สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๕๓

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

ธันวาคม ๒๕๓๗

S00053

๕๓...

         เสียงยามเคาะแผ่นเหล็กสิบสองครั้งบอกเวลาเที่ยงคืน ท่านพระครูจึงบอกอาจารย์ชิตว่า

         “สองยามแล้ว โยมควรจะพักผ่อนเสียที พรุ่งนี้อาตมาจะให้ขึ้นกรรมฐาน แล้วก็จะปรุงยารักษาโรคให้ เอาละ ประเดี๋ยวอาตมาจะไปเอาเครื่องนอนมาให้ นอนตรงหน้าอาสนะนี่แหละ” ท่านลุกจากที่นั่งแล้วเดินเข้าไปในห้องนายขุนทอง ประเดี๋ยวหนึ่งก็ออกมาพร้อมเครื่องนอนหนึ่งชุด อาจารย์ชิตรับของจากมือท่านแล้วจัดการปู่เสื่อและกางมุ้ง เขากราบท่านสามครั้ง ด้วยซาบซึ้งในพระคุณอย่างหาที่สุดมิได้

         “เอาละ นอนได้แล้ว อาตมาจะให้การบ้านตั้งแต่คืนนี้เลย”

         “การบ้านอะไรครับ” บุรุษวัยหกสิบไม่เข้าใจ

         “ก็ให้โยมเริ่มปฏิบัติกรรมฐานเสียตั้งแต่คืนนี้เลยน่ะซี วิธีปฏิบัติคือให้เอามือวางไว้ที่ท้อง สังเกตอาการ พอง-ยุบ ขณะที่หายใจเข้า-ออก เมื่อท้องพอง โยมก็ว่าในใจว่า “พอง-หนอ” เมื่อยุบก็ว่า “ยุบ-หนอ” ทำอย่างนี้ไปจนกว่าจะหลับ ไม่ต้องไปสนใจความเจ็บปวดที่ตรงคอ ให้เอาสติมาไว้ที่ท้องตลอดเวลา พยายามทำให้ได้ นี่แหละคือการบ้าน อาตมาจะขึ้นไปทำงานต่อล่ะ”

         “หลวงพ่อยังไม่จำวัดหรือครับ”

         “ยังหรอกโยม อาตมาไม่เคยนอนต่ำกว่าตีสอง บางคืนก็ทำงานจนถึงตีสี่ซึ่งเป็นเวลาปฏิบัติกรรมฐานพอดี ก็เลยไม่ต้องนอน เอาละ พักผ่อนเถอะ อาตมาจะขึ้นข้างบนเสียที” ท่านปิดไฟห้องรับแขก แล้วพูดกับ “บุรุษผู้มากับก้อนหิน” ด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ช่วยดูแลแขกของอาตมาด้วยนะ เขากำลังป่วยหนัก”

            “ครับ กระผมจะดูแลอย่างดีที่สุด ขอขอบพระคุณเจ้าอย่าได้เป็นกังวลเลยขอรับ” บุรุษนั้นรับคำ เขานั่งประนมมือ หมอบอยู่ตรงประตูทางขึ้น

         “เอาละ ขอบใจ เป็นยังไงบ้าง ปฏิบัติกรรมฐานไปถึงไหนแล้ว ไม่เห็นมาให้สอบอารมณ์เลย”

         “กระผมเกรงใจพระคุณเจ้าน่ะขอรับ เห็นทำงานจนไม่มีเวลาพักผ่อน การปฏิบัติของกระผมก็ก้าวหน้าดีขอรับ หากบรรลุญาณ ๑๖ เมื่อใด ก็จะต้องขอกราบลา”

         “แล้วจวนหรือยังล่ะ”

         “จวนแล้วขอรับ คิดว่าอีกไม่นานคงได้”

         “แล้วไม่ห่วงคู่รักหรือ ไปแล้วไม่ห่วงคนที่มากับเสานั่นหรือ” ท่านหมายถึงเสาตกน้ำมันที่พิงอยู่ใต้ต้นปีบ หลังกุฏิ

         “เรานัดกันแล้วขอรับ กระผมจะไปรอเธอที่สวรรค์ชั้นดุสิต เธอบอกจะอยู่รับใช้หลวงพ่อไปก่อน เธอช่วยกวาดบริเวณวัดทุกคืนเลยขอรับ”

