สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๖๐

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

ธันวาคม ๒๕๓๗

S00060

๖๐...

          เช้าวันพฤหัสบดีที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๗ หลังจากปฏิบัติกรรมฐานเป็นเวลาสองชั่วโมงแล้ว เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วง ก็แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลไปให้สรรพสัตว์และเจ้ากรรมนายเวร ก่อนที่ท่านจำกำหนด “ลืมตาหนอ” ก็มีเสียงก้องดังอยู่ในโสตประสาท “วันนี้ใช้หนี้นกกระยาง วันนี้ใช้หนี้นกกระยาง” ฉับพลันท่านก็ระลึกถึงกรรมที่ได้ทำไว้กับเจ้านกตัวนั้น จึงตอบในใจว่า “รู้แล้ว เอาเถอะ เราขอชดใช้บาปที่เคยทำ กรรมที่เคยก่อ จะได้ไม่ต้องมีหนี้สินติดตัวไปในภพหน้า” แล้วท่านจึงกำหนดลืมตา เหลือเวลาอีกสิบห้านาทีสำหรับการเตรียมตัว พันโทวิชญ์จะมารับท่านไปในการทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ซึ่งนางสาวบงกชรัตน์ เป็นผู้นิมนต์ไว้

          เวลาหกโมงสิบห้านาที นายขุนทองก็ขึ้นมารายงาน

          “หลวงลุงฮะ ผู้พันมาแล้วฮะ” ท่านเจ้าของกุฏิรับทราบ และชมว่า

          “มาแล้วหรือ ตรงเวลาดีจริง” นายสมชายถือย่ามเดินลงมาก่อน เขาดีใจที่วันนี้ไม่ต้องทำหน้าที่ขับรถ เพราะท่านพระครูบอกว่า ผู้พันรับอาสาขับรถมารับและมาส่ง ศิษย์วัดลงไปแล้ว ท่านพระครูจึงกำหนด “ยืนหนอ” พร้อมกับลุกขึ้นยืน เมื่อเดินไปยังบันไดก็กำหนด “เดินหนอ เดินหนอ” และเมื่อก้าวลงบันได ท่านก็กำหนด “ลงหนอ”

          อนิจจา..แม้จะมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ตลอดเวลาทุกขณะจิต แต่ในเมื่อถึงกาลที่อกุศลกรรมมาให้ผล ก็เกิดเหตุขึ้นจนได้ ท่านพลัดตกลงมานั่งพับเพียบแต้อยู่บนแท่นพักบันได รู้สึกปวดแปลบที่ขาข้างขวา และท่านก็รู้ว่ามัน “หัก” เรียบร้อยไปแล้ เพราะกรรมที่เคยหักขานก!

            เสียงเหมือนของหนักตกลงมา ทำให้นายสมชายเปิดประตูเข้าไปดู เห็นท่านเจ้าของกุฏินั่งพับเพียบอยู่บนแท่นพัก ชายหนุ่มก็พอจะเดาออกว่าเกิดอะไรขึ้น

          “หลวงพ่อตกบันไดหรือครับ” ถามอย่างตกใจ

          “เจ้ากรรมนายเวรเขามาทวง” ท่านพระครูตอบ พลางกำหนด “ปวดหนอ ปวดหนอ” อยู่ในใจ

          “แล้วเป็นอย่างไรบ้างครับ” ถามพลางวิ่งเข้าไปประคอง

          “ไม่เป็นอะไรมากหรอก แค่ขาหัก” ตอบหน้าตาเฉย

          “ขาหัก” นายสมชายพูดเสียงดัง เมื่อได้ยินคำตอบ เขารีบเปิดประตูออกมารายงานพันโทวิชญ์

          “ผู้พันครับ หลวงพ่อตกบันไดขาหัก” พันโทหนุ่มใหญ่รีบเข้ามาช่วยกันกับนายสมชาย ประคองท่านออกมานั่งยังอาสนะ อาจารย์ชิตต้องพักการเดินจงกรม แล้วเข้ามานั่งใกล้ ๆ ด้วยความเป็นห่วง

          “ผมจะนำท่านส่งโรงพยาบาลนะครับ” พันโทวิชญ์พูด ใจนั้นนึกกังวลว่า คงจะไปไม่ทันฤกษ์อย่างแน่นอน ท่านพระครูรู้ใจจึงว่า

