สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๕๙

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

ธันวาคม ๒๕๓๗

S00059

๕๙...

            ผลการไล่ผีเมื่อคืนเป็นอย่างไรบ้างครับหลวงพ่อ” อาจารย์ชิตถามหลังจากสอบอารมณ์เสร็จแล้ว ท่านเจ้าของกุฏิจึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เขาฟังอย่างละเอียด แล้วสรุปว่า

            “โชคดีที่อาตมาได้วิชาพิสูจน์ผีมา ถึงได้รู้เดี๋ยวนั้น สมัยที่ผีตาเหล็งฮ้วยมาเข้ายายเภา ต้องพิสูจน์อยู่หลายวันเพราะตอนนั้นยังไม่ได้วิชา” ท่านหมายถึงวิชา “เห็นหนอ”

            “จะเป็นการรบกวนมากไปหรือเปล่าครับ หากผมจะนิมนต์ให้หลวงพ่อเล่าเรื่องตาเหล็งฮ้วย เพราะหลวงพ่อเคยเกริ่น ๆ ไว้แล้ว ตอนเล่าเรื่องยายสะอิ้ง” บุรุษวัยหกสิบถามอย่างเกรงใจ

            “โยมอยากฟังหรือ”

            “ครับ ผมอยากฟัง ฟังหลวงพ่อเล่าแล้ว รู้สึกเพลินจนลืมปวดแผลน่ะครับ” เขาว่า

            “อ้อ ลืมปวดก็ได้ด้วย งั้นก็น่าจะลืมบ่อย ๆ นะ” ท่านสัพยอก

            “ครับ ถ้าหลวงพ่อเล่าบ่อย ๆ ผมก็คงลืมบ่อย ๆ ได้” อดีตอาจารย์สนองด้วยได้โอกาส

            “เอาละ ถ้าอย่างนั้นก็จะเล่าให้ฟังเสียเลย เรื่องนี้เกิดก่อนเรื่องยายสะอิ้งปีนึง ตอนนั้นอาตมาอยู่วัดพรหมนคร ยังไม่ได้มาอยู่ที่วัดนี้”

            “หลวงพ่อมาอยู่วัดนี้ ปีอะไรครับ”

            “ปี ๒๕๐๐ ก่อนหน้านั้นอยู่ที่วัดพรหมนคร เรื่องของตาเหล็งฮ้วยเกิดเมื่อปี ๒๔๙๙ อาตมาจำได้ว่า วันนั้นเป็นวันโกน รุ่งขึ้นจะเป็นวันสารทไทย อาตมาก็ออกบิณฑบาตตามปกติ อาตมาออกบิณฑบาตเวลาหกโมงเช้าทุกวัน ในวันเกิดเหตุพอออกประตูวัดมา ก็เห็นคนแขวนโตงเตงอยู่บนต้นแมงเม่า โยมรู้จักต้นแมงเม่าไหม ผลมันเล็ก ๆ เท่าไข่แมงดา กินอร่อย อมเปรี้ยวอมหวาน สมัยเด็ก ๆ อาตมาชอบกิน” ท่านถามคนฟัง

            “ไม่รู้จักครับ” บุรุษวัยหกสิบตอบ

            “เอาละ ไม่รู้ก็ไม่เป็นไร ทางเชียงใหม่คงไม่มีต้นไม้ชนิดนี้ ถึงภาคกลางก็หายากแล้ว เพราะคนขยันตัดไม้ทำลายป่ากันเหลือเกิน ไม้หลายชนิดต้องสูญพันธุ์ไปเพราะความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ อีกหน่อยเถอะ แผ่นดินจะกลายเป็นทะเลทราย ถ้าไม่ลดละความเห็นแก่ตัวลง รับรองได้เห็นทะเลทรายแน่” ท่านพระครูทำนายทายทัก