         “อาตมาทราบแล้ว ฝากขอบใจเขาด้วย ลานวัดสะอาดสะอ้านขึ้นมากตั้งแต่เขามาอยู่ เอาเถอะ พากันสร้างบารมีเข้าไว้ จะได้ไม่ตกลงไปในภพภูมิต่ำ อย่าลืมดูแลแขกของอาตมาด้วย จะขึ้นไปทำงานละ” พูดจบ ท่านจึงขึ้นไปชั้นบน

         อาจารย์ชิตไหว้พระสวดมนต์เสร็จแล้วจึงล้มตัวลงนอน เอามือวางบนท้องสังเกตอาการเคลื่อนไหวของมันดังที่หลวงพ่อท่านสอน นับตั้งแต่ถูกโรคร้ายรุมเร้า เขากลายเป็นคนโกรธง่าย เจ้าโทสะ ฉุนเฉียว จนลูกเมียเข้าหน้าไม่ติด ห้าปีเต็มที่ต้องมีชีวิตอย่างทุกข์ทรมานและสิ้นหวัง ชะรอยคงเป็นบุญเก่าที่นำให้มาพบพระภิกษุผู้เปี่ยมด้วยเมตตาธรรม เช่นท่านพระครู

         เป็นวันแรกที่เขารู้สึกสบายอกสบายใจ และมีความหวังว่าชีวิตจะปลอดภัยจากโรคมะเร็งร้าย ในภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น บุรุษวัยหกสิบรู้สึกว่ามีคนเอาสำลีชุบน้ำอุ่นมาเช็ดแผลที่คอ ซึ่งมีน้ำเหลือไหลเยิ้มอยู่ตลอดเวลา และส่งกลิ่นเหม็นอย่างร้ายกาจ ขาพยายามจะลืมตาขึ้นดูว่าเป็นผู้ใด หากก็รู้สึกว่าเปลือกตาหนักจนลืมไม่ขึ้น จะว่าเป็นพ่อหนุ่มกระเทยคนนั้นก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะแกแสดงท่าทางรังเกียจ ขนาดหนีขึ้นไปนอนข้างบน คงเป็นหลวงพ่อผู้มีจิตเปี่ยมด้วยเมตตานั่นเอง แล้วเขาก็ผล็อยหลับไปอย่างมีความสุข เป็นความสุขที่ชีวิตไม่เคยได้สัมผัสในช่วงห้าปีที่ผ่านมา

         เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงนั่งเขียนหนังสืออยู่จนถึงตีสอง จากนั้นจึงลงมาล้างมือล้างเท้าที่ห้องน้ำใต้บันได เพื่อเตรียมจำวัด ขณะเอนกายลงอย่างมีสตินั้น บัดดลก็ให้รู้สึกปีติซาบซ่านทั่วสรรพางค์จึงใช้ “เห็นหนอ” ตรวจสอบดู พระบัวเฮียวนั่นเองที่เป็นต้นเหตุของความรู้สึกเช่นนี้ ท่านพูดในใจว่า

         “ขอบใจเธอมากบัวเฮียวที่อุตส่าห์แผ่เมตตามาให้ แต่คงจะไม่มีใครช่วยฉันได้หรอก ใครเลยจะฝืนกฎแห่งกรรมไปได้ ฉันรู้ตัวดี วันเสาร์ที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๒๑ เวลา ๑๒.๔๕ น. ฉันจะต้องคอหักตายเพราะอุบัติเหตุรถคว่ำ ต้องตายอย่างแน่นอน ฉันตรวจสอบดูแล้ว”

            ก่อนเข้าสู่ห้วงนิทรารมณ์ ท่านหวนระลึกถึงพุทธวจนะที่ว่า “คนทำบาปเอง ตนก็เศร้าหมองเอง ตนไม่ทำบาป ตนก็บริสุทธิ์เอง ความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์เป็นของเฉพาะตน คนอื่นจะให้คนอื่นบริสุทธิ์แทนไม่ได้”

