สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๖๗

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

ธันวาคม ๒๕๓๗

S00067

๖๗...

         วันที่ ๓๐ มีนาคม ท่านพระครูลงรับแขกเป็นวันแรก หลังจากที่หยุดไปหนึ่งเดือนเต็ม ผู้คนมารอกันแน่นกุฏิเช่นเคย เพราะเป็นวันเสาร์

         เจ้าทุกข์รายหนึ่งเป็นสุภาพสตรีวัยสามสิบ ผิวขาว หน้าตาแม้จะดูเศร้าโศก หากก็แฝงเอาไว้ซึ่งความงดงามหาที่ติมิได้ หล่อนเข้าไปกราบท่านพระครูสามครั้ง แล้วเอ่ยทั้งน้ำตาว่า

         “หลวงพ่อคะ ช่วยหนูด้วย”

         “โยมจะให้อาตมาช่วยอะไรก็ว่ามาเลย” ท่านพูดอย่างปรานี ครั้นเห็นรอยฟกช้ำดำเขียวที่แขนทั้งสองข้างจึงถาม

         “นั่นไปโดนอะไรมา ถึงได้เนื้อตัวเขียวปั้ดออกอย่างนั้น” หล่อนร้องไห้หนักขึ้น แล้วตอบว่า

         “สามีตีค่ะ”

         “ทำไมถึงต้องตีด้วยล่ะ โยมไปทำอะไรให้เขาโกรธ เขาถึงได้ตีเอา แต่จริง ๆ แล้วก็ไม่ควรจะทุบตีกันแบบนี้ จะโกรธจะเคืองยังไง ก็น่าจะพูดกันได้ อาตมาไม่ชอบให้ทำอย่างนี้เลย” แล้วท่านจึงพูดกับบรรดาสุภาพบุรุษที่นั่งอยู่ ณ ที่นั้นว่า “คุณพ่อบ้านทั้งหลาย อาตมาอยากจะขอร้องนะ อย่าได้รังแกแม่บ้านเขายังงี้เลย มีอย่างที่ไหน มาทุบตีกันยังกะเขาเป็นวัวเป็นควาย แบบนี้ไม่ใช่วิสัยของสุภาพบุรุษ” มนุษย์เพศชายที่นั่งอยู่ ณ ที่นั้น ต่างพากันสงสารหญิงสาวที่นั่งร้องไห้อยู่เบื้องหน้าท่านพระครู หนุ่มหนึ่งก็นึกในใจว่า “ถ้าเมียข้าสวยยังงี้ จ้างก็ไม่ตีให้โง่ แต่ที่ต้องตีเพราะมันไม่สวย”

         “จะสวยหรือไม่สวย ก็ห้ามตีเด็ดขาด ไม่ใช่ว่าต้องสวยถึงจะไม่ตี” ท่านเจ้าของกุฏิพูดพร้อมกับสบตาคนแอบนึก เจ้าหนุ่มจึงนึกต่ออีกว่า

         “โอ้โฮ หลวงพ่อนี่ชั้นหนึ่งเลย ขนาดเราอุตส่าห์พูดในใจ ยังได้ยินเสียอีกแน่ะ”

         “จะพูดในใจ หรือพูดนอกใจ อาตมาก็ได้ยินทั้งนั้น ถ้าอยากจะได้ยิน แต่ถ้าไม่อยากก็แล้วไป”

         “พระอรหันต์” หนุ่มนั้นสรุปในใจ

         “อาตมาไม่ใช่เป็นพระอรหันต์ อย่างเก่งก็เป็นได้แค่พระอรเห เพราะใครมีทุกข์ก็พากันเหเข้ามาหา” ผู้ที่นั่งอยู่ ณ ที่นั้น ชักจะงุนงงด้วยรู้สึกว่าท่านพูดอยู่คนเดียว แถมเรื่องที่พูดก็ไม่ไปด้วยกันอีกด้วย ท่านพระครูไม่อยากให้พวกเขาต้องงงนาน จึงถามหญิงสาวผู้นั้นว่า

