สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๕๘

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

ธันวาคม ๒๕๓๗

S00058

๕๘...

          คนทั้งสามพาท่านพระครูกับนายสมชาย เดินตัดท้องทุ่งอันเป็นทางลัดไปสู่บ้ายของนางเช้า เพราะหากเดินไปตามถนนลูกรัง จะต้องใช้เวลามากกว่าถึงสองเท่า ขณะเดินลัดเลาะไปตามคันนา ท่านพระครูก็แผ่เมตตาให้สิงสาราสัตว์ จำพวกงูเงี้ยวเขี้ยวขอเพื่อให้สัตว์เหล่านั้นอยู่เย็นเป็นสุข ปราศจากการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน และเพื่อให้ฆราวาสสี่คนกับนักบวชอีก ๑ รูปที่กำลังเดินอยู่ภายใต้แสงสลัวของพระจันทร์ครึ่งดวง ได้ปลอดภัยจากสัตว์เหล่านั้นอีกด้วย

          เวลาผ่านไปประมาณสี่สิบนาทีก็ถึงบ้านของนางเช้า เป็นบ้านไม้ชั้นเดียว ใต้ถุนสูง หลังคามุงสังกะสี บนบ้านจุดตะเกียงเจ้าพายุสว่างไสว เสียงผู้หญิงด่าอย่างหยาบคายดังมาจากบนบ้าน นายสมชายได้ยินถึงกับขนลุก ขนาดฟังนางสาวส้มป่อยด่ามาหยก ๆ ก็ยังรู้สึกว่า เสียงด่าที่กำลังได้ยินอยู่ขณะนี้ หยาบคายกว่าหลายเท่า ทั้งไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกนึกขำแต่ประการใด

          นายบ่ายนำท่านพระครูไปนั่งข้าง ๆ ภรรยาผู้ซึ่งนอนหลับหูหลับตาด่าอยู่บนเสื่อจันทบูรผืนใหม่ มีหมอนสีขาวหนุนที่ศีรษะ ลูก ๆ นั่งล้อมวงดู ด้วยไม่อาจจะช่วยอะไรได้ และทุกครั้งที่มารดาเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็จะนั่งเฝ้าดูกระทั่งผีมันออกไปเอง หากคราวนี้มันเข้านานกว่าทุกครั้ง และไม่มีทีท่าว่าจะออกไปง่าย ๆ บิดาจึงชวนเพื่อนบ้าน แล้วพากันไปนิมนต์ท่านพระครูมาช่วยไล่ผี

          “นี่แหละครับหลวงพ่อ ผีเข้าทีไรมันด่าลูกด่าผัวไม่พัก ไม่รู้ผีห่าผีเหวที่ไหนมาเข้า” นายบ่ายบอกท่านพระครูพร้อมด่าผีไปด้วย ได้ยินสามีพูดกับท่านพระครู คนถูกผีเข้าลืมตาขึ้นดูนิดหนึ่ง เป็นเวลาเดียวกับที่ท่านพระครูจ้องดูนางพอดี เสียงด่าหยุดชะงักลงประเดี๋ยวหนึ่ง แล้วคนถูกผีเข้าก็หลับหูหลับตาด่าต่อไปอีก หากคราวนี้เสียงเบาลงกว่าเดิมมาก

          “ผีมันคงจะเกรงใจพระ” นายสมชายคิด เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงให้สงสัยยิ่งนักว่าผีที่มาเข้านางเช้านั้น เป็นผีจริงหรือผีปลอมกันแน่ ท่านต้องใช้ “เห็นหนอ” เข้าตรวจสอบ จึงได้รู้ว่าเป็นผีปลอม

