗ ท่านพระครูกลับจากงานเผาศพนางปั่นที่จังหวัดอ่างทอง ขณะที่รถแล่นมาตามถนนสายเอเชีย ใกล้ปากทางที่จะเข้าวัด พลันก็นึกได้ว่าเจ๊นวลศรีกำลังป่วยหนัก ควรจะต้องไปเยี่ยมเยียน ด้วยว่าวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้แกจะ “ไป” แล้ว “เห็นหนอ” บอกว่าแกจะไปสู่สุคติในวันอาทิตย์ที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๗ เวลา ๐๔.๑๐ นาฬิกา

            “สมขายเดี๋ยวไม่ต้องเลี้ยวเข้าวัดนะ ฉันจะเข้าจังหวัดไปเยี่ยมเจ๊นวลศรีเขา” ท่านสั่งคนขับรถ

            “ป้านวลศรีแกไม่สบายหรือครับ เป็นอะไรครับ”

            “เป็นเนื้องอกในท้อง เห็นว่าอีกสามวันจะทิ้งร่าง ต้องไปดูเขาหน่อย”

            “จะตายแล้วหรือครับ เห็นอ้วนท้วนสมบูรณ์ดี ไม่น่าตายเลย อายุก็ยังไม่มากนี่ครับ ดูเหมือนจะไม่ถึงหกสิบด้วยซ้ำ”

            “จะอ้วนหรือผอม อายุน้อยหรืออายุมาก เมื่อถึงคราวก็ต้องตายทั้งนั้นแหละ” ท่านพระครูว่า

            “แล้วมีไหมครับหลวงพ่อ มีประเภทที่ถึงคราวแล้วแต่ไม่ตาย หรือตายทั้งที่ยังไม่ถึงคราวอะไรเทือกนี้ มีไหมครับ” นายสมชายเริ่มเล่นลิ้น รู้สึกเหงาปากมานานเพราะพอขึ้นรถ ท่านก็ “นั่งหลับตา” เพิ่งจะมาเอ่ยปากพูดเมื่อตอนใกล้จะถึงทางเลี้ยวเข้าวัด พูดเพื่อจะบอกเขาว่าไม่ให้เลี้ยวเข้าวัดนั่นแหละ

            “มี ก็เธอยังไงล่ะที่ต้องตายทั้งที่ยังไม่ถึงคราว เพราะพูดมากปากมอม” คนเล่นลิ้นถูก “ด่า” เอาดื้อ ๆ

            “แหม เป็นพระคุณอย่างสูงเลยครับหลวงพ่อที่ให้พรผม” ท่านพระครูนิ่งไปสักยี่สิบนาทีเห็นจะได้ ต่อเมื่อรถเลี้ยวเข้าตัวจังหวัดแล้วจึงพูดขึ้นว่า “ใครว่าฉันให้พร ฉันด่าเธอตังหากล่ะ ฟังไม่ออกหรอกหรือ ความรู้สึกช้าจังนะ” นายสมชายรู้สึก “ทึ่ง” ที่ท่านอุตส่าห์ “ต่อเรื่อง” ได้ถูก จึงว่า

            “นั่นแหละครับ ผมถือว่าให้พร คนโบราณเขายังสอนไว้เลยว่า “ผู้หญิงด่าแปลว่าผู้หญิงรัก ผู้หญิงให้จวักแปลว่าเขากวักมือ”

            “แล้วถ้าผู้หญิงเรียก “นายกระบือ” ล่ะ”

            “ก็ต้องถือว่าเป็นความซวยครับ” ตอบโดยไม่ต้องคิด

            “เออ ดีมาก ระวังโน่นเลี้ยวซ้ายข้างหน้าโน่น อย่าขับเลยไปล่ะ”

            “ครับไม่เลยแน่ ทำไมป้าเขาไม่ไปอยู่โรงพยาบาลล่ะครับหลวงพ่อ ลูกหลานเขาไม่พาส่งโรงพยาบาลหรอกหรือ”

            “ส่งมาทุกโรงแล้ว แต่หมอเขาไม่รับ บอกว่าให้กลับมาพักผ่อนที่บ้าน ลงเขาพูดอย่างนี้ก็แปลว่าไม่รอดแน่ เอาละ นั่นจอดหน้าตึกนั่น” นายสมชายทำตามคำสั่ง