         “โยมไปทำอะไรให้เขาโกรธหรือเปล่า เขาถึงได้ตีเอา”

         “ไม่ได้ทำค่ะ แต่เขาเป็นคนขี้หึง หนูคุยกับใครไม่ได้เลย เขาหาว่าหนูพยายามนอกใจเขา คนอะไรก็ไม่รู้หึงไม่ดูตาม้าตาเรือ หนูไม่อยากอยู่กับเขาแล้วค่ะหลวงพ่อ เขาตียังกะวัวกะควาย”

         “แล้วเขาทำงานอะไรล่ะ”

         “เป็นทหารค่ะ ทหารยศร้อยเอก อยู่ค่ายจังหวัดลพบุรีนี่เอง เวลาจะไปทำงาน เขาก็ใส่กุญแจขังหนูไว้ในบ้านไม่ให้ออกไปไหน เกิดฟืนไฟไหม้บ้านหนูคงถูกย่างสดตายอยู่ในนั้น”

         “โอ้โฮ หึงมากขนาดนั้นเชียวหรือ แล้วมีลูกกี่คนล่ะ มีลูกด้วยกันหรือเปล่า”

         “มีค่ะ มีลูกชายสอง ลูกสาวสอง เข้าโรงเรียนหมดแล้ว”

         “ขนาดมีลูกสี่คน ก็ยังหึงหรือ”

         “ค่ะ หนูถึงไม่อยากจะทนอีกต่อไป หลวงพ่อดูซิคะ อยู่กันมาสิบปี เขาขังหนูไว้ในบ้านตลอด” หญิงสาวเล่า และท่านเจ้าของกุฏิก็ “รู้” ว่าหล่อนมิได้พูดเกินความจริง

         “ผมว่าแบบนี้ผิดปกติแล้วนะครับหลวงพ่อ สงสัยจะเป็นโรคจิต” หนุ่มที่อ้างในใจว่า “เพราะเมียไม่สวยถึงตี” เอ่ยขึ้น

         “นั่นสิ คนที่ชอบตีเมียน่ะเป็นโรคจิตทั้งนั้น” ท่านพระครูเห็นช่องทาง “ตีวัวกระทบคราด” พ่อหนุ่มนั่นจึงจำต้องนิ่ง

         “หลวงพ่อต้องช่วยหนูนะคะ” คนถูกสามีตี อ้อนวอน

         “จะให้ช่วยแบบไหนล่ะ ช่วยไม่ให้เขาตียังงั้นหรือ”

         “ช่วยให้หนูเลิกกับเขาน่ะค่ะ หนูเบื่อชีวิตแบบที่แล้ว ๆ มา มันเหมือนตกนรกทั้งเป็นค่ะ”

         “จะเลิกกันยังไงล่ะโยม ลูกเต้าก็มีด้วยกันตั้ง ๔ คน อาตมาไม่ชอบให้ผัวเมียเลิกร้างกัน เพราะมันจะเป็นปัญหากับลูกในภายหลัง จะให้ช่วยแบบนั้น อาตมาไม่ช่วยแน่นอน เพราะอาตมากลัวบาป” แล้วท่านจึงพูดกับผู้ที่นั่งอยู่ ณ ที่นั้นว่า “ญาติโยมทั้งหลายโปรดจำเอาไว้ การยุแหย่ให้ผัวเมียเขาเลิกกันนั้นบาปมาก ใครคิดจะทำก็ให้ล้มเลิกความคิดนั้นเสีย และใครที่เคยทำมาแล้ว ก็อย่าได้ทำอีก ไม่งั้นบาปกรรมจะตามมาถึงตัว ขอให้เชื่ออาตมาสักครั้ง” ท่านจงใจ “เทศน์” สตรีสามคนที่มานั่งรอคิวอยู่ “กฎแห่งกรรม” ของคนทั้งสามฟ้องว่า พวกหล่อนมีความสามารถในการ “ยุแยงตะแคงแซะ” ให้ผัวเมียเขาเลิกกัน และก็ทำจนประสบความสำเร็จมาหลายคู่แล้ว