          “เห็นหนอ” รายงานว่า วันไหนเล่นไพ่เสีย วันนั้นจะต้องถูกผีเข้า แล้วก็จะด่าลูกด่าผัวกระทั่งหลับไปเอง แต่ถ้าวันไหนเล่นได้ วันนั้นผีไม่เข้า วันนี้เสียมากกว่าทุกวัน ผีก็เลยเข้าตั้งแต่หัวค่ำ แล้วก็ยังไม่ยอมออก จนนายบ่ายสามีต้องไปนิมนต์ท่านมาไล่ผี

          “ช่วยหน่อยเถอะครับหลวงพ่อ ดูท่าทางมันจะด่ายันรุ่งแน่เลย ผมกับลูกเต้าคงไม่ได้หลับไม่ได้นอนกัน” นายบ่ายพูดท่าทางน่าสงสาร

          “ช่วยแน่โยม อาตมาช่วยแน่ เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวจะไล่ให้ออกแทบไม่ทันเชียว คอยดูฝีมืออาตมาก็แล้วกัน” ท่านพูดข่มขวัญผีปลอม

          “ต้องทำน้ำมนต์หรือเปล่าครับ ผมจะได้ให้ลูกไปหาขันน้ำกับเทียน” นายบ่ายถาม

          “ไม่ต้อง ไม่ต้อง ผีรายนี้มันไม่กลัวน้ำมนต์”

          “แล้วจะใช้อะไรไล่ละครับ” ท่านพระครูนั่งนึกอยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง จึงตอบว่า

          “ใช้ยา เดี๋ยวอาตมาจะปรุงยาให้ผีกิน รับรองว่ากินปุ๊บออกปั๊บเลย”

          “ต้องใช้อะไรบ้างครับ”

          “ใช้พริกขี้หนูกับเกลือ มีหรือเปล่า”

          “แห้งหรือสดครับหลวงพ่อ”

          “เอาสด ๆ ดีกว่า มีไหมพริกขี้หนูน่ะ”

          “มีครับ ที่ต้นมีเยอะ เดี๋ยวผมจะเอาไฟฉายลงไปเก็บมาให้” นายเย็นบุตรชายคนโตของนางเช้าตอบ

          “ดี ๆ เอาที่แก่ ๆ นะ ยิ่งได้สีแดงยิ่งดี ผีมันจะได้กลัว เอามาสักกำมือนึงแล้วตำกับเกลือ มาให้หลวงพ่อ”

          “ครับ” ชายหนุ่มรับคำแล้วเดินไปหยิบไฟฉายในห้อง ด้วยการลงไปเก็บพริกมาหนึ่งกำมือ แล้วนำไปโขลกกับเกลือที่ในครัว เสร็จแล้วจึงตักใส่ถ้วยนำมาให้ท่านพระครู

          “ขอช้อนด้วย” คราวนี้ลูกสาวคนรองเป็นคนไปหยิบมาให้ ได้อุปกรณ์ครบถ้วนแล้ว เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงจึงสั่งว่า

          “เอาละ ช่วยกันจับผีไว้แล้วป้อนยาเข้าไปทางปาก กรอกลงไปให้หมดถ้วยเลย” นายบ่ายและลูก ๆ ทำตามที่ท่านสั่ง แต่กว่าจะง้างปากผีให้อ้าได้ก็ต้องออกแรงกันพอสมควร เพราะผีดิ้นรนขัดขืน ไม่ยอมให้กรอกยา เมื่อยาเข้าปาก ผีหลอมก็พ่นออกมาเพราะความแสบร้อน นายบ่ายและลูก ๆ ต่างพากันหลบเป็นพัลวัน

          “โอย...เผ็ด เผ็ดฉิบหายเลย” เสียงผีปลอมโอดครวญ

          “ขอน้ำหน่อย..น้ำ หลวงพ่อไม่น่าทำฉันเลย” นางเช้าตัดพ้อ

          “ฉันน่ะใคร ผีหรือคน” ท่านพระครูย้อนถาม

          “คนจ้ะ อีเช้าไงล่ะ หลวงพ่อไม่น่าทำกับอีเช้าอย่างนี้เลย” นางลืมตาลุกขึ้นนั่ง สั่งลูกชายคนโตว่า