            “บ้าน ของเจ๊นวลศรีเป็นตึกแถวสามชั้นสองคูหา ข้างล่างขายอาหาร ข้างบนเป็นพักอาศัย เมื่อท่านก้าวลงจากรถ บรรดาหลาน ๆ ของเจ๊นวลศรีก็เข้ามาต้อนรับ

            “นิมนต์หลวงพ่อจ้ะ แหมดีใจเหลือเกินที่อุตส่าห์มาเยี่ยม” นางสาวกิมเจ็งหลานสาวคนโตของเจ๊นวลศรีพูดอย่างยินดี

            “เจ๊นวลศรีเป็นอย่างไรบ้าง” ท่านถามถึงคนป่วย

            “ก็ทรง ๆ ทรุด ๆ ค่ะหลวงพ่อ นิมนต์ข้างบนเลยค่ะ อาม่าอยู่ข้างบน” หล่อนพูดพลางเดินนำไปที่บันได แล้วหลีกทางให้ท่านกับลูกศิษย์ขึ้นก่อน ท่านพระครูถอดรองเท้าแล้วจึงเดินขึ้นไปโดยมีนายสมชายเดินตามหลัง นางสาวกิมเจ็งสั่งน้องสาวให้ชงชาขึ้นมาถวาย

            นางเน้ยกำลังป้อนข้าวให้มารดา ครั้นเห็นท่านพระครูก็วางมือ บอกมารดาอย่างดีใจว่า “แม่” หลวงพ่อท่านมาเยี่ยมแน่ะ” เจ๊นวลศรียันกายลุกขึ้นนั่ง สองมือประนมแล้วกล่าวว่า

            นิมนต์จ้ะหลวงพ่อ เป็นพระคุณเหลือเกินที่อุตส่าห์มาเยี่ยม” นางสาวกิมเจ็งเห็นหมดธุระแล้วจึงลงมาข้างล่าง

            “ไม่ต้องลุกก็ได้เจ๊ นอนตามสบายเถอะ”

            “ไม่หรอกจ้ะ ฉันกลับบาป นอนคุยกับพระกับเจ้าฉันไม่เคยทำ “ คนป่วยว่า

            “หน้าตาสดชื่นดีนี่นา ยังกับคนปกติยังไงยังงั้น หรือโยมเน้ยว่ายังไง ท่านถามลูกสาวเจ๊นวลศรี

            “ฉันก็ว่าอย่างหลวงพ่อนั่นแหละ แม่แกเป็นคนไข้ที่น่ารักมาก ไม่จู้จี้กวนใจ แล้วก็ไม่เคยบ่นให้ลูกหลานฟังว่าเจ็บตรงไหน ปวดตรงไหน นางเน้ยกล่าวชมมารดา

            “ก็ฉันเรียนฝึกสติมาจากหลวงพ่อนี่จ๊ะ ขืนเอะอะโดยวายก๊อเสียชื่อครูบาอาจารย์แย่เลย” คนป่วยพูดจ้อย ๆ

            “เจ๊จะตายเมื่อไหร่หรือ” ท่านถามเพื่อจะตรวจสอบว่าเจ๊นวลศรีรู้ตรงกับที่ท่าน “รู้” หรือไม่ นางเน้ยรู้สึกพิศวงที่คนเป็นพระกับคนเป็นแม่นั่งพูดเรื่องเป็นเรื่องตายกันหน้าตาเฉย หล่อนได้ยินมารดาตอบท่านพระครูว่า

          “วันอาทิตย์ แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๓ ปีขาล เวลาตีสี่กับสิบนาที” ท่านพระครูเชื่อแล้วว่าเจ๊นวลศรีได้ “เห็นหนอ” เพราะมันตรงกับที่ท่าน “รู้” ท่าน “เห็น” ทุกประการ นางเน้ยขออนุญาตลุกออกไป พอดีกับลูกสาวคนรองยกถาดน้ำชาขึ้นมา หล่อนจึงบอกลูกว่า “กิมฮวยไปหยิบยาแก้ปวดหัวมาให้แม่สองเม็ด เอาน้ำมาด้วย”

            “ใครจะกินล่ะแม่ อาม่าหรือ ก็หมอเขาให้ยามาแล้วไง” นางสาวกิมฮวยออกสงสัย

            “เออน่า ไปเอามาเถอะ แม่จะกินเอง”