         คนประเภทนี้จะรู้เรื่องของคนอื่นไปหมดทุกเรื่อง ผัวใครมีเมียน้อยไว้ที่ไหน พวกหล่อนรู้หมด แต่พอผัวตัวเองมีเมียน้อย พวกหล่อนกลับไม่รู้! ที่มาหาท่าน ก็ใช่ว่าจะเลื่อมใสศรัทธา แต่มาเพื่อขอเลขเด็ด กับขอให้ท่านดูดวงให้ เมื่อท่านปฏิเสธ พวกหล่อนก็จะไม่มาเหยียบวัดนี้อีก พร้อมกันนั้นก็จะเอาไปเที่ยวโพนทะนาว่า “หลวงพ่อวัดนี้ไม่ดี

         “ถ้าอย่างนั้นหลวงพ่อช่วยให้เขาเลิกตีหนูนะคะ” สตรีวัยสามสิบอ้อนวอน

         “ตกลงโยม ถ้าช่วยแบบนี้ไม่บาป เอาละ อาตมาจะแนะวิธีการให้ ขุนทองช่วยหยิบแผ่นปลิวบทสวดมนต์มาให้โยมเขาแผ่นนึง” ท่านสั่งหลานชายแล้วพูดกับสตรีนั้นว่า

         “โยมสวดมนต์นะ สวดทุกวันแล้ว ก็อธิษฐานขอให้เขาเลิกตี วันไหนเขาทำท่าจะตี ก็หนีขึ้นไปห้องพระเลย ไปนั่งสวดมนต์อยู่ในห้องพระนั่นแหละ รับรองว่าเขาไม่กล้าตีคนที่กำลังสวดมนต์หรอก”

            “แต่ถ้าเขาตีล่ะคะ” หล่อนถามอย่างหวั่นหวาด

         “ให้มาตีอาตมาแทน บอกเขาเลยว่า ถ้าจะตีคนที่กำลังสวดมนต์ ก็ให้ไปตีหลวงพ่อวัดป่ามะม่วงโน่น” คราวนี้หล่อนยิ้มทั้งน้ำตา คนอื่น ๆ พลอยยิ้มไปด้วย

         “ถ้าเกิดเขามีตีหลวงพ่อจริง ๆ หนูก็บาปแย่นะซีคะ” หล่อนว่า

         “เขาไม่ตีหรอกหนู แหม อย่าไปดูถูกสามีเราถึงขนาดนั้นซี อาตมาดูแล้วเขาก็เป็นคนดีพอสมควร”

         “ถ้าดีแล้ว ทำไมต้องตีเมียด้วย” สตรีผู้หนึ่งถามขึ้น

         “ก็เขาหึง ทำไมถึงต้องหึง โยมรู้ไหม” ท่านถามสตรีผู้นั้น

         “ไม่ทราบค่ะ”

         “ไม่ทราบหรือคะ ถ้างั้นอาตมาจะตอบให้ ที่เขาหึงก็เพราะเขาหวง แล้วทำไมเขาถึงหวง โยมตอบซิ”

         “ไม่ทราบค่ะ” หล่อนยืนยันคำตอบเดิม ท่านพระครูจึงเฉลยว่า

         “เพราะเขาตกห้วงรัก” แล้วพูดกับบรรดาสุภาพบุรุษว่า “โยมผู้ชาย อย่าไปทำอย่างนั้นนะ อย่าไปตกห้วงรักถึงขนาดทุบตีแม่บ้านเขานะ เกิดเขาหนีไป แล้วใครจะหุ้งข้าวให้เรากิน ต้องเอาใจเขามาก ๆ เขาจะได้อยู่กับเรานาน ๆ”

         “หลวงพ่อครับ แต่ที่บ้านผม แม่ล้านเขาไม่ได้หุงข้าวให้ผมกินหรอกครับ ผมเป็นฝ่ายหุงให้เขากินครับ หุงมาตั้งแต่สมัยแต่งงานกันใหม่ ๆ จนเดี๋ยวนี้ลูกสามแล้ว” บุรุษร่างท้วมพูดฉาดฉาน ที่กล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำ เพราะคนเป็นเมียไม่ได้มา หากว่าหล่อนมาด้วยแล้วไซร้ ใครเลยจะกล้าพูด นี่ก็มานิมนต์ท่านไปงานทำบุญวันเกิดเมีย