            เมื่อท่านพระครูกลับจากบิณฑบาต นายสมชายจัดสำรับถวายท่าน แล้วนั่งคอยรับใช้อยู่ห่าง ๆ อาจารย์ชิตยังคงนอนหลับอย่างมีความสุข และท่านเจ้าของกุฏิก็ไม่ต้องการจะรบกวนเขา ด้วยรู้ว่าบุรุษวัยหกสิบมิได้หลับสบายเช่นนี้มาห้าปีแล้ว เมื่อท่านฉันเสร็จ คนที่กำลังหลับอยู่ก็ตื่นพอดี เขารีบออกตัวว่า

         “ผมตื่นสายขนาดนี้เชียวหรือครับ ต้องขอประทานโทษ เพราะหลับสบายดีเหลือเกิน” พูดพลางลุกขึ้นมาเก็บที่นอน รู้สึกกระปรี้กระเปร่าเหมือนไม่ใช่คนที่กำลังป่วยหนัก จากนั้นจึงนำแปรงและยาสีฟันออกมาจากกระเป๋าเสื้อผ้า ท่านพระครูชี้ไปที่ห้องน้ำใต้บันได พลางกล่าวอนุญาตให้เขาเข้าไปใช้ได้

         “หลวงพ่อให้เขาใช้ทำไม ประเดี๋ยวก็เหม็นแย่” นายสมชายติง พอดีกับนายขุนทองทำความสะอาดกุฏิชั้นบนเสร็จ และลงมาข้างล่าง เมื่อรู้ว่าบุรุษนั้นเข้าใช้ห้องน้ำใต้บันได ก็โวยวายลั่น

         “หนูไม่ย้อมไม่ยอม ทำไมหลวงลุงถึงทำแบบนี้”

         “เบา ๆ หน่อยเจ้าขุนทอง ยังไงก็เห็นแก่หน้าข้ามั่ง” ท่านพระครูปราม “มันห้องน้ำของข้า ข้าจะให้ใครใช้ มันก็เรื่องของข้า พวกเอ็งมาเดือดร้อนอะไรด้วย”

         “ดีแล้ว งั้นหลวงลุงทำความสะอาดก็แล้วกัน หนูไม่ทำอีกแล้ว” กระเทยหนุ่มว่า

         “ผมก็คงไม่เหมือนกัน” นายสมชายสมทบ

         “เอาละ ไม่เป็นไร พวกเอ็งไม่ทำ ข้าทำของข้าเองก็ได้ จะได้รู้ว่าคนอย่างพวกเอ็งนั้นเลี้ยงเสียข้าวสุก จิตใจไร้ความเมตตา เขาทุกข์เพราะโรคร้ายก็ทรมานพอแล้ว ยังจะมาทุกข์เพราะกิริยาท่าทางของพวกเอ็งอีก เสียแรงที่อยู่ใกล้ข้า แต่ไม่เอาเยี่ยงอย่างข้าเลยแม้แต่น้อย ลองเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้างซิ ถ้าพวกเอ็งเป็นอย่างเขา จะรู้สึกยังไง” ท่านเจ้าของกุฏิ “เทศน์” เสียยืดยาวจนชายหนุ่มทั้งสองได้คิด เขาก้มลงกราบขอขมา

         “ผมผิดไปแล้วครับ หลวงพ่อกรุณายกโทษให้ผมด้วย” นายสมชายพูดก่อน

         “หนูก็ผิดไปแล้วฮ่ะหลวงลุง หนูกราบขอขมา” นายขุนทองพูดบ้าง

         “พอดีอาจารย์ชิตออกมาจากห้องน้ำ เขาได้ยินการสนทนานั้น หากไม่ถือสา เพราะเข้าใจความรู้สึกของคนทั้งสองดี แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงโกรธหน้าดำหน้าแดงไปเหมือนกัน

         “ผมหลับสนิทเลยครับหลวงพ่อ รู้สึกตัวเหมือนกันตอนที่หลวงพ่อมาเช็ดแผลให้ ผมอยากจะกล่าวขอบคุณ แต่รู้สึกปากมันหนักจนพูดไม่ออก แถมลืมตาก็ไม่ขึ้นด้วยครับ”