            “เรื่องอย่างนี้พูดยากครับหลวงพ่อ เพราะผู้ที่เกี่ยวข้อง เป็นคนใหญ่คนโตทั้งนั้น เจ้าหน้าที่ก็เลยทำงานได้ไม่เต็มความสามารถ เพราะมักจะไปขัดผลประโยชน์ของผู้มีอิทธิพล ก็เลยต้องทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เพื่อความปลอดภัยของตัวเองและลูกเมีย คนทุกวันนี้ไม่ค่อยจะกลัวบาปกลัวกรรม ไม่มีหิริโอตัปปะกันเลย” บุรุษสูงวัยพูดพลางทอดถอนใจ

            “มันเป็นกรรมของเขาแหละโยม คนพวกนี้ถ้าจะเปรียบก็เหมือนคนที่เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ต่อเมื่อกฎแห่งกรรมทำหน้าที่เมื่อไหร่ เมื่อนั้นเขาก็จะรู้ว่ากงจักรก็คือกงจักร คนทำชั่วก็ต้องได้ชั่ววันยังค่ำ โยมคอยดูไปก็แล้วกัน เอาละ ทีนี้มาเล่าเรื่องตาเหล็งฮ้วยต่อ พออาตมาเห็นคนห้อยโตงเตงอยู่บนต้นแมงเม่า ก็เข้าไปดูใกล้ ๆ โอ้โฮ น่ากลัวเชียว ตาถลนโปนออกมา ลิ้นห้อยยาวตั้งคืบ”

            “แล้วหลวงพ่อกลัวหรือเปล่าครับ” เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงตอบตามตรงว่า “กลัวซิ ทำไมจะไม่กลัว เพราะตอนนั้นยังไม่ได้วิชา แต่ต่อมาหลังจากได้วิชาพิสูจน์ผีแล้ว อาตมาก็เลิกกลัวผี เพราะไม่มีอะไรน่ากลัว คนบางคนยังน่ากลัวเสียยิ่งกว่าผี จริงไหม”

            “จริงครับ แล้วหลวงพ่อทำอย่างไรครับ วิ่งหนีหรือเปล่า”

            “ก็อยากวิ่งเหมือนกัน แต่เกรงใจผ้าเหลือง เป็นพระวิ่งไม่ได้นะโยม มันผิดวินัย อาตมาจึงไม่วิ่ง ได้แต่เดินเร็ว ๆ ไปบอกคนในตลาดให้มาช่วยกันเอาศพลง โยมจำไว้นะ วิธีเอาศพคนที่ผูกคอตายลงนั้น อย่าไปแก้เชือก ห้ามแก้เชือกเด็ดขาด แต่ให้ใช้มีดโต้ฟันจนเชือกขาดแล้วศพหล่นลงมาเอง อาตมาก็แนะวิธีให้เขา พอศพหล่นลงมา จึงได้รู้ว่าเป็นตา  เหล็งฮ้วย เลยไปตามเจ๊เซียมไน้ หลานสาวแกที่ขายของอยู่ในตลาดปากบางมาดู เจ๊แกก็เอาศพไปฝังตามประเพณี”

            “ทำไมแกถึงผูกคอตายครับ” อาจารย์ชิตถาม

         “ตอนนั้นยังไม่มีใครทราบสาเหตุ แต่ตอนที่แกมาเข้ายายเภา อาตมาถามถึงได้รู้ แกบอกอาตมาว่า แกน้อยใจที่หลานสาวคือเจ๊เซียมไน้ไม่ให้เงินซื้อฝิ่นสูบ เลยผูกคอตาย ซึ่งก็ตรงกับที่เจ๊เซียมไน้เล่าว่า ตาเหล็งฮ้วยเป็นพี่ชายของเตี่ยแก หนีมาจากเมืองจีนเมื่อสี่สิบปีก่อน มาอยู่กับน้องชายคือเตี่ยของแก พอเตี่ยแกตายก็เลยอยู่กับแก