         “ก็ดีแล้วนี่ แสดงว่าโยมเป็นสามีที่ประเสริฐมาก ใครมีพ่อบ้านแบบนี้สบายไปเจ็ดชาติเลย” ท่านเจ้าของกุฏิชม

         “แต่ผมว่าไม่ดีนะครับหลวงพ่อ ผู้หญิงต้องเป็นแม่บ้านแม่เรือน ไม่ใช่ให้สามีมาทำให้กิน ผมยอมไม่ได้เด็ดขาด” พ่อบ้านผู้หนึ่งแสดงความคิดเห็น

         “ที่โยมว่ามานั้นมันก็ถูก แต่ถูกสำหรับคนรุ่นเก่า ที่ผู้ชายเป็นฝ่ายหาเลี้ยงครอบครัว ผู้หญิงอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน เป็นแม่บ้าน แต่สมัยนี้ ผู้หญิงต้องออกทำงานนอกบ้านเช่นเดียวกับผู้ชาย ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้ชายจะมาทำงานบ้านแทนผู้หญิงเขาบ้าง” โยมเห็นด้วยไหม” ท่านถามคนหุงข้าวให้เมียกิน

         “เห็นด้วยครับหลวงพ่อ แล้วแม่บ้านของผม เขาก็ทำงานหนักมาก กลางวันสอนโรงเรียนมัธยม เย็นสอนพิเศษที่บ้าน กลางคืนก็ต้องเขียนบทความส่งนิตยสาร เลยไม่มีเวลามาทำหน้าที่แม่บ้าน ผมไม่ชอบเอาเปรียบผู้หญิง แล้วผมก็ไม่ใช่คนขี้อิจฉาด้วย ผู้ชายบางคนนะครับ อิจฉาแม้กระทั่งเมียตัวเอง กลัวเมียจะสบาย เลยต้องแกล้งใช้ให้ทำงานอย่างกับทาส” เขาตั้งใจพูดแดกดันผู้ชายคนนั้น

         “คุณว่าใคร พูดยังงี้หมายความว่ายังไง” บุรุษนั้นมีโทสะ ท่าทางเขาบอกชัดว่า พร้อมจะเอาเรื่อง

         “ผมก็ว่าคนที่เป็นอย่างที่ผมว่า คุณมาเดือดร้อนอะไรด้วย อ๋อ หรือว่าคุณเป็นอย่างที่ผมว่า” อีกฝ่ายตั้งใจยั่วโทสะ บุรุษนั้นสุดจะทานทน เขาผุดลุกขึ้นยืมท่ามกลางความตระหนกตกใจของคนทั้งกุฏิ

         “พูดยังงี้มันต้องสั่งสอนกันหน่อยละ” คนพูดถลกแขนเสื้อขึ้น

         “ขอโทษนะครับ ผมขอร้องว่า อย่ามีเรื่องมีราวกันในวัดในวาเลยนะครับ อย่างน้อยก็นึกว่าเห็นแก่หลวงพ่อท่าน” อาจารย์ชิตเอ่ยห้าม บุรุษเจ้าโทสะจึงนั่งลง แต่ยังแสดงอาการฮึดฮัดอย่างไม่พึงพอใจ เห็นอีกฝ่ายเอาจริง คนไม่ชอบเอาเปรียบเมียจึงต้องนิ่ง ขืนมีเรื่องมีราวกัน ก็รังแต่จะนำความเดือดเนื้อร้อนใจมาให้คนเป็นเมีย

         “หลวงพ่อเจ้าคะ ทำบุญแทนกันได้ไหมเจ้าคะ” สตรีวัยกลางคนถาม

         “ทำแทนกันแบบไหนล่ะโยม”