         “อ้อ ยังงั้นหรือ มีคนมาพยาบาลตอนหลับหรือ” ท่านพระครูถามยิ้ม ๆ ด้วยรู้ว่า “ใคร” คือบุคคลคนนั้น

         “ไม่ใช่หลวงพ่อหรอกหรือครับ” อาจารย์ชิตถามอย่างฉงน

         “อาตมาไม่ได้ลงมาเอง แต่สั่งคนอื่นมาทำแทน เอาเถอะ ไม่ต้องซักถามอะไร” นายสมชายกับนายขุนทองมองตากัน แล้วหนุ่มกระเทยก็โพล่งขึ้นว่า

         “สงสัยจะเป็นนายก้อนหินมั้ง หลวงลุง”

         “นายก้อนหินไหนครับ” อาจารย์ชิตถาม ท่านพระครูขยิบตาใส่หลานชาย เป็นเชิงห้ามไม่ให้พูด แต่ชายหนุ่มมองไม่เห็น จึงพูดต่อ

         “ก็ที่ครูสองผัวเมียเอามาถวายหลวงลุงนั่นไงที่อยู่....” ยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกนายสมชายสะกิดอย่างแรงจึงต้องหยุด

         “อย่าไปฟังเจ้าขุนทองเลยโยมธาตุมันไม่ค่อยดี เลยชอบพูดเพ้อเจ้ออยู่เรื่อย” หลานชายอ้าปากจะเถียง หากนายสมชายพูดตัดบทขึ้นว่า

         “เราไปกินข้าวที่หอฉันกันเถอะ จะได้ให้อาจารย์กินที่นี่” แล้วเขาก็จัดสำรับที่ท่านพระครูฉันเสร็จแล้วนั้นให้อาจารย์ชิต ตัวเขากับนายขุนทองพร้อมใจกันเดินไปรับประทานที่หอฉันร่วมกับเด็กวัดคนอื่น ๆ

         “ทานอาหารเสียก่อน ประเดี๋ยวจะให้ขึ้นกรรมฐาน ทานได้หรือเปล่า หรือว่าจะทานข้าวต้ม”

         “ไม่ต้องหรอกครับหลวงพ่อ ผมเบื่อข้าวต้นจะแย่อยู่แล้ว วันนี้จะขอทานน้ำพริกผักต้มดู คงไม่มีปัญหาอะไรครับ” แล้วเขาจึงลงมือรับประทาน รู้สึกรสชาติถูกปากจนรับประทานได้หลายคำ ทั้งที่ยังเจ็บคออยู่ รับประทานเสร็จ ก็เตรียมเก็บสำรับจะนำไปล้าง

         “เอาไว้นั่นแหละ ไม่ต้องทำ ประเดี๋ยวสองคนนั่นเขามาจัดการเอง” ท่านหมายถึงคนเป็นศิษย์วัดกับคนเป็นหลาน พอดีนายขุนทองเดินเข้ามา

         “สมขายไปไหนเสียล่ะ” ท่านถาม

         “ไปหาต้นใต้ใบกับต้นไมยราบมาให้หลวงลุงฮะ บอกให้หนูมาเก็บสำรับ” เขายกสำรับออกไปวางบนโต๊ะหลังห้องรับแขก ครอบด้วยฝาชีทำจากตอกไม้ไผ่ แล้วจึงเก็บถ้วยชามที่ใช้แล้วออกไปล้างข้างตุ่มน้ำหลังกุฏิ ค่อยหายใจโลงอกเมื่อห่างบุรุษนั้นออกมา แต่ถึงอย่างไร วันนี้ก็ยังดีกว่าวันวาน อาจเป็นเพราะจมูกเขาเริ่มจะชินกับกลิ่นเน่านั้นก็เป็นได้

         ครู่ใหญ่ นายสมชายก็หอบพืชสมุนไพรสองชนิด เข้ามากุฏิ

         “เอาไปที่โรงครัว สับให้ละเอียดแล้วผึ่งแดด จากนั้นก็นำไปคั่วให้เหลือง แล้วค่อยเอามาที่นี่ อย่าให้ปนกันนะ” ท่านเจ้าของกุฏิสั่งการ ชายหนุ่มจึงหอบสองสิ่งนั้นไปยังโรงครัว เพื่อจัดการตามคำสั่ง