         ตั้งแต่มาอยู่เมืองไทย ตาเหล็งฮ้วยไม่คบหาสมาคมกับใคร แล้วก็พูดไทยไม่ได้ ตอนหลังเจ๊แกจับได้ว่าลุงติดฝิ่นและขโมยเงินแกไปซื้อฝิ่นสูบทุกวัน ก็เลยเก็บเงินไว้อย่างมิดชิด ไม่ให้ลุงขโมยได้ ตาเหล็งฮ้วยเมื่อขโมยไม่ได้ก็เปลี่ยนมาขอแทน เจ๊แกก็ไม่ให้ พออดฝิ่นมาก ๆ ตาแป๊ะคงจะกลุ้มใจ ก็เลยผูกคอตาย”

         “แสดงว่า แกเจตนาฆ่าตัวตายใช่ไหมครับ แบบนี้ก็ต้องตกนรกซีครับ” คนฟังออกความเห็น

         “ถูกแล้วโยม ตาเหล็งฮ้วยไปตกนรก ที่อาตมาทราบเพราะแกเป็นคนบอกตอนที่มาเข้ายายเภา รายนี้ผีจริงมาเข้า จะเรียกว่าผีนรกก็ได้ เพราะเขาหนีมาจากเมืองนรก”

         “หนีมาอย่างไรครับ แกบอกหรือเปล่า”

         “บอกละเอียดเลยแหละโยม พอแกตายครบปีก็มาเข้ายายเภา วันนั้นตรงกับวันโกน รุ่งขึ้นจะเป็นวันสารทซึ่งตรงกับวันที่แกผูกคอตายครบปีพอดี ประมาณตีหนึ่ง คนเขามาตามอาตมาไปช่วยไล่ผี บอกว่ายายเภาถูกผีเข้า อาตมาก็ไปกับเขา พอถึงบ้านก็เห็นยายเภานอนหลับตาส่งภาษาจีนล้งเล้งเลย เป็นเสียงผู้ชายแก่ ๆ ไม่ใช่เสียงยายเภา อาตมาฟังไม่รู้เรื่อง คนอื่น ๆ ก็ไม่รู้ เลยไปตามอาเฮียคนหนึ่งมาจากตลาด ให้มาช่วยเป็นล่าม อาตมาก็สัมภาษณ์ตาเหล็งฮ้วย โดยผ่านล่าม

         อาตมาถามว่าแกเป็นใคร มาจากไหน แกก็ตอบผ่านล่ามว่า แกชื่อตาแป๊ะเหล็งฮ้วย ที่ผูกคอตายใต้ต้นแมงเม่าเมื่อปีกลาย อาตมาถามถึงสาเหตุที่ผูกคอตาย แกก็ว่า น้อยใจหลานสาวที่ไม่ให้เงินไปซื้อฝิ่นสูบ ตอนนี้แกอยู่ในนรก อยู่กับฮ่วยเสี่ยเถ้าชื่อมด โยมรู้ไหมว่า นรกอยู่ที่ไหน” ท่านถามคนฟัง

         “ไม่ทราบครับ คนเฒ่าคนแก่เขาเคยบอกว่า นรกอยู่ใต้ดินใช่ไหมครับ”

         “นั่นสิ อาตมาก็เคยเชื่ออย่างนั้นเหมือนกัน ถึงกับลงทุนขุดดู แต่ไม่ยักเจอนรก เจอแต่ไส้เดือน กิ้งกือ” คนฟังหัวเราะแล้วถามว่า

         “แล้วหลวงพ่อถามตาแป๊ะหรือเปล่าครับ ว่านรกอยู่ตรงไหน”

         “ถามสิ แกตอบว่ายังไงรู้ไหม”

         “ไม่ทราบครับ”