            “แม่ปวดหัวเหรอ เอ ทุกทีไม่เห็นเป็นอะไร พอหลวงพ่อมากลับปวดหัว” ลูกสาวบ่น หล่อนบอกนายสมชายให้ช่วยประเคนน้ำชาท่านพระครู แล้วจึงลงไปหายาในตู้ยาชั้นล่าง

            ครู่หนึ่งนายฮิมก็ถือยาและแก้วน้ำขึ้นมา เขาเพิ่งกลับจากซื้อของที่กรุงเทพฯ รู้จากลูกสาวว่าภรรยาจะกินยาแก้ปวดศีรษะ จึงตามมาดูด้วยความเป็นห่วง ครั้นเห็นท่านพระครู จึงวางยาและแก้วน้ำลง แล้วกราบสามครั้ง

            “หลงพ่อมานานแล้วหรือครับ” เขาเอ่ยทัก ออกเสียง “หลวง” เพี้ยนเป็น “หลง”

            “สักครูเห็นจะได้ กำลังพูดกับโยมเน้ยอยู่ว่า เจ๊เขาหน้าตาไม่เหมือนคนป่วยเลยสักนิด” ท่านพูดกับลูกเขยเจ๊นวลศรี แม่ยายกับลูกเขยคู่นี้เกิดปีเดียวกัน แต่คนเป็นแม่ยายอ่อนเดือนกว่า สามีของเจ๊นวลศรีซึ่งเสียชีวิตไปเมื่อสองปีที่แล้วก็เกิดปีเดียวกับแม่ยาย เจ๊เคยเล่าให้ท่านพระครูฟังอย่างนี้ และท่านก็สรุปในใจว่า “สงสัยจะเป็นกรรมพันธุ์”

            “เห็นลูกมันว่าลื้อจะกินยาแก้ปวดหัว” นายฮิมถามภรรยาพลางหยิบยาและแก้วน้ำส่งให้ กระบวนรักภรรยาไม่มีใครเกิน “เถ้าแก่ฮิม”

            “ใช่ ฉันฟังแม่กับหลวงพ่อคุยกันแล้วปวดหัวพิลึก” ภรรยาวัยสี่สิบพอดิบพอดีบอกสามีวัยห้าสิบเก้า พลางรับยาและน้ำจากสามี ยานั้นบรรจุมาในขวดฝาเกลียว มีสำลีปิดที่ปากขวดกันชื้น นางเน้ยเปิดฝาขวดแล้วหยิบยาขึ้นมาสองเม็ด หากท่านพระครูห้ามไว้

            “อย่ากินเลยโยม ยานั้นจะกินก็ต่อเมื่อมันจำเป็น นี่อาตมายังไม่เห็นจำเป็นที่โยมจะต้องกิน เอาเถอะตั้งใจฟังต่อไปแล้วก็จะหายปวดหัว เชื่ออาตมาเถอะ”

            “หลงพ่อคุยอะไรกับแม่หรือครับ ถึงทำให้อาเน้ยเขาปวดหัว” คนอายุแก่เดือนกว่าแม่ยายถาม

            “ไม่มีอะไรมากหรอกเถ้าแก่ อาตมาเพียงแต่ถามเจ๊ว่าจะไปวันไหน จะตรงกับที่อาตมาคิดไว้หรือเปล่าเท่านั้นแหละ”

            “แล้วตรงไหมครับ”

            “ตรงเผงเลยแหละเถ้าแก่ เจ๊เขาเก่งจริง ๆ นี่แหละคนที่ปฏิบัติกรรมฐานอย่างจริงจัง สามารถรู้วันตายของตัวเองได้ เถ้าแก่ว่าดีไหมล่ะ เถ้าแก่เตรียมบอกลูกหลานให้ตัดชุดกงเต็กได้แล้ว อีกสามวันเจ๊เขาไปแน่” แล้วถามคนป่วยว่า

            “ถามจริง ๆ เถอะเจ๊ พอรู้ว่าจะต้องตายนี่กลัวบ้างไหม นึกเสียดายชีวิตบ้างไหม”