         “คือยังงี้เจ้าค่ะ พ่อเด็กเขาเป็นคนไม่เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อิฉันก็เตือนเขา เขาก็ไม่เชื่อ อิฉันก็ขอร้องเขาว่า ยังไง ๆ ก็หยุดฆ่าวันพระสักวันก็ยังดี พอถึงวันพระ อิฉันก็บอกเขา เขาก็ถามว่า วันนี้วันพระกี่ค่ำ อิฉันบอกสิบห้าค่ำ เขาก็ว่า “ดีแล้ว วันนี้ข้าจะต้องฆ่ามันได้สิบห้าตัว” พูดจบเขาก็ไปตลาดไปซื้อปลาหมอเป็น ๆ มาสิบห้าตัว มาฆ่าต่อหน้าต่อตาอิฉัน”

         “แล้วโยมทำยังไงล่ะ”

         “อิฉันก็ไม่ทราบจะทำยังไงเจ้าค่ะ ก็ได้แต่สงสารเขา เวลาอิฉันทำบุญใส่บาตร อิฉันก็จะอุทิศส่วนกุศลให้เขา อธิษฐานว่า บุญทั้งหมดที่อิฉันทำอิฉันขอยกให้สามี ขออย่าให้เขาต้องตกนรกเลย แบบนี้ได้ไหมเจ้าคะ อิฉันทำบุญแทนเขาแบบนี้ได้หรือเปล่า เพราะอย่างอื่นเขาดีหมด เสียอยู่เรื่องเดียวนี่แหละเจ้าคะ”

         “ทำกรรมแทนกันไม่ได้หรอกโยม บุญนั้นก็คือกุศลกรรม ใครทำใครได้ การจะตกนรกหรือขึ้นสวรรค์ตัวเองต้องทำเอง คนอื่นจะมาทำแทนไม่ได้ ใครทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว”

         “แล้วอิฉันจะช่วยเขายังไงเจ้าคะ เขาถึงจะไม่บาป”

         “เรื่องอย่างนี้มันก็พูดยากนะโยม เรื่องบุญเรื่องบาปใครทำใครได้ อย่าว่าแต่คนธรรมดาอย่างเรา ๆ จะทำแทนกันไม่ได้เลย แม้แต่พระอรหันต์ท่านก็ยังทำแทนคนอื่นไม่ได้ อย่างเช่นเรื่องของพระเจ้าอโศกมหาราช พระองค์มีพระโอรสพระธิดาเป็นพระอรหันต์ คือ พระมหินท์ กับ นางภิกษุณีสังฆมิตตา แต่พระองค์ก็ยังไปเกิดเป็นงูเหลือม พระองค์เองก็ทำบุญไว้กับพระพุทธศาสนามาก แต่ทำไมถึงไปเกิดเป็นงูเหลือมโยมรู้ไหม”

         “ไม่ทราบเจ้าค่ะ”

         “เพราะโทสะ ตอนจะสวรรคตโกรธรัชทายาท คือตอนที่พระองค์ประชวรได้สั่งให้อำมาตย์นำพระราชทรัพย์มาบริจาคให้คนยากคนจน รัชทายาทก็ห้ามไม่ให้อำมาตย์ทำตาม บอกว่าพระองค์ทำบุญมากจนพระราชทรัพย์จะหมดพระคลังอยู่แล้ว อย่าทำอีกเลย พระองค์ก็ทรงพระพิโรธ คือโกรธรัชทายาทกระทั่งสิ้นพระชนม์ เมื่อดับจิตในขณะที่จิตเป็นอกุศล ก็เลยไปเกิดในทุคติ คือเกิดในกำเนิดเดรัจฉาน ไปเป็นงูเหลือม

         วันหนึ่งพระมหินท์ซึ่งตอนนั้นสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว พระองค์ก็อยากจะทราบว่า พระราชบิดาสวรรคตแล้วไปเกิดที่ไหน ก็ใช้ญาณตรวจสอบดู จึงได้ทรงทราบว่า พระราชบิดาไปเกิดเป็นงูเหลือม นี่เห็นไหม อบายน่ะ ไปง่ายเหลือเกิน เผลอสตินิดเดียวไปเกิดเป็นเดรัจฉานเสียแล้ว แล้วโยมรู้หรือเปล่าว่า ไปเกิดเป็นเดรัจฉานไม่ดียังไง”