         “แกตอบว่า ก็อยู่ตรงที่ที่แกผูกคอตายนั่นแหละ แกยังเห็นอาตมาเดินไปบิณฑบาตทุกวัน แกว่า แกทักอาตมา แต่อาตมาไม่พูดกับแก ก็อาตมาไม่รู้นี่ว่าแกทัก ถ้ารู้ก็ต้องคุยกันแล้วจริงไหม” ท่านถาม

         “คงจริงมังครับ” บุรุษสูงวัยตอบ

         “อาตมาก็เลยถามอีกว่า นรกเป็นยังไง นรกมีจริงหรือ แกก็ว่ามีจริง แกกับฮ่วยเสี่ยเถ้าที่ชื่อมด ถูกเขาทำโทษทุกวัน เขาเฆี่ยนจนแขนขาขาด พอขาดแล้วมันก็มาต่อกันใหม่อีก เป็นอย่างนี้ทุกวัน ๆ อันนี้ภายหลังอาตมาได้ตรวจสอบกับคัมภีร์พระไตรปิฎก ปรากฏว่ามีข้อความคล้าย ๆ กัน อย่างเช่น ในเล่มที่ ๑๔ ถ้าอาตมาจำไม่ผิดนะ ในเล่มที่ ๑๔ ที่อธิบายสภาพของมหานรกแล้วก็จะสรุปลงท้ายว่า “สัตว์นั้นจะเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อยู่ในมหานรกนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมยังไม่สิ้น” อันนี้เหมือนกับที่ตาแป๊ะเหล็งฮ้วยเล่าว่า เขาเฆี่ยนจนแขนขาดขาขาด แล้วมันก็มาต่อกันใหม่ คงจะเป็นทำนองเดียวกันนี้ โยมเห็นด้วยไหม”

         “เห็นด้วยครับ แล้วหลวงพ่อถามแกหรือเปล่าครับว่ามาเข้ายายเภาได้ยังไง”

         “ถามซิ แกว่าหนีเขามา วันโกนวันพระเขาหยุดลงโทษทัณฑ์เพื่อให้พวกสัตว์นรกไหว้พระสวดมนต์ และเจริญสติปัฏฐาน ๔ อันนี้ก็มาตรงกับที่ยายสะอิ้งเล่าในปีถัดมา หลังจากที่อาตมาย้ายมาอยู่วัดนี้แล้ว มันก็แปลกนะ หรือโยมว่ายังไง” ประโยคหลังเป็นคำถามเช่นเคย

         “ครับ ผมก็ว่าแปลก แปลกแต่จริง ผมเชื่อครับว่าเป็นเรื่องจริง บางคนอาจจะไม่เชื่อ แต่ผมเชื่อ”

         “รู้สึกว่า โยมจะเชื่อง่ายจริงนะ ระวังเถอะ คนที่เชื่ออะไรง่าย ๆ มักจะถูกหลอก” ท่านเย้า

         “หลวงพ่อไม่เชื่อหรือครับ” เขาย้อนถาม

         “ตอนแรกก็ยังไม่เชื่อ เพราะอาตมาเป็นคนเชื่ออะไรยาก ต้องพิสูจน์ให้เห็นดำเห็นแดงกันเสียก่อนถึงค่อยเชื่อ”

         “แล้วที่แกบอกว่า อยู่กับฮ่วยเสี่ยเถ้า ที่ชื่อมดนั้น ใครครับ”