            “ตอบจริง ๆ ก็ต้องบอกว่าไม่กลัว ฉันไม่กลัวเลยจ๊ะหลวงพ่อ ก็ในเมื่อฉันเห็นกฎแห่งกรรมของตัวเองแล้ว ว่าจะต้องตายในวันนั้น ฉันก็ทำใจได้ ไม่รู้สึกกลัวหรือโศกเศร้าเสียดายชีวิตแต่อย่างใด คงเป็นเพราะฉันปฏิบัติกรรมฐานกระมังถึงได้ไม่กลัวตาย”

            “ถูกแล้วเจ๊ คนที่ปฏิบัติกรรมฐานอย่างจริงจัง จนประสบผลสำเร็จ สามารถเห็นกฎแห่งกรรมของตัวเองได้ เขาจะไม่กลัวตาย ส่วนคนที่ปฏิบัติจิ้ม ๆ จ้ำ ๆ ไม่เอาจริงเอาจังก็ยังกลัวตายอยู่ เพราะยังไม่เห็นกฎแห่งกรรม อาตมาขอชมเชยเจ๊ที่มีความเพียรจนกระทั่งประสบความสำเร็จ รู้สึกว่าเจ๊สติดีมาก สามารถข่มทุกขเวทนาไว้ได้ อาตมารู้ว่าเจ๊ก็เจ็บก็ปวด เช่นเดียวกับคนป่วยทั่ว ๆ ไป แต่ผิดกันตรงที่เจ๊สามารถเอาสติข่มเวทนาไว้ได้ อันนี้อาตมาขอชมเชยจากใจจริง เจ๊เป็นลูกศิษย์ที่อาตมาภาคภูมิใจมากที่สุด” ท่านชมเสียยืดยาว และเจ๊นวลศรีก็ปลาบปลื้มจนแทบจะหายป่วยเลยทีเดียว

            “อาเน้ย ป๋าก็รู้สึกปวดหัวแล้วเหมือนกัน เรามากินยาคนละสองเม็ดดีไหม” นายฮิมพูดกับลูกสาวคนเดียวของแม่ยายเป็นเชิงปรึกษา

            “ก็ฉันบอกตั้งแต่แรกแล้ว” นางเน้ยว่า

            “นี่เอ็งสองคนอย่ามาพูดจากวนประสาทข้านะ” เจ๊นวลศรีผู้ซึ่งเป็นคนไทยเต็มตัวว่าลูกสาวที่เป็นคนไทยครึ่งตัว เพราะมีเตียเป็นจีน ส่วนลูกเขยคนดีของเจ๊นั้นเป็น “จีงล้อยปูเซ็ง”

            “เจ๊อย่าเพิ่งว่าโยมเน้ยกะเถ้าแก่เขาเลย เอาไว้อาตมาจะเป็นคนว่าให้เอง” ท่านพระครูอาสาแล้วพูดกับสอบผัวเมียว่า

            “ที่อาตมาคุยกับเจ๊เขานี่ไม่ใช่เรื่องเหลวไหลไร้สาระนะโยม แต่จะอธิบายด้วยคำพูดมันก็ไม่ค่อยจะเหมาะ ประเดี๋ยวโยมสองคนก็จะพากันปวดหัวอีก เอาอย่างนี้ถ้าอยากรู้จริง ๆ ก็ต้องไปเข้ากรรมฐานที่วัดอาตมาสักเจ็ดวันแล้วก็จะเข้าใจเรื่องที่อาตมาคุยกับเจ๊โดยไม่ต้องปวดหัว”

            “ไม่มีเวลาครับ”

            “ไม่มีเวลาจ้ะ” สองผัวเมียตอบพร้อมกัน เจ๊นวลศรีจึงว่า “หลวงพ่ออย่าชวนเขาให้ยากเลย ฉันน่ะปลงเสียแล้ว “อย่าข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า” เลยจ้ะหลวงพ่อ” คนป่วยว่าเป็นคำกลอน

            “เอาไว้ว่าง ๆ แล้วผมค่อยไปนะครับหลงพ่อ” นายฮิมพยายามประนีประนอม อย่างน้อยก็เห็นแก่ท่านพระครู