         “ขุนทองช่วยไปตามพระบัวเฮียวมาช่วยนำโยมขึ้นกรรมฐาน แล้วจัดพานดอกไม้ธูปเทียนมาด้วย” ท่านสั่งหลานชายที่เพิ่งเสร็จจากการล้างถ้วยชาม

         “ให้หลวงพี่จัดพานมาด้วยหรือฮะหลวงลุง รู้สึกว่าหลวงพี่จะไม่มีพานนะฮะ” หลานชายท้วง

         “ข้าให้เอ็งต่างหาก”

         “ก็หลวงลุงสั่งไม่ชัดเจนดีแล้วนาหรือว่าโยมว่ายังไง” ท่านหันไปถามอาจารย์ชิต บุรุษวัยหกสิบเพียงแต่ยิ้มหากไม่ออกความเห็น เพราะเกรงนายขุนทองจะโกรธ ทางที่ดีควรนิ่งเข้าไว้

            “เห็นไหมหลวงลุง ที่โยมเขานิ่งก็แปลว่าเขาเห็นด้วยกะหนูใช่ไหมฮะ” เขาถามอย่างจะหาพวก ท่านพระครูจึงพูดตัดบทว่า

         “เอาเถอะ ๆ อย่ามัวมาต่อนัดต่อแนงอยู่เลย รีบไปตามพระบัวเฮียวได้แล้ว หลังจากนั้นให้เอ็งไปเก็บดอกไม้มา พานและธูปเทียนมีอยู่ที่นี่แล้วไง ข้าสั่งขัดเจนหรือยังคราวนี้”

         “ชัดเจ๋งเป้งเลยฮะ” หลานชายใช้ศัพท์ทันสมัย พลางหัวเราะคิก ๆ จากนั้นจึงลุกออกไปตามคำสั่ง

         “ประเดี๋ยวโยมรับศีลแปดก็แล้วกันนะ ไหวหรือเปล่า อาตมาอยากจะให้ฝืนใจหน่อย ถ้าถือศีลแปดจะหายเร็วกว่าศีลห้า เพราะการประพฤติพรหมจรรย์ มันเอื้อต่อการปฏิบัติ”

         “ไหวครับหลวงพ่อ ปกติผมก็ไม่ค่อยได้รับประทานมื้อเย็นอยู่แล้ว จะได้เตรียมตัวไว้ตอนบวชเลย” อาจารย์ชิตรับคำแข็งขัน

         พระบัวเฮียวรู้ว่า อย่างไรเสียก็จะต้องถูกเรียกไปสอบแก้ตัวอีก ดังนั้น หลังจากฉันเช้าเสร็จ ท่านจึงนั่งสมาธิหนึ่งชั่วโมง โดยไม่เดินจงกรม ถอนจิตออกจากสมาธิ แล้วก็แผ่เมตตาให้ตัวเองและอาจารย์ชิต พร้อมทั้งอธิษฐานขอให้ “สอบผ่าน” นายขุนทองมาถึงตอนท่านแผ่เมตตาเสร็จพอดี

         “หลวงพี่ฮะ หลวงลุงให้มาตามไปนำโยมคอเน่าคนนั้นขึ้นกรรมฐานฮะ” หนุ่มวัยยี่สิบเอ็ดรายงาน

         “ขุนทอง อย่าไปเรียกเขาอย่างนั้นเลย เขาได้ยินเข้า มันจะไม่ดี เขาเป็นอาจารย์ไม่ใช่รึ เรียกเขาว่าอาจารย์ดีกว่านะ” พระบัวเฮียวปรามแล้วเสนอแนะ

         “ตกลงฮะ จริงของหลวงพี่ ไอ้หนูมันกระโถนปากแตกเสียด้วย เมื่อเช้าก็ถูกหลวงลุง

เทศน์เพราะเรื่องนี้ เดี๋ยวหลวงพี่ไปเลยนะฮะ หนูจะไปเก็บดอกไม้ก่อน” เข้าไหว้หนึ่งครั้งแล้วเดินจากไป