         “อาตมาถามอาเฮียที่เป็นล่ามดู เขาบอกฮ่วยเสี่ยเถ้าแปลว่าสมภาร ตาเหล็งฮ้วยบอก อยู่กับสมภารชื่อมด เรื่องนี้อาตมาไม่รู้มาก่อน ก็ได้ไปสืบถามคนเฒ่าคนแก่ดู ก็ได้ความอย่างเดียวกัน แสดงว่าเรื่องนี้เชื่อถือได้ คนแรกที่ถามก็คือ ยายของอาตมาเอง ยายเล่าว่า สมภารมดตายไปเมื่อห้าสิบปีก่อน ตอนนั้นอาตมายังไม่เกิด ท่านเป็นสมภารอยู่วัดพรหมนคร ที่ตายเพราะผูกคอตาย แบบเดียวกับตาเหล็งฮ้วย อาตมาก็ได้ข้อคิดอีกอย่างหนึ่งว่า ทำกรรมอย่างเดียวกัน ก็ต้องไปเกิดด้วยกัน สมภารมดกับตาเหล็งฮ้วยไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ได้ผูกคอตายเหมือนกัน เลยไปได้รู้จักกันในนรก มันก็แปลกดีนะ โยมนะ”

         “ครับ แปลกมากทีเดียว ถ้าอย่างนั้น พวกที่ร่วมวงกันดื่มเหล้า เมาเช้าเมาเย็นด้วยกัน พอตายก็คงไปอยู่ในกระทะทองแดงใบเดียวกันใช่ไหมครับ” บุรุษสูงอายุถาม

         “มันก็คงจะเป็นอย่างนั้นมั้ง อาตมาก็ยังไม่เคยดื่มเหล้าสักที ตั้งแต่บวชมานี่ ยังไม่เคยดื่มเลยสักหยดเดียว” แล้วท่านก็หัวเราะหึหึ คนฟังหัวเราะตามแล้วถามว่า

         “ทำไมสมภารมดจึงผูกคอตายครับ”

         “ยายเล่าว่า ท่านกลุ้มใจ แก้ปัญหาไม่ได้ เลยผูกคอตาย คือญาติโยมเขาบริจาคเงิน เพื่อสมทบทุนสร้างโบสถ์ เสร็จแล้วพวกกรรมการเอาเงินไปใช้หมด พอญาติโยมเขามาทวงกับท่านว่าเมื่อไรจะสร้างโบสถ์เสียที ท่านหาทางออกไม่ได้ ในที่สุดเลยตัดสินใจผูกคอตาย”

         “ไม่น่าเลยนะครับ อุตส่าห์บวชมานาน กระทั่งได้เป็นสมภาร พอตายกลับไปตกนรก น่าอนาถใจเหลือเกิน” เงียบกันไปพักหนึ่ง คนเป็นอาจารย์จึงถามขึ้นว่า

         “แล้วหลวงพ่อใช้วิธีไหนไล่ผีตาเหล็งฮ้วยครับ ปรุงยาให้กินแบบยายเช้าหรือเปล่า”

         “ทำอย่างนั้นไม่ได้ซิ ผีจริงกับผีปลอม จะใช้วิธีเดียวกันได้ยังไง อาตมาก็ถามแกว่า ที่มาเข้ายายเภานี่ต้องการอะไร แกก็ว่าจะมาบอกอาตมาให้ช่วยไปบอกหลานสาวแกว่า ไม่ต้องทำบุญกรวดน้ำไปให้ เพราะแกไม่ได้รับ ถ้าจะให้แกได้รับต้องเจริญกรรมฐานแล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้ อาตมาก็รับปากว่าจะบอกให้ แกก็ขอบอกขอบใจอาตมา แล้วบอกจะต้องรีบกลับแล้ว ประเดี๋ยวเขารู้ว่าหนีมา จะถูกทำโทษ พอแกล่ำลาเสร็จ ยายเภาก็แน่นิ่งไป ครู่หนึ่งก็ลืมตา พอเห็นอาตมาก็รีบลุกขึ้นนั่ง ถามว่า หลวงพ่อมายังไงดึก ๆ ดื่น ๆ อาตมาบอกว่ามาไล่ผีให้แก แกก็ไม่เชื่อหาว่าอาตมาล้อเล่น อาตมาถามแกต่อหน้าคนอื่น ๆ ว่า