            “ถ้าเถ้าแก่รอให้ว่าง รับรองว่าไม่ได้ไป เพราะเถ้าแก่จะหาเวลาว่างไม่ได้เลยในชีวิตนี้” แล้วท่านจึงเล่าเรื่องของนายสนธนาให้นายฮิมและนางเน้ยฟัง เถ้าแก่วัยห้าสิบเก้าเชื่อแต่ก็ผลัดว่า

            “ถ้าอย่างนั้นผมรอให้เสร็จงานแม่เขาก่อน”

            “โอ๊ย ไม่ต้องเอาข้ามาบังหน้าหร็อก จะไปก็ไปเลย เรื่องศพข้าก็ไม่ต้องห่วง ข้าบอกนังเน้ยมันไว้แล้ว ขอเผาที่วัดหลวงพ่อแล้วกันนะจ๊ะ ทั้งเผาทั้งสวดเลยเพราะไม่ไกลจากบ้านเท่าไหร่ ฉันจะสั่งลูกหลานให้เรียบร้อย” เจ๊นวลศรีว่าลูกเขย แล้วก็หันมาพูดกับท่านพระครู

            “จะสวดซักกี่คืนล่ะเจ๊”

            “สามคืนก็พอ ตายวันสิบค่ำ เผาสิบสามค่ำ หลวงพ่อมาก็ดีแล้ว ฉันขอจองวัดจองเมรุเลย” คนจะตายสั่งการ

            นางเน้ยเอามือกุมขมับ ไม่เคยพบเคยเห็น มีอย่างที่ไหน รู้วันตายของตัวเอง แถมสั่งงานเรื่องทำศพไว้เสร็จสรรพ ท่านพระครูก็ช่างกระไรเข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย คนเข้าวัดนี่มีอะไรเพี้ยน ๆ แบบนี้ทุกคนหรือเปล่านะ

            ท่านพระครูหยิบสมุดบันทึกออกมาจากย่าม เปิดหน้าที่ตรงกับวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๗ บันทึกว่า “เจ๊นวลศรีตาย เมื่อเวลา ๐๔.๑๐ น. สวดพระอภิธรรมที่วัดนี้ วันที่ ๑๗-๑๘-๑๙ เวลา ๑๙.๐๐ น.”  แล้วเปิดไปหน้าที่ตรงกับวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๗ บันทึกว่า “เวลา ๑๗.๐๐ น. ฌาปนกิจศพเจ๊นวลศรีที่วัดนี้”

            “เอาละ เสร็จธุระแล้วอาตมาเห็นจะต้องลา ขอให้ไปสบาย ๆ นะเจ๊ เรื่องศพไม่ต้องห่วง อาตมาจะจัดการให้เรียบร้อย ในอดีตกาลที่ผ่านมา ถ้าอาตมาทำอะไร พูดอะไรแล้วทำให้เจ๊ไม่พอใจ อาตมาก็ต้องขออโหสิกรรมจากเจ๊ด้วย”

            “เช่นเดียวกันจ้ะหลวงพ่อ ถ้าฉันล่วงเกินอะไรหลวงพ่อเอาไว้ ด้วย กาย วาจา ใจ ก็ดี ฉันขออโหสิกรรมจากหลวงพ่อด้วย”

            “เอาละ อาตมาอโหสิให้ แล้วก็ถือโอกาสอำลาเลย” ท่านหันมาพูดกับนายฮิมว่า

            “เถ้าแก่จะไปกับอาตมาวันนี้เลยไหมเล่า”

            “ยังหรอกครับหลงพ่อ เอาไว้ให้อะไร ๆ มันเข้าที่เสียก่อน ขอบคุณหลงพ่อมากครับที่ชวน” เขาตอบและลุกขึ้นเตรียมมาส่งท่าน นายสมชายลุกตามท่านพระครูและนายฮิมลงไป ก่อนขึ้นรถท่านยังหันมาพูดกับเขาว่า

            “อย่าลืมมาเข้ากรรมฐานนะเถ้าแก่ อยากให้รีบ ๆ หน่อย อาตมาสังเกตดูรู้สึกว่าน้ำมันใกล้จะหมดแล้ว” ท่านเตือนเป็นนัย ๆ

            “น้ำมันอะไรครับหลงพ่อ ถ้าน้ำมันรถมีปั๊มตรงทางจะออกไปถนนสายเอเชียนะครับ” นายฮิมคิดว่าท่านหมายถึงน้ำมันรถยนต์ เขาควักกระเป๋ากางเกงหยิบธนบัตรใบละร้อยส่งให้นายสมชายพูดว่า