         “ไม่ทราบเจ้าค่ะ”

         “ไม่ทราบอีกแล้ว แหม คนที่มาวัดนี้ ตอบเป็นอยู่อย่างเดียว “ไม่ทราบเจ้าค่ะ” ท่านเลียนแบบเสียงสตรีผู้นั้น

         “ก็อิฉันไม่ทราบจริง ๆ นี่เจ้าคะ” นางว่า

         “อ้อ ไม่ทราบจริง ๆ หรือเจ้าคะ อาตมานึกว่า แกล้งไม่ทราบเสียอีก” ท่านพูดยิ้ม ๆ คนอื่น ๆ พลอยยิ้มไปด้วย

         “เป็นเดรัจฉาน ไม่ดีตรงหมดโอกาสสร้างบุญกุศลน่ะโยม นอกจากนี้ ยังเป็นช่องทางให้ประกอบอกุศลกรรมได้ง่ายอีกด้วย เพราะตัวโมหะมันครอบงำ อย่างงูเหลือมตัวที่เคยเป็นพระเจ้าอโศกนั้น ตอนที่พระมหินท์ท่านเล็งญาณไปทอดพระเนตร โยมรู้ไหมว่ากำลังทำอะไรอยู่

         “ไม่ทราบเจ้าค่ะ”

         “ไม่ทราบอีกแล้ว ถ้าอย่างนี้มีอะไรบ้างที่โยมทราบน่ะ ไหนบอกอาตมาซิว่า โยมทราบอะไรบ้างเจ้าคะ”

         “ทราบว่าหลวงพ่อใจดีเจ้าค่ะ มาวัดนี้แล้วสบายใจ แล้วอาหารก็อร่อย แถมหลวงพ่อไม่เคยบอกบุญเรี่ยไรเงินอีกด้วย ใครมีศรัทธาจะทำก็ทำ ใครไม่ทำ หลวงพ่อก็ไม่ว่า ไม่เหมือนบางวัดที่พอไปถึง ยังไม่ทันจะนั่ง สมภารก็แจกใบฎีกาเสียแล้ว” คราวนี้คนไม่ทราบ สาธยายเสียยืดยาว

         “โอ้โฮ ทราบเยอะเหมือนกันนี่ แหม อาตมานึกว่าไม่ทราบอะไร” ท่านสัพยอก สตรีนั้นยิ้มเบิกบานกับคำชม

         “ตกลงงูเหลือมพระเจ้าอโศกกำลังทำอะไรอยู่เจ้าคะ” นางไม่ลืมที่จะทวงคำถาม

         “ก็ทำบาปน่ะซี ทำยังไงรู้ไหม อ้อ ไม่ต้องตอบก็ได้ เพราะอาตมารู้แล้วว่า โยมจะตอบยังไง งูเหลือมตัวนั้น กำลังวิดน้ำ วิธีวิดน้ำของเขาก็คือ เอาหัวพาดต้นไม้ต้นหนึ่ง หางพาดอีกต้นหนึ่ง แล้วเอาลำตัววิดน้ำ วิดน้ำทำไมรู้ไหม โยมลองตอบซิ” ท่านถามสตรีที่ถูกสามีตี

         “ไม่ทราบค่ะ”

         “จะกินปลา ก็หนองน้ำมันมีปลา เขาก็อยากจะกินปลา แล้วก็ฉลาดเสียด้วย แต่ฉลาดในทางที่ผิด เพราะเป็นเดรัจฉาน จะไม่รู้เรื่องบาปบุญคุณโทษ”