         “โยมเภา เจี๊ยะปึ้งแปลว่าอะไร” แกบอก “ไม่ทราบเจ้าค่ะ” ก็สรุปความได้ว่า ผีจริงนั้นไม่ต้องไล่ เขามาธุระพอเสร็จธระเขาก็ออกเอง

         พอรุ่งเช้า อาตมาก็ไปหาเจ๊เซียมไน้บอก “เจ้ อาแปะลื้อมาเข้ายายเภา สั่งให้ลื้อเจริญกรรมฐานแล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้” เจ๊เซียมไน้แกตะคอกใส่อาตมาว่า “กรรมฐานกรรมโถนอะไร อั๊วะไม่สนใจหรอก เสียวเวลาทำมาหากิน” แหม พอแกพูดยังงี้ อาตมาเลยรีบกลับวัดเลย”

         “ตกลงตาเหล็งฮ้วยก็เลยไม่ได้รับส่วนกุศลจากหลานสาว น่าสงสารแกนะครับ

         “นั่นสิ อาตมาก็ได้ข้อคิดอีกอย่างหนึ่งว่า บุญกุศลนั้น เราจะต้องสร้างของเราเอง อย่าไปหวังคอยว่า ลูกหลานจะส่งให้หรืออุทิศไปให้ตอนตาย คนเดี๋ยวนี้เขาไม่ค่อยเข้าวัด ไม่ค่อยคิดสร้างความดี แล้วจะเอาบุญกุศลที่ไหนไปอุทิศให้คนอื่น โยมว่าจริงหรือเปล่า”

            “จริงครับ ผมว่าตัวของตัวเองก็ยังจะเอาไม่รอด ประสาอะไรจะไปช่วยคนอื่น ผมไม่หวังรอรับส่วนบุญจากใครหรอกครับ ผมจะสร้างของผมเอง ที่จริงผมน่าจะขอบใจโรคภัยไข้เจ็บของผมนะครับ ถ้าผมไม่ป่วย ป่านนี้ก็คงไม่คิดเข้าวัด”

         “แต่การเข้าวัดก็ไม่ได้หมายความว่า จะมาสร้างบุญสร้างกุศลกันหมดทุกคนหรอกนะโยม บางคนก็เข้าวัดมาทำธุรกิจกับพระ เช่น มาขายของ มาขอหวย พวกนี้มาวัดบ่อย แต่ไม่เคยเอาธรรมะกลับไปบ้าน ถึงคนที่อยู่กับวัดเองก็เถอะ ไม่งั้นยายสะอิ้งคงไม่บอกอาตมาว่า พระก็ไปตกนรก” ท่านพระครูหยิบยกเรื่องจริงขึ้นมาพูด

         “ครับ หรืออย่างสมภารมดที่หลวงพ่อเล่าก็เหมือนกัน พูดถึงเรื่องพระตกนรกนี่ ทำให้ผมนึกถึงมหาเสมียน องค์นี้ผมก็คิดว่าไม่พ้นอเวจีนรก พระที่เสพเมถุนนี่ต้องตกนรกอเวจี ใช่ไหมครับ”

         “ในพระวินัยบอกไว้อย่างนั้น” ท่านเจ้าของกุฏิกล่าวอ้างพระวินัย

         “ครับ ผมว่าป่านนี้มหาเสมียนก็คงชดใช้กรรมอยู่ในอเวจีนรก คงอีกนานกว่าจะได้ผุดได้เกิด คนชั่วนี่บางทีฟ้าดินก็ลงโทษนะครับหลวงพ่อ ลงโทษทันตาเห็นเลย มหาเสมียนที่ว่านี้ ท่านเสพเมถุนครับ พวกชาวบ้านเขารู้ เขาเห็น ก็ไปฟ้องเจ้าอาวาส เจ้าอาวาสท่านก็บอกไม่รู้จะจัดการอย่างไร เพราะท่านไม่เห็นกับตาว่าเขาผิดจริง แต่เวลาคนเขามานิมนต์ท่านไปดู ท่านก็ไม่ยอมไป อ้างว่า เดี๋ยวจะเป็นอาบัติ มหาเสมียนก็ได้ใจกำเริบเสิบสานเป็นการใหญ่ วันหนึ่งกำลังเสพเมถุนกับชีอยู่ในโบสถ์ ปรากฏว่าฟ้าผ่าลงมา ตายทั้งคู่เลยครับ พวกชาวบ้านพากันสมน้ำหน้า แบบนี้เขาเรียกว่า ฟ้าดินลงโทษ ใช่ไหมครับหลวงพ่อ”