         พระบัวเฮียวกำหนด “ขวา-ซ้าย” ไปยังกุฏิพระอุปัชฌาย์ ครั้นถึงจึงกราบสามครั้งแล้วนั่งตรงที่ที่เคยนั่ง ชะรอยท่านคงจะปฏิบัติก้าวหน้าขึ้นมาก จึงสามารถทนต่อกลิ่นนั้นได้ดีกว่าวันวาน รู้สึกว่าความเหม็นของมันจะลดลงกว่าครึ่ง

         อาจารย์ชิตกราบผู้มาใหม่สามครั้งโดยไม่ต้องให้ท่านพระครูบอก ครู่หนึ่งนายขุนทองก็ถือดอกไม้เข้ามา เป็นดอกเข็มกับดอกดาวเรือง เขาจัดการนำมาใส่พานพร้อมธูปและเทียน จากนั้นพระบัวเฮียวจึงกล่าวนำอาจารย์ชิต ขอกรรมฐาน และท่านพระครูให้ศีล

         “เอาละ ทีนี่ก็จะลงมือปฏิบัติกันเลย บัวเฮียว เธอกลับที่พักได้แล้ว เป็นอันว่า เธอสอบผ่าน” ท่านเจ้าของกุฏิบอกภิกษุหนุ่ม

         “หลวงพ่อจะสอนโยมเองหรือครับ” พระบัวเฮียวถาม เพราะปกติท่านพระครูจะให้ท่านเป็นผู้สอน

         “ถูกแล้ว รายนี้ต้องสอนเป็นพิเศษ เพราะเขาป่วย มีอะไรที่ต้องแนะนำนอกเหนือไปจากสอนคนปกติ อ้อ แล้วก็ขอขอบใจนะที่แผ่เมตตามาให้เมื่อคืนนี้” ท่านไม่ได้พูดต่อดอกว่า การทำกรรมแทนกันนั้นเป็นเรื่องที่มิอาจทำได้เพราะ “คนอื่นจะให้คนอื่นบริสุทธิ์แทนไม่ได้”

ที่ไม่พูดเพราะไม่ต้องการให้คนเป็นศิษย์เสียกำลังใจ พระบัวเฮียวจึงเดินกลับกุฏิด้วยจิตที่ผ่องแผ้ว ท่านมิได้กำหนด “ขวา-ซ้าย” เหมือนเมื่อตอนขามา หากเปลี่ยนมากำหนด “ดีใจหนอ สอบผ่านแล้วหนอ” แทน

         “เอาละ อาตมาจะสอนให้โยมเดินจงกรมและนั่งสมาธิ แต่ขอเกริ่นไว้ก่อนว่า โยมจะต้องอดทนมาก ๆ ยิ่งปฏิบัติ โยมก็จะยิ่งมีทุกขเวทนาเพิ่มขึ้น คือแผลที่คอมันจะปวดมากกว่าเดิมหลายเท่า โยมก็อย่าท้อถอยตั้งสติสู้กับมัน นึกเสียว่า เราทำกรรมเอาไว้และกำลังชดใช้กรรม ยิ่งปวดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีมากเท่านั้น เพราะถ้าไม่ปวด แสดงว่าจะไม่หาย ขอให้โยมจำอันนี้เอาไว้ให้ดี พอจะทำได้หรือเปล่า”

         “ครับ ผมจะพยายามให้ถึงที่สุด กำลังใจผมดีขึ้นเป็นกอง คิดว่าคงสู้กับมันได้” เขาหมายถึงโรคร้าย

         “นั่นต้องอย่างนั้น อย่าลืมว่าใจนี่สำคัญที่สุดเลยนะ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ถ้ากำลังใจดีก็ถือว่าสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว พระพุทธองค์จึงได้ทรงสอนไว้ “ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐที่สุด สำเร็จแล้วแต่ใจ ถ้าบุคคลมีจิตผ่องใส กล่าวอยู่ก็ตาม ทำอยู่ก็ตาม สุขย่อมไปตามบุคคลนั้น เพราะสุจริตสามอย่างนั้น เหมือนเงา มีปกติไปตามฉะนั้น” เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วง ยกพุทธพจน์มาอ้างเพื่อเป็นกำลังใจแก่คนป่วยหนัก