          “ไม่ต้องหรอกผู้พัน ยังไง ๆ อาตมาก็ต้องไปให้ทันฤกษ์เขา ขอพักห้านาทีเท่านั้น” อาจารย์ชิตแย้งขึ้นว่า

          “แต่หลวงพ่อขาหักนะครับ จะทนปวดไหวหรือครับ”

          “ไหวหรือไม่ไหว อาตมาก็ต้องทน เพราะอาตมากำลังใช้หนี้กรรม โยมเห็นแล้วใช่ไหมว่า ทุกคนก็ต้องมีกรรมด้วยกันทั้งนั้น”

          “ถ้าอย่างนั้น เมื่อเสร็จพิธีแล้ว ผมจะนำหลวงพ่อส่งโรงพยาบาลนะครับ” นายทหารพูดอย่างโล่งอก

          “ไม่ต้อง ผู้พันไม่ต้อง อาตมาขอขอบใจในความปรารถนาดีของผู้พัน อาตมาตั้งใจไว้แล้วว่า จะชดใช้กรรม เดือนเดียวก็หายเป็นปกติ” พูดจบ ท่านก็หลับตา สำรวมจิตให้ตั้งมั่นแล้วจึงร่าย “คาถาพระโมคคัลลาน์ประสานกระดูก” รักษาขาข้างที่หัก เสร็จแล้วจึงลืมตา บอกนายสมชายและนายทหารผู้นั้นว่า

          “เรียบร้อยแล้ว ไปกันหรือยัง” คนทั้งสองเข้ามาจะประคองท่านให้ลุกขึ้น หากท่านห้ามไว้

          “ไม่ต้อง อาตมาลุกเองได้” แล้วท่านค่อย ๆ ลุกขึ้น เมื่อเท้าแตะพื้น ความเจ็บปวดประดังขึ้นมาอีกเป็นร้อยเท่าทวีคูณ กระท่านท่านก็แข็งใจเดิน แต่ละย่างก้าว สร้างความเจ็บปวดแก่ท่านจนแทบน้ำตาร่วง จึงจำต้องกำหนด “ปวดหนอ ปวดหนอ” อยู่ตลอดเวลา

          “หลวงลุงแน่ใจหรือฮะว่าจะเดินไหว” นายขุนทองถามพลางเดินตามไปส่งที่รถ อาจารย์ชิตนั้นรู้สึกสงสารท่าน จนอยากจะร้องไห้ ท่านคงจะเจ็บปวดมากยิ่งกว่าเขาปวดแผลหลายเท่านัก

          “แน่ใจสิ ว่าแต่ว่าเอ็งช่วยดูแลโยมเขาให้ดี วันนี้ข้าไม่ได้ออกบิณฑบาต เพราะฉะนั้น เอ็งต้องไปเอาอาหารที่โรงครัว มาให้โยมเขาทั้งมื้อเช้าและมื้อเพล อย่าเอาแต่นอนล่ะ” ท่านแสดงความห่วงใยคนป่วย ทั้งที่ตัวเองก็กำลังเผชิญกับทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส เห็นท่านเดินเกือบเหมือนคนปกติ เพียงแต่ช้ากว่า พันโทหนุ่มใหญ่จึงคิดว่าขาของท่านคงไม่ถึงกับหัก อาจจะเพียงแค่กระดูกร้าว เพราะถ้าขาหัก ต้องเดินไม่ได้

          เมื่อถึงรถ นายสมชายเปิดประตูให้ท่านเข้าไปนั่งเบาะหลัง ส่วนตัวเขานั่งหน้าคู่กับคนขับ ออกรถแล้ว พันโทวิชญ์จึงออกความเห็นว่า

          “ผมว่า ขาของหลวงพ่อคงไม่ถึงกับหักนะครับ เพราะถ้าหักต้องเดินไม่ได้”

          “หักสิผู้พัน อาตมารู้ว่าหักแน่ เพราะเขามาเตือนก่อนแล้วว่า วันนี้ใช้หนี้นกกระยาง และอาตมาก็ได้ใช้หนี้แล้ว”

          “ถ้าอย่างนั้น ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์มาก ที่หลวงพ่อยังเดินได้ อัศจรรย์เหลือเกิน” เขาว่า และหากไม่มาเห็นกับตา ก็คงไม่เชื่อ

          “แต่มันก็ปวดจนน้ำตาแทบหยดเชียวละ นี่ถ้าเป็นคนธรรมดาก็ต้องเดินไม่ได้ อาตมาไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นผู้วิเศษนะ ผู้พันอย่าเพิ่งเข้าใจผิด” ท่านรีบออกตัวไว้ก่อน