         ก็คงเป็นยังงั้นมั้ง  ฟ้าดินคงรำคาญที่เจ้าอาวาสไม่มีน้ำยา พระลูกวัดทำผิดขนาดนั้น ยังไม่ดำเนินการให้เป็นเรื่องเป็นราว ปล่อยให้ชาวบ้านเขาตำหนิติฉินอยู่ได้ อาตมายอมไม่ได้นะ ถ้าเรื่องอย่างนี้เกิดในวัดอาตมา อาตมาต้องจัดการ ไม่งั้นก็ทำให้คนอื่นเขาเสื่อมศรัทธา”

         “นั่นสิครับ แล้วพระแบบนี้ก็มีมากขึ้นทุกวัน บางวัดเจ้าอาวาสเป็นเสียเอง นี่ผมไม่ได้ใส่ร้ายพระนะครับหลวงพ่อ ผมมีหลักฐาน มีพยานยืนยัน” อดีตอาจารย์พูดออกตัวไว้ก่อน

         “อาตมาก็ยังไม่ได้ว่าอะไรโยมนี่นา” ท่านพระครูพูดด้วยเสียงปกติ

         “ครับ ถ้าเผื่อหลวงพ่อจะว่า ผมก็มีพยานหลักฐานครับ” หลวงพ่ออย่าหาว่าผมเอาพระมานินทานะครับ”

         “อาตมาไม่ว่าหรอกน่า โยมสบายใจได้ ไม่ต้องกลัวว่าอาตมาจะเข้าข้างพระ ถึงเป็นพระก็ไม่เข้าข้างพระ อาตมาไม่เข้าข้างคนผิดอยู่แล้ว” เมื่อท่านพูดเช่นนี้ อาจารย์ชิตจึงเล่าต่ออีกว่า

         “เจ้าอาวาสองค์นี้ ท่านมีตำแหน่งด้วยนะครับ คือเป็นถึงเจ้าคณะจังหวัด เห็นคนเขาเล่าว่า ตำแหน่งนี้ก็ซื้อมา อันนี้ผมไม่มั่นใจนะครับว่า จะจริงหรือเปล่า ไม่ทราบจริง ๆ ว่า สมณศักดิ์ก็มีการซื้อการขายกันด้วย หลวงพ่อทราบหรือเปล่าครับ” เขาถามท่านพระครู

         ไม่ทราบ อาตมาก็เคยได้ยินคนเขาพูดกันทำนองนี้ จะเท็จจริงยังไง อาตมาไม่ทราบ แล้วก็ไม่ขอออกความเห็นใด ๆ  คงไม่ว่ากันนะ

         “ครับ แต่ผมภาวนาขออย่าให้เป็นความจริง ขอให้เรื่องคอรัปชั่น เรื่องกินสินบาทคาดสินบนมีอยู่เฉพาะในวงการคฤหัสถ์เถิด อย่าได้มีอยู่ในวงการสงฆ์เลย สาธุ ผมขอภาวนา” บุรุษวัยหกสิบยกมือขึ้นประนมขณะพูด “สาธุ”

         “อาตมาก็ขอภาวนาอย่างนั้นเหมือนกัน ภาวนาอย่าให้เกลือต้องจืดเลย เพราะถ้าเกลือจืด หนอนมันก็จะขึ้น เพราะถ้าเกลือจืด หนอนมันก็จะขึ้น ที่เขาเรียกว่า “เกลือเป็นหนอน” ไงล่ะ

