สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๔๗
สุทัสสา อ่อนค้อม
ธันวาคม ๒๕๓๗
๔๗...
นายสมชายยกสำรับลงมาข้างล่าง นายขุนทองกำลังจะตามลงมาก็พอดีกับท่านพระครูถามขึ้นว่า
งานสวดศพเจ๊นวลศรีเรียบร้อยดีใช่ไหม เขาเคลื่อนศพมาถึงวัดตอนกี่โมง
ไม่มีศพใครมาเลยนี่ฮะหลวงลุง พระมหาบุญท่านก็ยังสงสัยว่าทำไมถึงไม่เป็นไปตามที่หลวงลุงสั่งเอาไว หลานชายรายงาน
ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าลูกหลานเขาคงจะเปลี่ยนใจไม่เอามาไว้วัดนี้กระมัง ที่จริงรับปากคนตายไว้แล้ว ไม่น่าจะเสียคำพูด ท่านตำหนิกราย ๆ ตำหนิคนเป็นลูกหลานของเจ๊นวลศรี
เขาคงคิดว่าตายไปแล้วคงไม่รู้มังฮะ นี่ถ้าเป็นหนูจะกลับมาหักคอให้ตายทั้งโขยงเลย โทษฐานที่ขัดคำสั่ง หนุ่มวัยยี่สิบเอ็ดขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด
เอาเถอะ ๆ ลงไปกินข้าวได้แล้ว กินเสร็จช่วยไปตามแม่หนูคนนั้นมาพบข้าหน่อย คนที่เอ็งพาไปฝากไว้ที่โรงครัวน่ะ ท่านออกคำสั่ง
นังเตยน่ะหรือฮะหลวงลุง เห็นพวกแม่ครัวเขาพูดกันว่าสงสัยมันจะท้อง เพราะอาเจียนโอ้ก ๆ ทุกเช้า
เอ็งเพิ่งรู้หรือ ข้ารู้มาตั้งนานแล้ว ท่านพระครูว่า
แต่หนูว่าหนูรู้ก่อนหลวงลุงอีกนะ หลานชายไม่ยอมแพ้
ถ้าเอ็งรู้จริงก็บอกข้ามาซิว่าเขาท้องได้กี่เดือนแล้ว
สามเดือนฮะ ชายหนุ่มตอบค่อนข้างมั่นใจ
นั่นแสดงว่าเอ็งรู้ไม่จริง ถ้ารู้จริงต้องตอบว่าสี่เดือน ข้ารู้ตั้งแต่วันแรกที่เห็นหน้าเขา เอ็งอย่ามาทำเก่งกว่าข้าหน่อยเลยเจ้าขุนทอง เพราะคนที่เก่งกว่าข้าน่ะพากันตายไปหมดแล้ว ท่านตั้งใจยั่วหลานชาย หากคราวนี้นายขุนทองไม่โต้ตอบเพราะรู้สึกหิว จึงยกถ้วยชามเดินลงมาข้างล่างซึ่งนายสมชายรออยู่
ทำไมเอ็งช้านักวะ ก็ไหนว่าหิวไง ลูกศิษย์วัดต่อว่าเพราะลงมารอค่อนข้างนาน
ก็หลวงลุงน่ะซี ถามโน่นถามนี่อยู่ได้ เขาโยนความผิดไปให้ท่านเจ้าของกุฏิ
ท่านถามอะไรเอ็งก็ตอบ ๆ ไปเสียก็หมดเรื่อง ข้าว่ามัวแต่ต่อล้อต่อเถียงท่านอยู่น่ะซี รู้นิสัยเอ็งหรอกน่า คนมาวัยกว่าพูดดักคอ
เอาเหอะ ๆ หนูหิวแล้ว กินข้าวกันดีกว่า อิ่มแล้วค่อยเถียงกันใหม่ นายขุนทองพูดตัดบท แล้วคนทั้งสองก็ก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารโดยไม่พูดไม่จา นายสมชายคิดว่าอิ่มแล้วจะของีบสักพักใหญ่ ๆ แล้วก็จะตื่นขึ้นมาล้างรถ แดดร่มลมตกจึงจะขี่จักรยานคู่ชีพไปบ้านเหนือ ขืนไปแต่วันก็อายชาวบ้านร้านถิ่นเขา จะต้องถูกครหาว่ามานั่งเฝ้าสาวจนไม่เป็นอันทำมาหากิน พวกชาวบ้านเขาจ้องจะนินทาอยู่แล้ว ถึงไม่เคยไปทำอะไรให้เขาต้องเดือดร้อนรำคาญใจก็มีสิทธิ์ถูกนินทาได้