          “เพราะคนธรรมดาในที่นี้ อาตมาหมายถึงคนที่ไม่เคยฝึกจิตน่ะ เพราะเขาจะไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวดได้”

          “ต้องอาศัยพลังจิตใช่ไหมครับ”

          “ถูกแล้ว”

          “ตอนที่หลวงพ่อนั่งหลับตาทำปากขมุบขมิบนั่น หลวงพ่อท่องคาถาหรือเปล่าครับ” คนกำลังขับรถถามอีก

          “ใช่ อาตมาใช้คาถาของพระโมคคัลลานะ เป็นคาถาประสานกระดูก ตอนที่ท่านถูกพวกโจรทุบจนกระดูกแหลกเป็นเม็ดข้าวสารหัก ซึ่งที่จริงต้องปรินิพพาน เพราะคนที่ถูกทุบจนกระดูกแหลกอย่างนั้น ต้องตายจริงไหม”

          “ครับ นองจากผู้วิเศษเท่านั้น ถึงจะไม่ตาย”

          “นั่นสิ ท่านพระโมคคัลลานะ ท่านเป็นผู้วิเศษ เพราะนอกจาท่านจะเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านยังได้ อภิญญา ๖ อีกด้วย คือท่านเป็นพระอรหันต์ประเภท “ฉฬภิญญา” แต่ถึงกระนั้นท่านก็ยังหนีกรรมไม่พ้น ในอดีตชาติท่านเคยทุบตีพ่อแม่ เมื่อจะปรินิพพานก็ต้องชดใช้กรรมนั้น”

          “แต่ท่านก็มีคาถาประสานกระดูกนี่ครับ ถึงยังไงก็คงไม่รู้สึกว่ามันเจ็บปวด” นายสมชายออกความเห็นบ้าง

          “ถึงมีคาถาก็ปวด ฉันเองก็ปวดแทบขาดใจอยู่นี่ คาถาไม่ได้ช่วยให้หายปวดนะ เพียงแต่ช่วยให้กระดูกมันมาประสานกันพอที่จะดำรงอัตภาพอยู่ได้ แต่ก็ไม่เหมือนเดิม ท่านถึงเหาะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เพื่อทูลขออนุญาตปรินิพพาน”

          “แปลว่า ถ้าพระพุทธองค์ไม่ทรงอนุญาต ท่านพระโมคคัลลานะก็ปรินิพพานไม่ได้ใช่ไหมครับ” ศิษย์วัดถามอีก

          “ต้องเป็นอย่างนั้น แต่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาต เพราะทรงทราบว่าอัครสาวกทั้งสอง จักต้องปรินิพพานก่อนพระองค์ หลังจากพระโมคคัลลานะปรินิพานได้ไม่นาน พระสารีบุตรก็ปรินิพพาน”

          “หลวงพ่อครับ พระโมคคัลลานะ ท่านเหาะเหินเดินอากาศได้จริง ๆ หรือครับ” คราวนี้คนถามเป็นนายทหาร

          “โยมไม่เชื่ออย่างนั้นหรือ” ท่านย้อนถาม

          “ก็เชื่อเหมือนกันครับ แต่ไม่ค่อยมั่นใจ เพราะมันขัดกับหลักการทางวิทยาศาสตร์

          “ถ้าผู้พันอยากจะเชื่ออย่างมั่นใจก็ต้องทิ้งวิทยาศาสตร์ แล้วก็หมั่นเจริญกรรมฐาน เอาละ อาตมาจะไม่พูดอะไรมาก แต่จะขอทำนายไว้ว่า ในอนาคตพวกฝรั่งเขาจะเชื่อเรื่องเหล่านี้กันมากขึ้น พวกเขาจะหันมานับถือพระพุทธศาสนากันอย่างจริงจัง และพระพุทธศาสนาก็จะไปเจริญรุ่งเรืองอยู่ในประเทศตะวันตก”

            “หลวงพ่อครับ ผมอยากได้คาถาที่หลวงพ่อพูดถึงเมื่อกี้นี้” นายสมชายหันมาบอกเสียงอ้อมแอ้ม คิดว่าอย่างไรเสีย ท่านพระครูก็คงไม่ว่าต่อหน้าแขก