         “นั่นสิครับ เพราะสงฆ์มีหน้าที่สอนคนให้ทำความดี แต่ถ้าคนสอนมาทำชั่วเสียเองแล้ว จะไปสอนใครเขาได้ สรุปเป็นว่า เจ้าอาวาสองค์ที่ผมเล่า ท่านมีตำแหน่งเป็นเจ้าคณะจังหวัดนะครับ แล้วก็คงได้มาโดยไม่ต้องซื้อ แม้ว่าท่านจะรวยมีเงินเป็นสิบ ๆ ล้าน ฝากธนาคารไว้ก็ตาม

         วันหนึ่งเด็กลูกศิษย์วัด แกไปปีนต้นมะพร้าว จะกินมะพร้าวอ่อน ขณะอยู่บนยอดมะพร้าว ก็มองเข้าไปในกุฏิท่าน ก็เห็นเข้า กลางวันแสก ๆ เสียด้วย แกก็ไปบอกพวกกรรมการวัด พวกกรรมการก็เชื่อเพราะรู้มานานแล้ว แต่เขาก็ไม่กล้าว่าอะไร เพราะเห็นว่าท่านเป็นถึงเจ้าคณะจังหวัด ก็พูดเป็นนัย ๆ ว่าพวกเขารู้ท่านก็กลุ้มใจ หน้าดำ หมองคล้ำ ไม่มีสง่าราศี เวลาเขานิมนต์ไปงานต่าง ๆ ท่านก็นั่งหน้าเศร้าไม่กล้าสบตากับใคร

         ต่อจากนั้นอีกไม่นาน ท่านก็ถูกปล้นแล้วก็ถูกคนร้ายฆ่าตาย หลวงพ่อคงเคยได้ข่าวนะครับ เพราะเรื่องลงหนังสือพิมพ์ด้วย พอท่านถูกฆ่า พวกกรรมการไปค้นกุฏิท่าน พบจดหมายรักเป็นสิบ ๆ ฉบับ บางฉบับก็เขียนพรรณนาถึงความรัก ยังกับนิยายน้ำเน่า ผมก็เป็นกรรมการวัดด้วย อ่านแล้วต้องยอมรับว่า พวกสีกาเหล่านั้นเขียนจดหมายได้เก่งจริง ๆ แล้วก็ยังทราบอีกว่า ท่านมีเงินส่วนตัวฝากธนาคารไว้เกือบยี่สิบล้าน น่าเสียดายที่เงินทองเหล่านั้นช่วยท่านไม่ได้เลย ผมเห็นแล้วก็ได้แต่ปลงสังเวช” บุรุษสูงอายุพูดอย่างสลดหดหู่ใจ ท่านเจ้าของกุฏิจึงปลอบเขาว่า

         “อย่าคิดอะไรมากเลยโยม ขอให้ทำใจเถอะ ในอนาคตโยมจะยิ่งเห็นอะไรที่เลวร้ายมากกว่านี้ คนชั่วจะครองเมืองนะ ต่อไปเงินจะกลายเป็นพระเจ้า เหล็กที่ว่าแข็งแกร่งปานใด ก็จะถูกเงินง้างให้อ่อนลงได้ เงินซื้อได้ทุกอย่าง อย่างเดียวที่ซื้อไม่ได้คือ กฎแห่งกรรม ถึงอย่างไรเงินก็ฝืนกฎแห่งกรรมไม่ได้”

         “ครับ ก็ยังดีที่กรรมไม่คอรัปชั่น หลวงพ่อครับ สงสัยยุคนี้คงจะเป็น ยุคทองของคนชั่วนะครับ” อาจารย์ชิตพูดพลางทอดถอนใจ...

           

มีต่อ........๖๐