อิ่มหมีพีมันกันแล้วนายขุนทองก็ออกคำสั่ง
พี่ช่วยเก็บสำรับล้างด้วย หนูจะไปตามนังเตยมาพบหลวงลุง
เอ็งก็ล้างก่อนซิแล้วค่อยไป ข้าง่วง เมื่อคืนกลับดึก แล้วยังต้องมาปิดประตูแทนเอ็งอีก เขาถือโอกาสทวงบุญคุณ
งั้นพี่ไปตามนังเตยมันแทนหนูได้ไหมล่ะ คนอ่อนวัยกว่าต่อรอง
ข้าจะไปก็ได้ แต่มันน่าเกลียดเพราะข้ามันเป็นผู้ชาย เอ็งไปน่ะดีแล้ว ผู้หญิงเหมือนกันค่อยพูดกันรู้เรื่อง ประโยคหลังถูกใจนายขุนทองนัก เขาจึงเก็บสำรับไปกองรวมไว้หลังกุฏิแล้วเดินไปตามนางสาวเตย กลับมาค่อยมาล้าง
นายสมชายจึงถือโอกาสเข้าไปแอบนอนในห้องนายขุนทอง ขืนขึ้นไปห้องตัวเองคงต้องถูกท่านพระครูซักไซ้ไล่เลียง แล้วก็คงไม่มีโอกาสได้นอน เพราะท่านไม่ชอบให้ใครนอนกลางวัน ท่านว่าจะทำให้เป็นโรคเกียจคร้าน ตั้งแต่เข้ามาปรนนิบัติรับใช้ท่านก็ยังไม่เคยเห็นท่านนอนกลางวันเลยสักครั้ง
แม้ในยามอาพาธเจ็บป่วย หมอสั่งให้พักผ่อนมาก ๆ ท่านก็ไม่ค่อยจะปฏิบัติตามคำสั่งของหมอ ครั้นถูกหมอต่อว่า ท่านก็ออกตัวว่า อาตมากลัวจะมีโรคแทรก พอหมอถามว่าท่านกลัวโรคอะไรแทรก ท่านก็ตอบว่า โรคเกียจคร้าน ถ้าอาตมาขืนนอนกลางวัน รับรองว่าต้องถูกโรคเกียจคร้านแทรก หมอก็เลยต้องยอมจำนนต่อเหตุผลของท่าน แล้วท่านก็คงจะเกรงใจหมอ เพราะนาน ๆ จึงจะอาพาธสักที และหากอาการไม่หนักหนาสาหัสจริง ๆ แล้วก็จะไม่ให้หมอได้รู้เป็นเด็ดขาด
นายขุนทองเดินไปตามนางสาวเตย ที่โรงครัว ถ้าหากไม่พบก็ว่าจะลองถามพวกแม่ครัวเขาดู บังเอิญได้ยินเสียงโอ้กอ้ากอยู่ทางด้านหลังจึงเดินไปยังที่มาของเสียง
เตย หลวงลุงให้มาตามเอ็งไปพบ เขาบอก ขณะที่ฝ่ายนั้นโก่งคออาเจียนเอา ๆ
ตกลงท่านจะให้หนูบวชหรือเปล่า พี่ขุนทองรู้ไหม นางสาวเตยถามเมื่อหยุดอาเจียนแล้ว
ก็เอ็งท้องไม่ใช่เหรอ คนท้องเขาบวชกันซะที่ไหนล่ะ
ใครว่าหนูท้อง หนูเป็นโรคกระเพาะตังหาก คนท้องสี่เดือนยังไม่ยอมรับความจริง
เอ็งจะปิดไปทำไมวะ อีกหน่อยท้องมันก็ป่องออกมาฟ้องเอง ว่าแต่ว่าเอ็งท้องได้กี่เดือนแล้ว คนถามมองดูท้องของอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งนูนขึ้นมานิดเดียวเท่านั้น