          “เธอจะเอาไปทำอะไร คาถานั้นจะศักดิ์สิทธิ์ก็เฉพาะคนที่ฝึกสมาธิเท่านั้น คนที่ไม่เคยฝึกจิต ถึงได้ไปก็ไร้ประโยชน์ ถ้าเธออยากได้จริง ๆ ก็ต้องหมั่นเจริญกรรมฐาน จิตถึงขั้นเมื่อไหร่แล้วจะให้”

          “ถ้าอย่างนั้นผมไม่เอาก็ได้ครับ เพราะผมคงไม่มีเวลาปฏิบัติ อย่างที่หลวงพ่อว่า” ชายหนุ่มปฏิเสธอย่างนุ่มนวล

          “ชื่อคาถาอะไรนะครับ” คนกำลังขับรถถาม

          “คาถาพระโมคคัลลาน์ประสานกระดูก แต่พูดก็พูดเถอะ ถึงจะมีคาถาอาคมขลังเพียงใด ก็หนีกฎแห่งกรรมไปไม่พ้น ก็พระโมคคัลลานะท่านเป็นถึงผู้วิเศษ มีฤทธิ์เดชเหาะเหินเดินอากาศได้ ก็ยังต้องถูกกฎแห่งกรรมลงโทษจนต้องปรินิพพาน”

          “แล้วที่หลวงพ่อตกบันไดเพราะกรรมอะไรครับ” นายทหารถามทั้งที่แสนจะเกรงใจ ท่านพระครูจึงเล่าให้ฟังว่า

          “เพราะกรรมที่อาตมาเคยหักขานกกระยาง สมัยที่อาตมาอายุสิบสองสิบสาม อาตมาชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เกเรมาก หาความดีไม่ได้เลย วันหนึ่งก็ออกไปยิงนกในทุ่ง ใช้หนังสติ๊กยิง ยิงให้มันตายเล่น ๆ ยังงั้นแหละ ไม่ได้เอาไปกินไปอยู่อะไร ทีนี้เจ้านกกระยางตัวนั้น มันไม่ตาย แต่ปีกหักบินไม่ได้ แต่สัญชาตญาณแห่งการรักชีวิตทำให้มันวิ่งหนี อาตมาก็วิ่งตาม ตามจนเหนื่อยหอบแฮ่ก ๆ มันเองก็คงเหนื่อย ประกอบกับเจ็บที่ปีกด้วย พออาตมาหยุดหอบมันก็หยุดวิ่ง พออาตมาวิ่ง มันถึงจะวิ่ง ก็ตามจับกันอยู่นาน กระทั่งมันวิ่งไม่ไหว ด้วยความแค้น พอจับได้ อาตมาหักขามันทันที โทษฐานทำให้เหนื่อย อยากวิ่งเก่งนัก เลยหักขามันทั้งสองข้างเลย หักเขาแล้วอาตมาก็โยนทิ้ง แถมพูดกับมันว่า “เอาซี วิ่งหนีอีกซี เก่งจริงก็วิ่งไปเลย” โอ้โฮ ตอนนั้น อาตมาใจคอโหดเหี้ยมมาก ไม่นึกกลับบาปกลัวกรรม ทั้งที่ยายสอนจนปากเปียกปากแฉะ ที่ไม่กลัวเพราะไม่เชื่อว่า บาปกรรมจะมีจริง” ท่านระลึกนึกย้อนไปถึงอดีตขณะเล่า

          “แล้วตอนนี้หลวงพ่อเชื่อหรือยังครับ” นายสมชายถือโอกาสเย้า ท่านพระครูไม่ตอบ ด้วยไม่ต้องการจะปะทะคารมกับเขาต่อหน้าพันโทหนุ่มใหญ่

          เมื่อรถมาจอดหน้าบ้าน เจ้าภาพกุลีกุจอลงมาต้อนรับ โดยเฉพาะนางสาวบงกชรัตน์ ซึ่งเฝ้าชะเง้อชะแง้ด้วยใจจดจ่ออยู่กับนายทหารหนุ่มใหญ่ผู้นั้น ก่อนลงจากรถ ท่านพระครูพูดกับคนทั้งสองว่า “เรื่องอาตมาขาหัก ไม่ต้องบอกให้เจ้าภาพเข้ารู้นะ ประเดี๋ยวเขาจะเป็นกังวล”