          “ไอ้เย็น ขอน้ำให้ข้าหน่อย เผ็ดจะตายอยู่แล้ว” นายเย็นกำลังจะลุกออกไปหาน้ำ แต่ท่านพระครูห้ามไว้ ท่านบอกเขาว่า

          “อย่าเพิ่ง ถ้าได้น้ำตอนนี้ ผีจะไม่ยอมออก เดี๋ยว ต้องให้หลวงพ่อเจรจากับผีก่อน” ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะท่านต้องการจะ “ดัดสันดานผี” นางเช้าเห็นดังนั้น จึงต่อว่าท่านพระครูเป็นการใหญ่

          “ฉันไปทำอะไรให้หลวงพ่อหรือ หลวงพ่อถึงทำกับฉันแบบนี้”

          “อาตมาไม่ได้ทำโยม อาตมาทำผีต่างหาก ก็ผีมันเข้าโยม อาตมาก็จะช่วยไล่มันออกไป เห็นไหมพอให้กินยามันรีบออกเลย ทีหน้าทีหลังถ้ามันมาเข้าอีก ก็เอายานี่กรอกปากมันนะหนูนะ” ท่านหันไปบอกลูก ๆ ของนางเช้า

          “โอ๊ย พอแล้วจ๊ะ พอแล้ว มันไม่เข้าอีกแล้ว ฉันรับรอง” นางเช้าบอกเสียงลั่น

          “แน่นา” ท่านพระครูย้ำ

          “แน่จ้ะ” คนถูกผีปลอมเข้ารับคำหนักแน่น นางนึกในใจว่า ต่อแต่นี้ไปถึงจะเสียไพ่มากแค่ไหน ก็จะไม่ยอมทำเป็นผีเข้าอย่างเด็ดขาด เข็ดแล้ว เข็ดเป็นตอนแมวเชียวละ

          “ขอน้ำฉันกินหน่อยเถอะจ้ะหลวงพ่อ” นางอ้อนวอน เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วง จึงสั่งให้นายเย็นไปนำน้ำมาให้มารดาดื่ม เพื่อนบ้านสองคนที่นั่งดูท่านพระครูไล่ผี เมื่อเห็นว่าผีออกเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงกล่าวลา

          “หลวงพ่อครับ ผมเห็นจะต้องกราบลา ดึกมากแล้ว ชักง่วง” หนึ่งในสองพูดขึ้น คนทั้งสองกราบท่านพระครูสามครั้งแล้วพากันลุกออกมา

          “ขอบใจมากนะที่ไปเป็นเพื่อน” นายบ่ายขอบใจเพื่อนบ้าน แล้วเหมือนจะนึกอะไรได้ จึงบอกบุรุษทั้งสองว่า

          “แล้วใครจะไปเป็นเพื่อนข้า ส่งหลวงพ่อกลับวัดล่ะ”

          “ไม่ต้องไปส่ง อาตมากลับเองได้ โยมสองคนไปเถอะ อาตมาจะอยู่อีกสักพักแล้วค่อยกลับ” เมื่อท่านพูดเช่นนี้ เพื่อนบ้านสองคนจึงลงเรือนไป อาคันตุกะไปแล้ว เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วง จึงพูดกับลูก ๆ ของนางเช้าว่า

          “เอาละ พวกหนู ๆ พากันไปนอนได้แล้ว หลวงพ่อจะดูแลแม่เขาให้ ปลอดภัยแล้ว ผีออกไปแล้ว” ลูกชายหญิงทั้งห้าคน จึงลุกออกมาแล้วต่างแยกย้ายกันไปนอน ท่านพระครูพูดกับนางเช้าว่า