สามเดือนจ้ะ นางสาวเตยตอบ
ว่าแต่ว่าพี่อย่าบอกหลวงพ่อนะ ไง ๆ หนูขอบวชสักเดือนสองเดือน พอท้องมันโตค่อยสึก หล่อนพูดเอาแต่ได้
ข้าไม่ออกความเห็นดีกว่า เอ็งไปคุยกับหลวงลุงเอาเองก็แล้วกัน แต่ท่านรู้ว่าเอ็งท้องนะ ท่านว่าเอ็งท้องได้สี่เดือน แต่ข้าว่าเอ็งท้องสามเดือน ข้าชนะท่านแล้ว นายขุนทองคิดว่าจะต้องไปชี้แจงข้อเท็จจริงกับท่าน ในที่สุดเขาก็ชนะท่านจนได้ ก็นังเตยมันว่ามันท้องสามเดือนนี่นา
ท่านรู้ได้ยังไงล่ะพี่ หรือพวกแม่ครัวแอบไปบอก ถ้าเป็นยังงั้นหนูจะด่าให้เปิงเชียวละ คนจะบวชชีแสดงอาการเกรี้ยวโกรธ
ไม่มีใครบอกท่านหรอก ท่านรู้เอง เอ็งไม่รู้อะไร หลวงลุงท่านตาทิพย์นะ สามารถเห็นอะไร ๆ ที่คนธรรมดา ๆ ไม่เห็น เอาเหอะ อย่ามัวชัดช้าร่ำไรเดี๋ยวท่านจะรอ ไปกันเดี๋ยวนี้แหละ พูดจบก็เดินนำนางสาวเตยมาที่กุฏิ ท่านพระครูลงมานั่งรอที่อาสนะแล้วเมื่อไปถึง หล่อนกราบสามครั้ง แล้วตั้งคำถาม
ตกลงหลวงพ่อจะให้หนูบวชเมื่อไหร่คะ
หนูอย่าพูดเอาแต่ได้ยังงั้นซี คิดให้ยาว ๆ หน่อย หนูไม่กลัวว่าจะทำให้เสียชื่อเสียงวัดหรือไง ถ้าหนูมาคนเดียว หลวงพ่อก็จะให้บวช แต่มาสองคนบวชไม่ได้
หนูก็มาคนเดียวนี่คะ หล่อนเถียง
สองสิหนู ในท้องอีกคนไง หนูท้องไม่ใช่หรือ แล้วก็ไม่ต้องไปด่าแม่ครัวเขาหรอกนะ เขาไม่ได้มาบอกหลวงพ่อ หลวงพ่อรู้เอง ที่หนูคุยกับเจ้าขุนทองเมื่อกี้ หลวงพ่อก็ได้ยินหมดแล้ว จะให้บอกไหมล่ะว่าพูดอะไรกันบ้าง นายขุนทองยังไม่ได้ลุกออกไปล้างชามจึงถือโอกาสอวดสรรพคุณของตนว่า
หลวงลุงแพ้หนูแล้ว เขาท้องได้สามเดือนจริง ๆ นั่นแหละ หลวงลุงหาว่าสี่เดือน
ท่านพระครูจึงพูดกับนางสาวเตยผู้ซึ่งเริ่มร้องไห้กระซิก ๆ อยู่ต่อหน้าท่านว่า
ไงจ๊ะแม่หนู ท้องสี่เดือนทำไมถึงว่าสามเดือน นี่ขนาดหลวงพ่อไม่ได้ท้องเองยังรู้เลย แล้วทำไมตัวหนูไม่รู้ล่ะจ๊ะ นางสาวเตยจึงต้องคิดทบทวนเหตุการณ์ตั้งแต่ได้เสียกับไอ้หนุ่มเพื่อนบ้าน กระทั่งรอบเดือนขาดไป แล้วก็ต้องยอมรับว่าหลวงพ่อท่านพูดถูก รอบเดือนของหล่อนหายไปสี่ครั้ง ก็แปลว่าหล่อนต้องท้องสี่เดือน ทำไมหลวงพ่อท่านถึงได้รู้อะไร ๆ ได้มากมายนัก สงสัยคงเป็นผู้วิเศษแน่ ๆ หล่อนคิด
หลวงพ่อไม่ใช่ผู้วิเศษหรอกหนู อย่าคิดไปไกลขนาดนั้น นางสาวเตยยิ่งประหลาดใจมากขึ้น เมื่อท่านรู้แม้กระทั่งว่าหล่อนคิดอะไรเช่นนี้ ก็ป่วยการที่จะโกหกท่าน จึงพูดทั้งน้ำตาว่า