          บิดาของนางสาวบงกชรัตน์ ทำหน้าที่เปิดประตูรถให้ท่านพระครู ส่วนนายสมชายกับพันโทวิชญ์ต่างก็เปิดประตูรถลงมาเอง คนเป็นทหารทำความเคารพ “ว่าที่พ่อตา” พลางหันไปมองคนรัก ชุดไทยสีครีมที่หล่อนสวมใส่กับกิริยานบไหว้ท่านพระครูอย่างอ่อนน้อม ทำให้หล่อนดูเป็นกุลสตรีเต็มตัว เขาชอบผู้หญิงที่แต่งตัวแบบไทย ๆ ชอบมาก แล้วก็ไม่อยากเห็นพวกหล่อนนุ่งยีนส์

          “นิมนต์ข้างในเลยครับ” เจ้าภาพเชื้อเชิญพลางเดินนำท่านเข้าไปข้างในซึ่งมี “พระอันดับ” แปดรูป และแขก   เหรื่อ นั่งอยู่เต็ม

          เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงเดินพลางกำหนด “ปวดหนอ ปวดหนอ” ไปด้วย กระทั่งเข้าไปนั่งพับเพียบอยู่ตรงหัวแถว แม้จะรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวตรงขาข้างที่หัก แต่ท่านก็ใช้สติข่มเวทนา ด้วยการระลึกรู้อยู่ว่า กำลังเสวยผลของกรรมดำ!

          “คุณแม่ไปไหน” ท่านพระครูถามนางสาวบงกชรัตน์

          “กำลังดูแลเรื่องอาหารอยู่ในครัวค่ะ” หล่อนตอบ

          “ไปตามมานั่งฟังพระเจริญพระพุทธมนต์ด้วยกันที่นี่ บอกหลวงพ่อให้ตาม” หญิงสาวจึงลุกออกไป ครู่หนึ่งก็เดินตามหลังมารดาเข้ามา สตรีวัยห้าสิบ กราบท่านพระครูสามครั้งแล้วว่า

          “ดิฉันต้องขอตัวค่ะหลวงพ่อ ต้องไปเตรียมอาหารถวายพระค่ะ”

          “ไปไม่ได้ อาตมาไม่อนุญาต เพราะอยากให้โยมได้บุญ โยมอยากได้บุญไหมเล่า” ท่านถาม

          “อยากค่ะหลวงพ่อ ที่ดิฉันทำบุญ นี่ก็เพราะอยากได้บุญค่ะ” มารดานางสาวบงกชรัตน์ตอบ

          “นั่นสิ เพราะฉะนั้น โยมจะต้องตั้งใจรับศีลรับพร ไม่ใช้ไปขลุกอยู่ในครัว เรื่องอาหารเป็นหน้าที่ของพวกแม่ครัวเขาจัดการกันเอง เอาละได้เวลาตามฤกษ์แล้ว ญาติโยมตั้งใจรับศีลและฟังพระเจริญพระพุทธมนต์กันต่อไป” ท่านพระครูบอกเจ้าภาพและบรรดาผู้ที่มาร่วมงาน

          พิธีทำบุญขึ้นบ้านใหม่เสร็จสิ้นลงเมื่อเวลาประมาณเก้านาฬิกา พระสงฆ์ ๘ รูป ลาท่านพระครูกลับวัดซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับบ้านงาน เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงยังไม่กลับ ท่านให้เหตุผลว่า

          “อาตมามาทีหลัง ก็ต้องกลับทีหลัง” หากเหตุผลที่แท้จริงนั้น ท่านต้องการให้คนเป็นทหารกับคนเป็นศิษย์ได้รับประทานข้าวปลาอาหารเสียก่อน โดยเฉพาะคนเป็นทหารนั้นคงจะยังไม่อยากกลับแน่

          บิดาของนางสาวบงกชรัตน์ รับหน้าที่เดินไปส่งพระสงฆ์ทั้งแปดรูป ขณะที่ภรรยาและบุตรสาวช่วยกันจัดอาหารและเครื่องดื่มมาบริการแขกที่ไปร่วมงาน ทุกคนต่างมีจิตใจผ่องใสเพราะ “อิ่มบุญ” ท่านพระครูเองก็มีจิตผ่องใสแม้กายจะทุกข์ทรมาน!

          เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงออกจากบ้านงาน เมื่อเวลาสิบนาฬิกาพอดิบพอดี พันโทวิชญ์ขับตรงเข้าตัวจังหวัดสิงห์บุรีเพื่อจะนำท่านไปโรงพยาบาล

          ทั้งที่นั่งหลับตา ท่านพระครูก็รู้ว่าไม่ใช่เส้นทางไปวัดป่ามะม่วง จึงถามว่า

          “ผู้พันจะพาอาตมาไปไหน”

          “ไปให้หมอเขาดูขาของหลวงพ่อหน่อยครับ”

          “ขอบใจ แต่อาตมาบอกแล้วว่าจะชดใช้กรรม อย่าให้อาตมาต้องเสียความตั้งใจเลยนะ โปรดเลี้ยวรถกลับเถอะ อาตมาขอร้อง” นายทหารหนุ่มใหญ่ จึงจำต้องทำตามความประสงค์ของท่าน

          “ไปให้หมอเขาดูหน่อยไม่ดีหรือครับหลวงพ่อ” นายสมชายว่า

          “ไม่ดีแน่ ก็ฉันบอกแล้วว่า มันเป็นโรคกรรม มดหมดที่ไหนก็ช่วยไม่ได้ นี่ยังดีนะที่หักข้างเดียว ที่จริงตัองหักทั้งสองข้างเหมือนอย่างที่ทำเขาไว้” ท่านหมายถึงเจ้านกกระยางตัวนั้น

          “เขาอาจจะเอาทีละข้างก็ได้ คราวนี้ข้างขวา คราวหน้าข้างซ้าย” นายสมชายพูดตามประสาคนพูดมากปากมอม

          “สมชาย รู้สึกว่าคุณพูดไม่ค่อยจะสวยนะ” นายทหารเตือนกราย ๆ ศิษย์วัดจึงจำต้องปิดปากเงียบ

          “หลวงพ่อยังรู้สึกปวดอยู่หรือเปล่าครับ” คนกำลังขับรถถาม

          “ปวดสิผู้พัน ปวดตลอดเวลาเชียวละ แต่ตอนนั่งปวดน้อยกว่าตอนเดิน ไม่เป็นไรหรอก ผู้พันไม่ต้องเป็นห่วง อีกเดือนเดียวก็จะหายเป็นปกติ โชคดีที่ไม่ได้รับนิมนต์ใครไว้ ก็ว่าจะถือโอกาสพักผ่อนและเขียนหนังสือให้เสร็จ”

          “หลวงพ่อทราบล่วงหน้าหรือเปล่าครับ ว่าต้องเป็นเช่นนี้”

          “ไม่ทราบหรอกผู้พัน เขาเพิ่มมาบอกเมื่อเช้าตอนหกโมง อาตมาหมายถึงเจ้ากรรมนายเวรน่ะ อีกสิบห้านาทีหลังจากนั้น อาตมาก็ตกบันได ผู้พันคิดดูก็แล้วกัน อาตมาขึ้นลงบันไดนี้ทุกวัน แล้วก็ทำอย่างนี้มาเกือบจะยี่สิบปีโดยไม่เคยตก เรียกว่า หลับตาเดินขึ้นเดินลงก็ยังได้”

          “หมายความว่า ถ้าไม่เป็นเพราะกรรมที่เคยหักขานก หลวงพ่อก็จะไม่พลัดตกลงมาใช่ไหมครับ”

          “ก็ต้องเป็นอย่างนั้น เพราะอาตมากำหนดสติอยู่ตลอดเวลา ทุกอิริยาบถ ผู้พันเห็นหรือยังว่า กฎแห่งกรรมนั้นไม่เคยปรานีใคร แล้วก็ไม่เคยคอรัปชั่น”

            “ครับหลวงพ่อ แต่คนทุกวันนี้เขาไม่ค่อยเชื่อกันว่า กรรมนั้นมีจริง บ้านเมืองก็เลยเต็มไปด้วยการฉ้อราษฎร์บังหลวง”

            “นั่นเพราะคนที่เชื่อ มักจะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะว่าโง่เขลาเป็นเต่าล้านปี ไม่มีใครอยากเป็นคนโง่ จริงไหม” ท่านเจตนาทดสอบ “คุณธรรมประจำใจ” ของคนเป็นทหาร

            “แต่สำหรับผม ผมคิดว่า เป็นคนโง่แต่ได้ขึ้นสวรรค์ ก็ยังดีกว่าเป็นคนฉลาด แล้วตกนรกครับ” นายทหารตอบเสียงดังฟังชัด

          “โอ้โฮ ผู้พันตอบสมกับเป็นชายชาญทหารกล้าเลยเชียว อาตมาขออนุโมทนา” เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงชมพลางกำหนด “ปวดหนอ ปวดหนอ” อยู่ในใจ..

 

มีต่อ........๖๑