          “เอาละ ทีนี้อาตมาจะเทศน์โยมละ เห็นไหมนี่ยังไว้หน้าโยมนะ ถึงได้รอให้เพื่อนบ้านและลูก ๆ ของโยมลุกออกไปเสียก่อน แต่โยมบ่ายต้องอยู่ฟัง จะได้ช่วยอบรมสั่งสอนและฝึกนิสัยให้โยมเสียใหม่” คนถูกผีปลอมเข้านั่งฟังตาปริบ ๆ สูดลมเข้าปากซี๊ด ๆ เพราะยังเผ็ดไม่หาย

            “นี่โยมบ่าย รู้ไหมว่าผีอะไรมันมาเข้าโยมเช้า” ท่านถามสามีคนถูกผีเข้า

          “ผีอะไรครับหลวงพ่อ”

          “ผีการพนัน โยมเช้าถูกผีการพนันเข้าสิง หนีไปเล่นไพ่ทุกวัน วันไหนเล่นได้ ผีไม่อาละวาด วันนี้เล่นเสียไปแยะ เลยอาละวาดนานกว่าทุกวัน โยมรู้ไว้ด้วย”

          “อ้อ ยังงี้นี่เอง ผมถึงว่าทำไมเงินทองมันถึงไม่คอยพอใช้ เพราะมันเอาไปเสียไพ่นี่เอง” นายบ่ายโมโหโกรธา มองหน้าคนเป็นเมียอย่างจะกินเลือดเนื้อ

          “หลวงพ่อ เรื่องอะไรมายุให้ผัวเมียเขาทะเลาะกัน เป็นพระทำไมทำยังงี้” นางเช้าต่อว่าพลางสูดปากซี๊ด ๆ

          “อาตมาไม่ได้ยุ โยมอย่าเข้าใจผิด นี่อาตมาจะช่วยโยมนะ ช่วยไม่ให้โยมต้องตกนรกไงล่ะ” ท่านพระครูชี้แจง

          “โธ่ หลวงพ่อ นรกยังอยู่อีกไกล แล้วจะมีจริงหรือเปล่าก็ยังไม่รู้แน่ แต่ที่ใกล้ตัวนี่ซี ฉันยังวิตก รับรองพอหลวงพ่อลงเรือนไป ไอ้บ่ายมันเตะฉันแน่” นางคาดการณ์เมื่อเห็นสายตาท่าทางของสามี

          “หลวงพ่อครับ ผมบอกตามตรงว่า ผมเกลียดขี้หน้ามันเหลือเกิน อีนี่มันหาความดีไม่ได้เลย” คนเป็นสามีพูดอย่างแค้นใจ

          “ไม่ดีแล้วมึงเอากูมาเป็นเมียทำไม แถมยังมีลูกหัวปีท้ายปี นี่ถ้ากูไม่ทำหมันป่านนี้มิเป็นโหลแล้วรึ” นางเช้าคุยอวด “เสน่ห์” ของตัว

          “เอาละ ๆ อย่ามาทะเลาะเบาะแว้งกันต่อหน้าพระสงฆ์องค์เจ้า บาปกรรมรู้หรือเปล่า” เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงปราม

          “เดี๋ยวเถอะมึง หลวงพ่อลงเรือนเมื่อไหร่ มึงถูกกูเตะแน่ คอยดูก็แล้วกัน” นายบ่ายผูกอาฆาต

          “ขอที ๆ อาตมาขอบิณฑบาตเถอะ การทำร้ายร่างกายกันไม่ใช่สิ่งดี คนเราไม่ใช่เดรัจฉาน พูดจากันได้ สัตว์มันพูดไม่ได้ ถึงต้องใช้กำลังเข้าปะทะกัน โยมอยากเป็นยังงั้นหรือ”

          “ไม่อยากครับ” คนตอบก้มหน้าดูพื้น

          “มันซ้อมฉันประจำเลยแหละหลวงพ่อ สงสัยจะเป็นสัตว์เดรัจฉานมากเกิด” นางเช้าถือโอกาสฟ้องและด่าสามีไปด้วย