หลวงพ่อคะ หนูกลุ้มใจ ไอ้คนที่มันทำหนูท้อง มันไม่ยอมรับเป็นพ่อของลูกในท้องค่ะ หล่อนเล่าความจริง
หนูอยากให้เขารับใช่ไหม
ค่ะ ไม่งั้นหนูจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ใครรู้เข้าหนูคงอกแตกตายแน่โดยเฉพาะพ่อกับแม่หนู แล้วหล่อนก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น คิดเคียดแค้นชิงชังเจ้าหนุ่มเพื่อนบ้านที่เป็นพ่อเด็กในท้อง
เอาเถอะ หยุดร้องไห้ได้แล้ว หลวงพ่อมีวิธีที่จะทำให้คนรักของหนูเขามาแต่งงานกับหนู แต่หนูจะต้องไม่บวชชี ตกลงไหม
จริงหรือคะหลวงพ่อ ถามอย่างยินดี หล่อนเชื่อว่าท่านต้องทำได้ เพราะท่านเป็นผู้วิเศษ
จริงหรือไม่จริงก็ต้องคอยดูกัน แต่หลวงพ่อก็ขอบอกไว้ก่อนว่ายังไง ๆ ก็อนุญาตให้หนูบวชชีไม่ได้
หนูไม่บวชแล้วค่ะ ถ้าหลวงพ่อทำให้หนูได้แต่งงานกับเขา หนูไม่บวชค่ะ นึกว่าช่วยหนูเอาบุญเถิดนะคะ หนูหมดที่พึ่งแล้ว ครั้งแรกคิดจะฆ่าตัวตายแต่ใจไม่ถึง คนท้องสารภาพ
อย่าเชียวนะหนู อย่าได้ฆ่าตัวตายเป็นอันขาด คนที่ฆ่าตัวตายต้องตกนรกถึงห้าร้อยชาติ แล้วถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์อีกก็จะต้องฆ่าตัวตายถึงเจ็ดชาติ จึงจะหมดเวร มีตัวอย่างแล้ว ลูกศิษย์หลวงพ่อคนหนึ่ง เป็นอาจารย์สอนอยู่โรงเรียนประจำจังหวัด เคยมาเข้ากรรมฐานกับหลวงพ่อแล้วก็เกิดระลึกชาติได้ว่าเคยฆ่าตัวตายมาหกชาติแล้ว ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย
แล้วหลวงพ่อไม่ช่วยเขาหรือคะ ช่วยไม่ให้เขาฆ่าตัวตายน่ะค่ะ
ช่วยสิหนู หลวงพ่อก็พยายามจนสุดความสามารถ แต่พ่อกับแม่เขาไม่ร่วมมือด้วย ในที่สุดเขาก็เลยผูกคอตาย แต่ก็ตายอย่างมีสตินะ เพราะเขารู้ว่าจะต้องชดใช้กรรม
ทำไมพ่อแม่เขาไม่ให้ความร่วมมือกับหลวงพ่อล่ะคะ หรือว่าเป็นตาสีตาสาไม่รู้เรื่องรู้ราว
ไม่ใช่ตาสีตาสาหรอก พ่อเขาเป็นนายตำรวจ ส่วนแม่เขาเป็นครูประชาบาล แต่เขาไม่เชื่อที่หลวงพ่อบอก พอลูกสาวตาย พากันมาร้องห่มร้องไห้ที่กุฏินี่ทั้งผัวและเมียเลย บอกรู้ยังงี้เชื่อหลวงพ่อก็ดีหรอก หลวงพ่อก็เลยตอบไปว่ามาเชื่อเอาตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว เพราะถึงยังไงลูกสาวก็ไม่ฟื้นคืนชีพมาอีกแล้ว แม่หนูคนนี้ก่อนตายเขาก็สร้างบ้านให้พ่อแม่หลังใหญ่เชียว สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง ตอนสร้างใช้เงินไม่กี่หมื่น แต่ตอนนี้ราคาหลายแสน