            “เอ้า สมชายช่วยเติมน้ำมันให้หลงพ่อด้วย”

            “ไม่ต้องหรอกครับเถ้าแก่ ผมเติมมาเต็มแล้ว” ลูกศิษย์วัดบอก

            “ก็หลงพ่อบอกน้ำมันใกล้จะหมด”

            “อาตมาไม่ได้หมายถึงน้ำมันรถ แต่หมายถึงน้ำมันของเถ้าแก่น่ะใกล้จะหมดแล้วนะต้องรีบเติมซะ คืออาตมาเปรียบเทียบให้เถ้าแก่ฟังว่า บุญกุศลที่เราทำมานั้นเปรียบเสมือนน้ำมันรถ ถ้ามีมากรถก็วิ่งได้นาน ถ้าหมดรถก็จอด เหมือนคนเราถ้าบุญหมดเมื่อไหร่ก็ต้องตายเมื่อนั้น อาตมาจึงเตือนเถ้าแก่ไว้ว่าบุญกุศลที่เถ้าแก่ทำมานั้นใกล้จะหมดแล้ว ต้องรีบสร้างเพิ่ม จึงได้ชวยไปเข้ากรรมฐานยังไงล่ะ” พอเข้าใจที่ท่านพูด นายฮิมถึงกับใจหายวาบ รู้สึก “จิตตก” ทันที เขาบอกท่านเสียงค่อนข้างสั่นว่า

            “ครับหลงพ่อ ผมเองก็รู้สึกสังหรณ์ใจยังไงพิกล ใจก็อยากไปอยู่วัดอย่างที่หลงพ่อบอก แต่ก็ห่วงอาเน้ยเขา ลูกห้าคนก็เป็นผู้หญิงหมด ผมเป็นผู้ชายคนเดียวในบ้าน” คนมีห่วงผูกคอพูดน่าสงสาร

            ท่านพระครูรู้แน่ว่าถึงอย่างไร เขาก็ไม่ยอมไปเพราะ “กรรม” นั้นหนักหน่วงนัก จึงช่วยเท่าที่พอจะช่วยได้ เมื่อเขามีอันต้อง “ไป” ก็อยากให้เขาไปดี จึงแนะแนวการปฏิบัติว่า “เมื่อไม่มีเวลาจริง ๆ อาตมาก็ไม่ว่าอะไร ขอให้หมั่นสวดมนต์แผ่เมตตาอโหสิกรรมให้กับเจ้ากรรมนายเวรนะเถ้าแก่นะ ทำได้ไหมเล่า แผ่นปลิวบทสวดมนต์ที่อาตมาเคยให้เจ๊เขามานั่นแหละ ไปขอยืมเขามาสวดให้ได้ทุกคืน ต้องทำให้ได้นะ”

            “ครับ ถ้าไม่ต้องไปอยู่วัดละก็ผมทำได้ สวดมนต์อยู่ที่บ้านก็ได้” เขารับคำหนักแน่น จากนั้นท่านพระครูจึงลาเจ้าของบ้านกลับวัด

          นายสมชายนำรถตู้สีครีมมาจอดที่หลังกุฏิเมื่อเวลาทุ่มเศษ เปิดประตูให้ท่านพระครูลงเรียบร้อยแล้ว จึงถอยเข้าไปเก็บในโรงรถ นายขุนทองเดินออกมารับหน้าพร้อมรายงานเสียงจ๋อย ๆ

          “หลวงลุงฮะ วันนี้หนูถูกพวกแขกรุมด่าใหญ่เลยฮะ” พูดพร้อมกับรับย่ามมาถือในลักษณะ “อุ้ม” เดินตามท่านไปยังกุฏิ