          “ก็โยมมันร้ายกาจนักนี่ ปากคอยังกะตะไกรโรงพยาบาล นี่อาตมาไม่ได้เข้าข้างโยมบ่ายนะ” ท่านพระครูพูดอย่างเหลืออด

          “ถึงว่าซีครับหลวงพ่อ ผมถึงได้เบื่อมันนัก อยากจะทิ้งไปหาเมียใหม่ ก็สงสารลูก ๆ”

          “เอาละ ๆ เลิกพูดเลิกทะเลาะกันเสียที ต่อไปนี้ก็ทำตัวเสียใหม่นะโยมเช้า ส่วนโยมบ่ายก็ห้ามทำร้ายกันแบบนั้น ค่อย ๆ พูด ค่อย ๆ จากัน เดี๋ยวอาตมาจะช่วยอบรมให้” แล้วท่านจึงพูดกับนางเช้าว่า

          “โยมต้องปรับปรุงตัวเสียใหม่นะ ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีของลูก ๆ อีกหน่อยก็จะเป็นย่าเคนยายคนแล้ว อย่าให้ลูกหลานมาถอนหงอกเอาได้ ประการแรกโยมต้องเลิกเล่นไพ่อย่างเด็ดขาด อาตมารู้ว่ามันทำยาก เพราะคนที่ถูกผีการพนันเข้าสิงนั้น มักจะเลิกไม่ได้”

          “นั่นซีจ๊ะหลวงพ่อ บอกตามตรงว่า ฉันคงอกแตกตายแน่ ๆ หากไม่ได้เล่น บางวันฉันก็คิดจะเลิก แต่มันก็เลิกไม่ได้ ขาไพ่เขามาตาม”

          “ทีนี้ถ้าเขามาตาม ก็บอกให้ไปหาอาตมาที่วัดนะ ไปตั้งวงกันที่วัดโน่น บอกเขาอย่างนี้นะ แล้วโยมก็ควรจะไปอยู่วัดสักระยะนึง ไปอบรมจิตใจให้กิเลสตัณหามันเบาบางลงเสียบ้าง”

          “ทิดบ่ายเขาจะยอมให้ฉันไปหรือเปล่าก็ไม่รู้” คราวนี้นางเปลี่ยนจาก “ไอ้” มาเป็น “ทิด”

          “โอ๊ย เชิญเลย เชิญไปวันนี้พรุ่งนี้เลย ถ้าไปแล้วจะทำให้แกดีขึ้น จะไปอยู่นาน ๆ ก็ได้ ข้าไม่ว่าหรอก ช่วยดัดสันดานให้มันหน่อยนะครับหลวงพ่อ” คนเป็นสามีถือโอกาสฝากฝัง

            “ตกลง งั้นพรุ่งนี้โยมเตรียมข้าวของไปอยู่วัดได้” แล้วหันไปพูดกับนายบ่ายว่า “แน่ใจนะว่าจะไม่ไปตามกลับมา ประเดี๋ยวไม่ทันถึงสามวัน ก็จะไปบอก “แม่อีหนูกลับบ้านเถอะ ลูก ๆ มันคิดถึง” ที่แท้ตัวเองนั่นแหละคิดถึงแต่เอาลูกบังหน้า อาตมาเห็นมาหลายรายแล้ว”

            “คงไม่หรอกครับหลวงพ่อ ผมกับลูก ๆ คงจะสบายขึ้น เพราะอย่างน้อย ๆ ก็ไม่ต้องถูกมันด่าตอนผีการพนันเข้า”

          “ต่อไปนี้ผีไม่เข้าแล้ว ข้ารับรองได้” นางเช้ารีบบอกสามี ด้วยยังแสบปาก แสบคอไม่หาย

          “ดีแล้ว โยมต้องเลิกให้ได้นะ เพราะการพนันมันเป็นอบายมุข”