แล้วเขาต้องไปตกนรกอีกไหมคะ
ไม่ตกแล้วหนู ก่อนตายเขาก็ไหว้พระสวดมนต์แล้วนั่งกรรมฐาน พ่อกับแม่ก็ไปทำงานแต่เช้า ก่อนไปเห็นลูกสาวนั่งสวดมนต์อยู่ในห้องพระก็ไม่ได้สังหรณ์ใจ ตกเย็นเลิกงานมาก็ยังเห็นลูกสาวนั่งอยู่ในห้องพระ จึงเข้าไปเรียก คิดว่า เอ วันนี้อีหนูนั่งกรรมฐานนานจัง ปรากฏว่าเรียกเท่าไหร่ ลูกสาวก็ไม่ยอมลืมตา เลยเข้าไปจับตัวดูจึงรู้ว่าตายเพราะตัวเย็นซีดเลย
ก็ไหนหลวงพ่อว่าเขาผูกคอตายไงคะ
ก็ผูกคอตายน่ะสิ คือเขานั่งอยู่ในห้องพระ แต่ก็ใช้ผ้าสไบเฉียงพันรอบคอเอาไว้ ก็พันหลวม ๆ นี่แหละ คือผูกคอตายพอเป็นพิธีว่างั้นเถอะ พวกชาวบ้านใกล้เคียงเขาเล่าให้พ่อแม่ของแม่หนูคนนี้ฟังว่าเขาเห็นคนแต่งชุดขาวเดินกันให้ขวักไขว่ไปหมด ยังคิดว่าที่บ้านมีงาน หนูรู้ไหมที่ชาวบ้านเขาเห็นนั้นก็คือพวกเทวดา แสดงว่าเทวดามารับเอาไป
แบบนี้ก็ไปสวรรค์ซีคะ
ถูกแล้ว ถ้าไปนรก ยมบาลจะมารับ คนอื่นจะไม่เห็น แต่คนที่กำลังจะตายเขาจะเห็น คือเห็นยมบาลน่ะ
แหม งั้นหนูก็โชคดีนะคะที่ไม่ได้ฆ่าตัวตาย ยิ่งกว่านั้นยังมาพบหลวงพ่อผู้เปี่ยมด้วยเมตตาอีก
ไม่ต้องยอหลวงพ่อหรอกหนู ไง ๆ หลวงพ่อก็ต้องช่วยหนูอยู่แล้ว แต่ที่สำคัญที่สุด หนูจะต้องช่วยตัวหนูเองด้วย ต้องเพียรพยายามให้มากที่สุด แล้วหนูจะประสบความสำเร็จ อย่าลืมนะหนู พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่า บุคคลล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร หญิงสาวคิดว่าท่านพระครูคงจะช่วยหล่อนด้วยการทำเสน่ห์ให้คนรักกลับมาหา จึงถามวิธีการที่ตนจะต้องปฏิบัติ
แล้วหนูจะต้องทำอะไรบ้างคะหลวงพ่อ แล้วจะต้องเสียค่าใช้จ่ายสักเท่าไหร่
หนูก็ต้องทำตามที่หลวงพ่อแนะนำอย่างเคร่งครัด ส่วนค่าใช้จ่ายไม่ต้องเสียอะไรเลย แถมที่อยู่ที่กินก็ฟรีอีกด้วย อย่าคิดว่าหลวงพ่อจะทำเสน่ห์ให้นะหนู เรื่องเสน่ห์เล่ห์กลหลวงพ่อไม่ถนัด แล้วก็รู้ว่ามันไม่ใช่ทางที่จะแก้ปัญหา พวกที่ไปพึ่งหมอเสน่ห์มักจะถูกหลอกกันเสียมาก บางคนถึงกับเสียเนื้อเสียตัวให้
แล้วพวกหมอเสน่ห์บาปไหมคะ
บาปสิหนู ก็เขาทุกข์มาขอพึ่งแล้วยังจะไปทำให้เขาทุกข์หนักขึ้นไปอีก พวกนี้ตายไปต้องตกนรก
แล้ววิธีการของหลวงพ่อทำอย่างไรคะ