         “หลวงพ่อครับ หลวงพ่อเคยเทศน์บนศาลาการเปรียญ วันที่เท่าไหร่ เดือนอะไร ผมก็จำไม่ได้เสียแล้ว แต่ที่จำได้คือ หลวงพ่อเทศน์ว่า คนที่ตายขณะที่จิตมีโทสะ จะไปเกิดเป็นสัตว์นรก ถ้ามีโลภะ จะไปเกิดเป็นเปรต หรือ อสุรกาย แต่ถ้ามีโมหะ จะไปเกิดเป็นเดรัจฉาน แต่ทำไมพระเจ้าอโศกจึงไปเกิดเป็นงูเหลือม ทั้งที่ตอนดับจิต พระองค์โกรธรัชทายาท” บุรุษผู้หนึ่งถาม

         “เรื่องนี้มันลึกซึ้งนะโยม เรื่องของจิตนี่ลึกซึ้งมาก แต่อย่างไรก็ตาม คนที่กำลังจะตายนั้น ถ้าจิตเขาเป็นอกุศล เขาจะไม่รู้ตัวเลยว่า ขณะนั้นจิตของเขามีโลภะ หรือ โทสะ หรือ โมหะ แต่เท่าที่อาตมาวิจัยนะ อาตมาว่ามีทั้งสามตัวนั่นแหละ เพียงแต่ว่าตัวไหนจะมากกว่าอีกสองตัว ถ้าดับจิตขณะที่ตัวไหนมีดีกรีสูง ก็จะไปเกิดตามกรรมนั้น

         ในกรณีของพระเจ้าอโศก แม้พระองค์มีโทสะอยู่ก็จริง แต่ก็เป็นโทสะที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของโมหะ โมหะซึ่งมีกำลังแรงกว่า จึงส่งผลให้ไปอุบัติในกำเนิดเดรัจฉาน เห็นหรือยังว่า แม้พระองค์จะทรงสร้างคุณประโยชน์ใหญ่หลวงให้กับพระศาสนา แต่เมื่อถึงเวลาละโลกนี้ไป ก็ยังต้องไปเกิดในทุคติ นับประสาอะไรกับคนที่ไม่เคยสร้างคุณความดีเลย ขอให้ญาติโยมเก็บไปคิดเป็นการบ้านนะ”

            “ตกลง อิฉันไม่มีทางช่วยพ่อเด็กเขาได้เลยหรือเจ้าคะ” หน้าตาและท่าทางคนถามบ่งบอกว่าทุกข์ร้อน

         “ถ้าจะช่วยได้ โยมก็ต้องสวดมนต์ให้มาก ๆ แล้วอธิษฐานขอให้ส่วนกุศลที่โยมทำ ช่วยให้เขาเลิกทำปาณาติบาต ส่วนเขาจะเลิกได้หรือไม่ได้ ก็ขึ้นอยู่กับกรรมของเขา”

         “ต้องให้เขาสวดด้วยไหมเจ้าคะ”

         “ไม่ต้องหรอก เพราะจะไปบอกยังไง ๆ เขาก็ไม่ยอมทำ เพราะเขาไม่เชื่อ คนเราลงไม่มีศรัทธาเสียแล้ว ก็เลิกพูดกัน”

         “งั้นก็แปลว่า ถึงแม้อิฉันจะสวดมนต์ แต่ก็ไม่อาจช่วยเขาได้ยังงั้นหรือเจ้าคะ” นางรู้สึกสับสน

         “ได้สิ ได้ในแง่ที่ว่า เมื่อโยมสวดมนต์มาก ๆ โยมก็จะรู้ว่า เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา นั้นมันมีขอบเขตแค่ไหน เพียงใด แล้วโยมก็จะวางใจให้เป็นอุเบกขาได้ เขาก็จะไม่เป็นสาเหตุทำให้โยมทุกข์อีกต่อไป ยังไงล่ะ”

         “หลวงพ่อยิ่งพูด อิฉันยิ่งงง เจ้าค่ะ”

         “ทำไมจะไม่งงล่ะ ก็ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ได้มีไว้ให้พูดกันเฉย ๆ แต่มีไว้ให้ปฏิบัติ แล้วก็จะหายงงไปเอง ขอให้เชื่ออาตมาสักครั้ง เชื่อประเทศไทยสักครั้ง”

 

            มีต่อ........๖๘