          “อบายมุขคืออะไรจ๊ะ หลวงพ่อ”

          “คือเหตุแห่งความเสื่อม หรือเหตุแห่งความฉิบหาย มี ๖ ประการ คือ เสพสุราและของมึนเมา ๑ เที่ยวกลางคืน ๑ เที่ยวดูการละเล่น ๑ เล่นการพนัน ๑ คบคนชั่วเป็นมิตร ๑ และเกียจคร้านการงาน ๑ ทั้งหกประการนี้ หากใครประพฤติปฏิบัติ บุคคลนั้นจะไม่ประสบกับความเจริญรุ่งเรือง ในกรณีของโยมก็เช่นกัน ขืนไม่เลิกเล่นไพ่ รับรองวันหนึ่งต้องหมดเนื้อหมดตัว คนโบราณเขาสอนไว้ว่า โจรปล้นสิบครั้งก็ยังดีกว่าไฟไหม้ เพราะบ้านและที่ดินยังเหลือ ไฟไหม้สิบครั้งก็ยังดีกว่าเล่นการพนัน เพราะบ้านไหม้ที่ดินยังอยู่ แต่การพนันนั้นหมดทั้งบ้านทั้งที่ โยมเคยเห็นไหมที่เศรษฐีต้องกลายเป็นยาจก เพราะถูกผีการพนันเข้าสิง โยมอยากเป็นอย่างนั้นใช่ไหม”

          “แต่ฉันไม่ใช่เศรษฐีนี่นา” นางเช้าเถียงไปข้าง ๆ คู ๆ

          “ฟังมันเถอะหลวงพ่อ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ผมอยากเตะมันได้ยังไง” นายบ่ายพูดอย่างหมั่นไส้เมียเต็มแก่

          “จริง ๆ นะ โยมเช้า โยมนี่กวนโทสะเขาจริง ๆ นั่นแหละ อาตมาเองก็ชักเบื่อที่จะพูดกับโยมแล้ว ก็ในเมื่อเศรษฐียังหมดเนื้อหมดตัว แล้วคนไม่ใช่เศรษฐี จะไม่แย่ยิ่งกว่าหรือ ยังจะมีหน้ามาเถียงอีก”

          “เอาเถอะจ้ะ ฉันยอมแพ้ ตกลงเป็นอันว่า ฉันจะเลิกเล่นไพ่อย่างเด็ดขาด แต่เรื่องไปอยู่วัด ขอคิดดูก่อน อ้อ แล้วที่หลวงพ่อบอกจะช่วยได้จริง ๆ หรือ แล้วนรกที่ว่า มันมีอยู่จริง ๆ ใช่ไหม” นางเช้าถามอย่างสนใจ

          “อาตมาช่วยได้ก็แค่บอกทางให้ว่าทางนี้ไปนรก ทางนี้ไปสวรรค์ เมื่อรู้แล้วโยมจะยังเลือกไปนรก อาตมาก็ช่วยอะไรโยมไม่ได้ โยมต้องช่วยตัวเอง ทำกรรมแทนกันไม่ได้”

          “แล้วนรกมันมีจริง ๆ อย่างที่คนเขาเชื่อกันหรือจ๊ะ” นางถามอีก

          “ถามอย่างนี้ แปลว่าโยมไม่เชื่อใช่ไหม”

          “ก็เชื่อเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยมั่นใจนัก”

          “ถ้าโยมอยากมั่นใจ ก็ต้องปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ถ้าตั้งใจปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง เมื่อบรรลุญาณที่ ๑๓ เมื่อไหร่ เมื่อนั้นโยมก็จะไม่สงสัยเรื่องนรกสวรรค์อีกต่อไป ถ้าอยากรู้ก็ต้องลงมือพิสูจน์ด้วยตนเอง”

          “ญาณ ๑๓ คืออะไรจ๊ะ”