วิธีของหลวงพ่อนั้นต้องใช้ปัญญาแก้ปัญหา คนที่มีปัญญาจะต้องมาเข้ากรรมฐาน ฝึกจิตสงบปัญญาก็เกิด ก็ใช้ปัญญานั้นแก้ปัญหาได้ วิธีนี้ดีที่สุด ไม่เป็นพิษเป็นภัยและไม่ต้องเสียเงินเสียทอง แต่การปฏิบัติก็ไม่ง่ายนัก ผู้ปฏิบัติต้องอดทน ต้องใช้ความเพียรพยายามอย่างยิ่งยวด ต้องตั้งจิตให้แน่วแน่ว่าเราจะทำให้ได้ จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จขึ้นอยู่กับความเพียรพยายามของตัวเรา หลวงพ่อช่วยได้เพียงให้คำแนะนำเท่านั้น ส่วนเรื่องปฏิบัติหนูต้องทำเอง หลวงพ่อจะเปรียบเทียบให้หนูเห็นง่าย ๆ คือ เวลานี้หนูเปรียบเสมือนคนไข้ที่มาให้หลวงพ่อรักษา หลวงพ่อเป็นหมอตรวจดูอาการแล้ว ก็รู้ว่าหนูเป็นโรคอะไร จะต้องให้ยาอะไรไปรับประทานจึงจะหาย เมื่อหมอเขาให้ยาแล้ว หน้าที่ของหนูก็คือต้องกินยาตามที่หมอแนะนำ ถ้าหนูไม่กินยาโรคก็ไม่หาย หมอเขาจะกินยาแทนหนูก็ไม่ได้จริงไหม
จริงค่ะ ถ้าอย่างนั้นหนูขอเข้ากรรมฐานวันนี้เลยนะคะ หญิงสาวพูดอย่างปีติ รู้สึกว่า ความทุกข์ที่สุมแน่นอยู่ในอกนั้นถูกขจัดออกไปตั้งครึ่งตั้งค่อน ไม่นึกไม่ฝันว่าจะมาพบพระใจดีมีเมตตาเช่นหลวงพ่อองค์นี้ คงเป็นบุญของหล่อนและลูกในท้องนั่นเอง
ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวหลวงพ่อจะให้เจ้าขุนทองพาไปอยู่สำนักชี ตอนเย็นให้หัวหน้าแม่ชีเขาพามาขึ้นกรรมฐาน ปกติคนมาเข้ากรรมฐาน หลวงพ่อจะให้รับศีลแปด แต่สำหรับหนูหลวงพ่ออนุญาตให้เป็นกรณีพิเศษ คือให้รับแค่ศีลห้า จะได้ไม่กระทบกระเทือนลูกในท้อง ตอนเย็นหนูก็ไปทานอาหารที่โรงครัวได้
แล้วกี่วันถึงจะได้ผลคะหลวงพ่อ หล่อนถาม ท่านพระครูอยากให้หล่อนสบายใจ จึงตอบไปตามที่ เห็นหนอ รายงาน
อีกสิบห้าวัน หนูจำไว้เลยนะ กลับไปจดไว้ก็ได้ วันนี้วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ใช่ไหม นับต่อไปอีกสิบห้าวันซิถึงวันที่เท่าไหร่ หญิงสาวนับนิ้วมือขยุกขยิกอยู่นาน หากก็ไม่สามารถตอบท่านได้ เพราะไม่รู้ว่าปีนี้เดือนกุมภาพันธ์มีกี่วัน นายขุนทองซึ่งยอมรับว่าเป็นผู้แพ้และนั่งฟังอยู่อย่างสงบเสงี่ยม จึงลุกขึ้นไปเปิดดูปฏิทินที่แขวนอยู่ข้างฝา
วันที่ ๔ มีนาคม ฮะหลวงลุง เขาบอก
วันที่ ๕ ต่างหาก ข้าบอกให้นับต่อไปอีกสิบห้าวัน ก็แปลว่าวันนี้ไม่ต้องนับ ท่านพระครูพูดเรียบ ๆ หากนายขุนทองก็รู้สึกว่าวันนี้เขาพ่ายแพ้ท่านเป็นคำรบสองแล้ว ครั้นจะลุกออกไปล้างชามก็เกรงจะถูกดุให้ต้องขายหน้าอีก เพราะท่านเคยกำชับไว้ว่าหากมีสตรีเพศมานั่งคุยกับท่าน เขาจะต้องนั่งเป็นสักขีพยานจนกว่าผู้นั้นจะลากลับไป