          “เอ็งไปทำอะไรให้เขาด่าล่ะ” ท่านย้อนถาม

          “ก็หนูบอกว่าวันนี้หลวงลุงงดรับแขก เพราะท่านเดินทางไปเผาศพที่อ่างทองตั้งแต่บ่ายโมง เขาก็พากันพูดไม่ดี หาว่าหลวงลุงเป็นพระเป็นเจ้าไม่รู้จักอยู่วัด หนูก็เถียงแทนว่าทีหลวงลุงอยู่ทำไม่เขาไม่มา คนสมัยนี้เห็นแก่ตัวจังเลยนะฮะ พอไม่ได้ดังใจก็พากันว่าแม้กระทั่งพระกระทั่งเจ้า เขาหาว่าอุตส่าห์ขับรถเสียน้ำมูกน้ำมันมา ท่านก็ไม่อยู่ให้พบ โอ๊ยสารพัดสารเพจะว่า หนูเห็นแล้วปลงอนิจจัง”

            “ขนาดปลงก็ยังอุตส่าห์ไปทะเลาะกับเขา เอ็งนี่มันใช้ไม่ได้เลยนะเจ้าขุนทอง” ท่านตำหนิหลานชาย

          “ก็เขาอยากมาว่าหลวงลุงทำไมล่ะ”

          “ก็ในเมื่อเขาว่าข้าแล้วเอ็งมาเดือดร้อนอะไรด้วยล่ะ ข้าเองยังไม่เดือดร้อนเลย ทำไมเอ็งถึงต้องเดือดร้อนหือเจ้าขุนทอง”

          “หนูก็ไม่รู้เหมือนกัน แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าทำไมหลวงลุงถึงไม่รู้สึกเจ็บแค้นเสียบ้าง ปล่อยให้เขาว่าอยู่ได้” หลานชายกระเง้ากระงอด

          “นี่นะเจ้าขุนทอง ข้าจะเปรียบเทียบให้เอ็งฟังสักเรื่องนึง สมมุติว่าเอ็งไปบ้านคนอื่นเขา พอขึ้นเรือนปุ๊บเขาก็ยกสำรับกับข้าวมาเลี้ยงเอ็ง บังเอิญเอ็งเพิ่งอิ่มมาจากบ้าน เอ็งก็เลยไม่กิน พอเอ็งกลับ อยากถามหน่อยว่าสำรับกับข้าวนั้นจะตกเป็นของใคร”

          “ก็ตกเป็นของเจ้าของบ้านซีหลวงลุง ไม่น่าถาม”

          “นั่นแหละ มันก็เหมือนกันนั่นแหละ ถ้ามีคนเขามาด่าเอ็งแล้วเอ็งไม่รับ คำด่าเหล่านั้นมันก็ตกอยู่กับคนที่ด่าจริงไหม จำไว้นะทีนี้อย่าไปรับคำด่าของใคร แล้วก็ไม่ต้องเอามาบอกข้า ข้าไม่อยากฟัง มาเหนื่อย ๆ อย่าหาเรื่องกวนใจมาให้ จำไว้” คราวนี้นายขุนทองไม่เถียง เมื่อขึ้นมาถึงกุฏิชั้นบนก็เอาย่ามวางไว้ข้างที่นอนของท่านแล้วจึงลงมาข้างล่าง เข้าห้องใส่กลอนแล้วล้มตัวลงนอน พอหัวถึงหมอนก็หลับปุ๋ยโดยไม่ยอมสวดมนต์ไหว้พระเสียก่อน ก็วันนี้เขาเหนื่อยกว่าทุกวัน “ออกแรง” ทะเลาะกับแขกหนักหน่วงไปหน่อย

          ท่านพระครูสรงน้ำเสร็จก็เตรียมจะเขียนหนังสือต่อ ยังไม่ทันลงมือเขียน นายสมชายก็มารายงานว่า

          “หลวงพ่อครับ คุณนายราศีมาขอพบครับ นั่งรออยู่ข้างล่าง ผมบอกจะพาไปหาที่พักแล้วพรุ่งนี้ค่อยมาหาหลวงพ่อ แกก็ไม่ยอม บอกว่ามีเรื่องด่วนมาก”

          “เรื่องอะไร เขาบอกเธอหรือเปล่า”

          “เขาว่าเขาจะมาลาตายครับ สงสัยคงเพี้ยนหนัก” ลูกศิษย์วัดตอบพร้อมประเมินผลเสร็จ ท่านพระครูรู้ได้ในทันที่ว่านั่นมิใช่ “ร่าง” ที่แท้จริงของคุณนายราศี ที่สมชายเห็นนั้นคือ “เจตภูต” จึงตอบไปว่า