          “คือ โคตรภูญาณ ใครปฏิบัติได้ถึงญาณนี้ ก็จะเลิกสงสัยเรื่องการมีอยู่ของนรกสวรรค์ ถ้าบรรลุถึงญาณ ๑๖ ก็จะได้เป็นพระอริยบุคคลระดับต้นที่เรียกว่า พระโสดาบัน เอาเถอะ พูดไปโยมก็ไม่เข้าใจหรอก ของอย่างนี้ไม่อาจเข้าใจด้วยคำพูด ต้องลงมือปฏิบัติ ถึงจะเข้าใจ ถ้าโยมอยากพิสูจน์เรื่องนรกสวรรค์ ก็ต้องปฏิบัติให้ได้ถึงญาณ ๑๓”

          “ไม่มีวิธีอื่นเลยหรือหลวงพ่อ คือรู้โดยวิธีอื่นน่ะจ้ะ”

          “มี วิธีที่ว่านี้คือ ให้ลองตายดู ถ้าอยากรู้ก็ลองตายเดี๋ยวนี้เลยก็ได้ รับรองได้เห็นนรกแน่”

          “โอ๊ย ไม่เอาหรอกหลวงพ่อ ฉันไม่กล้าลอง กลัวมันจะตายจริง ๆ “ นางรีบปฏิเสธ

          “ในเมื่อไม่กล้าลอง แล้วจะรู้ได้ยังไง อยากรู้มันก็ต้องลอง จริงไหมโยม” ท่านถามนายบ่าย

          “จริงครับ แต่สำหรับผม ผมเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์เลยครับหลวงพ่อ เชื่อโดยไม่ต้องลอง”

          “ทำไมโยมถึงเชื่อล่ะ”

          “เพราะผมเชื่อพระพุทธเจ้าน่ะครับ ที่เชื่อเพราะมั่นใจว่าท่านไม่ได้หลอกลวง ท่านจะมาหลอกลวงเราเพื่อประโยชน์อะไร จริงไหมครับ หลวงพ่อ”

          “แหม พูดเข้าที นี่แหละเขาถึงเรียกว่าคนฉลาด หรือโยมเช้าว่ายังไง”

          “งั้นก็แปลว่า ฉันโง่ใช่ไหม หลวงพ่อว่าฉันโง่ใช่ไหม” ถามอย่างไม่พอใจ

          “อันนี้โยมคิดเอาเอง เอาละ จะตีสองแล้ว อาตมาเห็นจะต้องกลับเสียที” ท่าน “รู้” โดยไม่ต้องดูนาฬิกา นายสมชายนั่งสัปหงกอยู่ใกล้ ๆ ได้ยินว่าท่านจะกลับก็ตาสว่าง

          “อย่าลืมนะโยมเช้า เลิกเล่นไพ่ แล้วโยมบ่ายเลิกทุบตีเมีย” ท่านกำชับกำชาสองผัวเมีย

          “แต่ถ้ามันยังขืนเล่นอีกล่ะครับ หลวงพ่อจะให้ผมทำยังไง”

          “ก็ปรุงยาให้กินซี พริกขี้หนูโขลกกับเกลือ จะยากอะไร” ท่านพระครูบอกเคล็ดลับในการปราบผีการพนัน นางเช้ารีบยืนยันด้วยเสียงหนักแน่นว่า

          “เลิกจ้ะหลวงพ่อ ฉันเลิกเด็ดขาด ทิดบ่ายอย่าให้ฉันกินยานั่นอีกเลย ฉันเข็ดแล้วจ้ะ”

          ขากลับ เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงช้าเวลาเพียงยี่สิบนาทีก็ถึงวัด กระนั้นก็เป็นเวลาตีสองพอดี นายสมชายง่วงเสียใจไม่อยากจะวิเคราะห์หาเหตุผลว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เขาจัดการปิดประตูกุฏิ แล้วล้างมือล้างเท้าขึ้นนอน พอหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย...

         

มีต่อ........๕๙