เอาละแม่หนู จำไว้นะว่า วันที่ ๕ มีนาคม คนรักของหนูเขาจะมารับหนูที่นี่ มารับไปแต่งงาน เอาละไปได้ ขุนทองพาแม่หนูไปฝากที่สำนักชี แล้วตอนเย็นให้แม่ชีพามาขึ้นกรรมฐานด้วย ท่านสั่งนายขุนทอง หญิงสาวกราบท่านสามครั้งแล้ว จึงลุกตามนายขุนทองออกไป
พี่ขุนทอง ประเดี๋ยวหนูต้องไปเอาเสื้อผ้าที่โรงครัวก่อน หล่อนบอกเมื่อเห็นนายขุนทองมุ่งหน้าไปทางสำนักชี
เออ แล้วเอ็งจะไปด่าเขาไหม
ด่าใคร คนพูดลืมไปแล้ว
ก็ด่าพวกแม่ครัวไง เมื่อกี้เอ็งบอกจะด่าให้เปิงน่ะ ตอนนี้เปลี่ยนใจหรือยัง นางสาวเตยยังนึกไม่ออกจึงย้อนถามว่า
ทำไมหนูต้องไปด่าเขาด้วยล่ะ ทำไม หล่อนจำไม่ได้จริง ๆ
โธ่เว้ย นายขุนทองชักมีโมโห
ก็ที่เอ็งหาว่าเขาไปบอกหลวงลุงเรื่องเอ็งท้องน่ะ เมื่อกี้เอ็งบอกจะด่าให้เปิงไง ข้าถามว่ายังคิดจะด่าเขาอีกหรือเปล่า เอ็งนี่คงเอาสมองหมาปัญญาควายมาแน่ ๆ เลย เขาว่า
อ้าว ไหงมาด่ากันง่าย ๆ ล่ะพี่ ถึงจะปัญญาน้อยด้วยความรู้ขนาดไหนก็รู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งด่า ด่าซึ่ง ๆ หน้าเสียด้วย
ก็จริงไหมล่ะ คนด่ายังคงเถียง
ฉันจะโง่หรือฉลาดมันก็ไม่เกี่ยวกับใคร เรื่องอะไรมาด่าฉัน ถือดียังไงฮึ นางสาวเตยชักโกรธจึงเปลี่ยนสรรพนามจาก หนู มาเป็น ฉัน
เปล่าหรอกน่า เอ็งอย่าทำโกรธไปเลย ก็ข้าถามเอ็งดี ๆ อยากทำไม่รู้เรื่องนี่นา เห็นหญิงสาวโกรธ นายขุนทองจึงพูดกลบเกลื่อน
อ๋อ หนูเพิ่งนึกได้ แหมหนูมันโง่จริง ๆ นั่นแหละ แล้วยังจะมาโกรธพี่อีก ขอโทษด้วยนะพี่นะ นางสาวเตยขอลุแก่โทษเมื่อนึกขึ้นได้ว่าพูดอะไรเอาไว้
เออ พูดยังงี้ค่อยรู้เรื่องกันหน่อย ตกลงเอ็งหาคำตอบให้ข้าได้หรือยังล่ะ
ได้แล้วจ้ะ หนูกำลังจะบอกพี่เดี๋ยวนี้ไงว่าหนูไม่ด่าพวกเขาแล้ว เพราะพวกเขาไม่ได้เอาเรื่องของหนูไปเล่าให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อท่านรู้เองเพาะท่านเป็นผู้วิเศษ แต่ถึงพวกเขาจะเอาไปบอกท่าน หนูก็จะไม่ด่า เพราะยังต้องฝากปากท้องไว้กับเขาอีกตั้งสิบห้าวัน ไปทำตัวเป็นศัตรูกับเขา มันก็ไม่สมควร จริงไหมล่ะพี่
จริง จริงที่สุดในโลก แหมเอ็งนี่ฉลาดรอบคอบดีจริง ๆ พับผ่าซี คนที่ด่าอยู่หยก ๆ เปลี่ยนมาเป็นชม..
มีต่อ........๔๘