          “เอาละ งั้นฉันจะลงไปเดี๋ยวนี้แหละ” แล้วท่านก็ลงมาข้างล่าง นายสมชายเดินตามมาติด ๆ คุณนายราศีเห็นท่านพระครูก็ร้องห่มร้องไห้ “เจตภูตร้องไห้ก็เป็นด้วย” ท่านพระครูคิดในใจ แล้วพูดเสียงเบาเพื่อไม่ให้ลูกศิษย์วัดได้ยินว่า

          “เจริญพร คุณนายมีธุระด่วนใช่ไหมถึงได้มามืด ๆ ค่ำ ๆ”

          “ค่ะ หลวงพ่อ หนูจะมากราบขอขมาแล้วก็จะลาหลวงพ่อด้วยค่ะ” เจตภูตรายงานเสียงเบาเช่นกัน

          “ขอขมาเรื่องอะไร แล้วก็จะลาไปไหนหรือ”

          “หนูมากราบขอขมาลาโทษที่ได้แสดงกิริยาที่ไม่งดงามที่กุฏิหลวงพ่อเมื่อวันขึ้นปีใหม่ แล้วก็มาลาไปปรโลกค่ะ พรุ่งนี้เวลาสองทุ่มตรง หนูจะถูกยิงตาย”

          “ใครยิง”

          “เมียน้อยของนายประวิทย์ คนที่เคยมาเข้ากรรมฐานกับหนูน่ะค่ะหลวงพ่อ เข้าจ้างมือปืนมายิง”

          “เขาจะยิงทำไม่ล่ะ คนเคยเข้ากรรมฐานมาแล้วทำไมยังมีจิตใจโหดร้ายถึงปานนั้น แล้วทำไมคุณนายไม่แจ้งความไว้เสียล่ะ” ถามเพื่อ “ประเมินผล” การปฏิบัติธรรมของคุณนายราศี

          “ไม่หรอกค่ะหลวงพ่อ มันเป็นกฎแห่งกรรม เมื่อชาติที่แล้วหนูฆ่าเขาไว้ นี่ถ้าหนูไม่มาเข้ากรรมฐานก็คงไม่รู้แล้วก็คงจะต้องจองเวรจองกรรมกันต่อไป เขาอยากจะเป็นคุณหญิงคะหลวงพ่อ เมื่อหนูตาย เขาคงคิดว่าจะได้ขึ้นเป็นคุณหญิง”

            “ไม่ได้เป็นหรอก คนจิตใจโหดร้ายอย่างนั้น ไม่มีโอกาสได้เป็นคุณหญิงแน่ ไม่น่าเลย แสดงว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ได้เข้าไปชำระล้างจิตใจเขาเลย มาปฏิบัติเสียเวลาเปล่า”

          “ก็เขาไม่ได้ตั้งใจมาปฏิบัตินี่คะหลวงพ่อ ตั้งใจมาหาผัวต่างหาก พวกสาวแก่เข้าวัดก็ไม่มีอะไรหรอก มาเพื่อหาผัว” เจตภูตพูดอย่างดูแคลน ท่านพระครูจึงห้ามว่า

          “ช่างเขาเถอะคุณนาย อย่าไปว่าเหมารวมอย่างนั้น คนที่เขาไม่ได้คิดอกุศลอย่างที่ว่าก็มี เอาเถอะที่ขออโหสิอาตมาอโหสิให้ ส่วนเรื่องมาลาก็ขออวยพรให้ไปดี แล้วอาตมาจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ”

          “ถ้าอย่างนั้นหนูขอกราบลาค่ะ ขอกราบขอบพระคุณหลวงพ่อเป็นอย่างสูงที่ได้เมตตาให้หนูรู้ดีรู้ชั่ว ทำให้หนูสามารถตัดภพตัดชาติให้สั้นเข้า หนูลาล่ะค่ะ” คุณนายราศีลุกออกไปแล้ว นายสมชายตั้งท่าจะไปส่ง หากท่านพระครูห้ามไว้ และบอกเขาว่านั้นเป็นเจตภูต ลูกศิษย์วัดจึงปิดประตูกุฏิเพื่อเตรียมเข้านอน ท่านพระครูเดินขึ้นข้างบน ตั้งใจว่าจะจดบันทึกเรื่องนี้ไว้เป็นหลักฐาน....

 

มีต่อ........๔๕