         บ่ายวันเดียวกันนั้น ที่กุฏิท่านพระครูร้างผู้คน เพราะบรรดาผู้มีทุกข์ทั้งหลาย ไม่อาจทนกับกลิ่นเหม็นจากแผลที่คออาจารย์ชิตได้ ท่านเจ้าของกุฏิตั้งใจจะทดสอบความอดทนของพวกเขา จึงไม่ยอมเปลี่ยนไป “รับแขก” ที่ศาลาการเปรียญ ตามที่มีผู้เสนอแนะมา นายสมชายกับนายขุนทองจึงไม่ต้องทำหน้าที่คอยบริการแขก ทั้งสองช่วยกันทำความสะอาดกุฏิและขัดห้องน้ำ ทั้งยังตกลงกันว่า คืนนี้จะกลับมานอนยังที่ของตน ๆ”

         “ในเมื่อหลวงพ่อท่านทนได้ เราก็ต้องทนได้ จริงไหมขุนทอง “ศิษย์วัดพูดเสียงเบา เพื่อไม่ให้คนเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้ยิน

         “จริงฮะ จริงร้อยเปอร์เซ็นต์เลย แหม หนูชักอยากให้อาจารย์ชิตแกอยู่ที่นี่นาน ๆ แล้วฮะ เราจะได้ไม่ต้องรับแขก แล้วหลวงลุงก็จะได้มีเวลาพักผ่อน” หนุ่มวัยยี่สิบเอ็ดว่า ขณะใช้แปรงขัดพื้นห้องน้ำ

         “พูดยังงั้นมันก็ไม่ดี อย่าลืมว่าญาติโยมที่เขามาหาหลวงพ่อเพราะเขามีทุกข์นะ แล้วหลวงพ่อท่านก็ช่วยแนะนำให้พวกเขาหายทุกข์ ซึ่งจะหายมากหายน้อยก็ขึ้นอยู่กับว่าเขาปฏิบัติตามได้แค่ไหน หรือบางคนไม่นำไปปฏิบัติเลย ก็ต้องทุกข์กันต่อไป เอ็งไปพูดอย่างนั้น ก็เหมือนกับขาดเมตตาธรรม” คนอาวุโสกว่าอธิบาย

         “จริงของพี่ ถ้าพวกเขาไม่มาหลวงลุงก็ไม่ได้สร้างบารมี จริงไหม การช่วยคนให้พ้นจากความทุกข์เป็นการสร้างบารมีอย่างหนึ่ง ใช่ไหม”

         “ถูกแล้ว แหมเดี๋ยวนี้เอ็งชักเก่งขึ้นนะ เก่งขึ้นกว่าแต่ก่อนจนเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นคนละคนเลย” นายสมชายชม

         “คนเรามันก็ต้องมีการพัฒนากันบ้างแหละพี่ จะให้งี่เง่าอยู่ตลอดเวลาได้ไง” นายขุนทองว่า

         “นั่นสิ แต่ข้าว่า เพราะเอ็งได้มาอยู่ใกล้หลวงพ่อด้วยแหละ เพราะข้าเองก็รู้สึกตัวเหมือนกันว่า ถ้าไม่ได้มาอยู่รับใช้ใกล้ชิดหลวงพ่อ ป่านนี้อาจกลายเป็นไอ้โจรห้าร้อยไปแล้ว”

         “ทำไมต้องห้าร้อยด้วยล่ะพี่ สองร้อยสามร้อยไม่ได้หรือ” นายขุนทองเริ่มยวน นายสมชายกำลังอารมณ์ดี จึงตอบว่า

         “ก็คงได้มั้ง แต่ข้าไม่เคยได้ยินใครเขาพูดว่า ไอ้โจรสองร้อย หรือไอ้โจรสามร้อย ได้ยินแต่ไอ้โจรห้าร้อย”

         เสียงร้องครวญครางให้ท่านพระครูช่วยดังมาจากด้านหน้าของกุฏิ

         นายสมชายใช้ให้นายขุนทองออกไปดู ฝ่ายนั้นจึงละมือจากการขัดพื้นห้องน้ำ พอเปิดประตูออกมาก็ร้องกรี๊ด

            “ว้าย ตาเถนหกคะเมนตีลังกา ตายแล้วตายแล้ว นางมณโฑนมโตข้างเดียว”

 

มีต่อ........๕๔