สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๖๘

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

ธันวาคม ๒๕๓๗

S00068

๖๘...

         เจ้าทุกข์รายต่อมาเป็นคู่สามีภรรยาวัยสี่สิบเศษ ใบหน้าของบุคคลทั้งสองดูหมดอาลัยตายอยากในชีวิต กราบท่านพระครูแล้ว คนเป็นเมียก็เอ่ยขึ้นว่า

         “หลวงพ่อช่วยทิดบวบเขาด้วยเถิดจ้ะ”

         “ช่วยอีกแล้ว แหม ใคร ๆ มาก็จะให้ช่วยทั้งนั้น ไม่มีสักรายที่จะมาบอกว่า “หลวงพ่อเจ้าคะ ดิฉันจะมาช่วยหลวงพ่อเจ้าค่ะ มีอะไรให้ดิฉันช่วยบ้างเจ้าคะ” ท่านพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน ลอยหน้าลอยตาเสร็จสรรพ เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศเคร่งเครียดให้เป็นครึกครื้นมีชีวิตชีวา คนอื่น ๆ พากันหัวเราะในมุขตลกของท่าน แต่สองผัวเมียหัวเราะไม่ออก เพราะความทุกข์ท่วมท้นทับอกอยู่

            “เอาละ โยมมีอะไรก็ว่าไปเลย อาตมาช่วยได้ก็จะช่วย”

            “แกเล่าแหละดีแล้ว ข้าใจคอไม่ดี เล่าไม่ถูก” ตาผัวว่า

         “มัวเกี่ยงกันอยู่นั่นแหละ เอาละใครเป็นต้นเหตุของเรื่อง ก็ให้คนนั้นเล่า” ท่านพระครูตัดสิน

         “ทิดบวบจ้ะหลวงพ่อ ตานี่แหละเป็นตัวต้นเหตุ ทำให้พี่น้องลูกหลานฉันพลอดเดือดร้อนไปหมด” คนเป็นเมียถือโอกาส “ฟ้อง”

         “เอ้า งั้นโยมบวบก็เล่าไปว่า ต้นสายปลายเหตุมันเป็นยังไง” นายบวบจึงเล่าว่า

         “คือยังงี้ครับหลวงพ่อ ผมถูกเขาใส่ร้ายว่าไปเผาไร่เขา คือผมมีอาชีพทำไร่ เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ผมก็ไปเผาไร่ เผาเสร็จ ผมก็ตรวจตราดูไฟมันดับเรียบร้อยแล้ว ผมก็กลับเข้าบ้าน พักใหญ่ ๆ ไร่ที่ติดกับไร่ผม เขาถูกไฟไหม้ เป็นไร่อ้อย ผมก็ไปช่วยเขาดับ แต่ช่วยไม่ไหว เพราะไฟมันลามมาทุกทิศเลย ในที่สุดมันก็ไหม้หมดทั้งแปลงเลยครับ”

         “แล้วยังไง เราไปช่วยเขาดับก็ดีแล้วนี่นา”

         “ครับ แต่เขามาโทษครับ มาโทษว่า ไฟจากไร่ผมลามไปไหม้ไร่เขา มีพยานรู้เห็นหลายคน เขามาบอกผมว่าไฟมันไหม้มาจากทิศทางที่ตรงข้ามกับไร่ผม เจ้าของเขาเจตนาเผาไร่ตัวเองแล้วโยนความผิดมาให้ผม” เรื่องนี้จำเป็นที่จะต้องใช้ “เห็นหนอ” เข้าตรวจสอบ จะได้รู้ว่าใครผิดใครถูกกันแน่

         “อ้าว นี่โยมไปทำให้เขาโกรธนี่ เขาก็เลยใส่ร้ายเอาน่ะซี”

         “ทำให้เขาโกรธยังไงครับ” นายบวบไม่เข้าใจ

         “ก็เขาเจตนาจะเผ่าไร่เพื่อเอาเงินค่าประกัน แล้วโยมอุตส่าห์ไปดับของเขา เขาก็โกรธน่ะซี เรื่องมันยุ่งเสียแล้วละ”

         “ครับ ยุ่งมากเลยครับ พอเขากล่าวหา เขาก็เขียนหนังสือขึ้นฉบับหนึ่งให้ผมเซ็นรับว่าเป็นคนเผ่าไร่เขาจริง และเขาเรียกค่าเสียหายสองหมื่นบาท”

         “แล้วโยมก็เซ็นให้เขาไปเรียบร้อย”

         “ครับ”

         “แหม ฉลาดจริง ๆ ฉลาดในการหาเรื่องเดือดร้อนมาให้ตัวเองและลูกเมีย”

         “นั่นซีจ๊ะหลวงพ่อ ผัวฉันมันฉลาดยังกะควาย นี่ไม่ได้หาเรื่องเดือดร้อนมาให้ลูกเมียเท่านั้น พี่น้องฉันก็พลอยเดือดร้อนไปด้วย เขาจับไปขังคุกไว้คืนนึง หลานฉันต้องเอาที่ดินไปประกันถึงได้ออกมานั่งอยู่ที่นี่ได้” นางบัวผันพูดอย่างคั่งแค้น แค้นทั้งฝ่ายโจทก์ ทั้งฝ่ายผัวตัวดีนั่นแหละ

         “หลวงพ่อพอจะมีทางช่วยผมบ้างไหมครับ นี่เขาก็ฟ้องทั้งทางอาญาและทางแพ่ง ผมไม่อยากติดคุกเลย แค่ไปอยู่ในห้องขังคืนเดียว ผมยังแทบบ้า”

         “แล้วพวกพยานเขาทำไมไม่มาเป็นพยานให้”

         “เขาไม่กล้าครับ เพราะเจ้าของไร่เป็นคนมีอิทธิพล ไม่มีใครกล้ามาเป็นพยานให้ผมหรอกครับ”

         “งั้นก็เห็นจะลำบากเสียแล้ว” ได้ยินท่านพูด นายบวบถึงกับน้ำตาตก

         “หลวงพ่อไม่มีทางช่วยผมเลยหรือครับ” เขาอ้อนวอนเสียงเครือ

         “หนักใจ เรื่องนี้อาตมาหนักใจจริง ๆ ก็โยมไปผูกไว้เสียแน่นแล้วจะมาให้อาตมาแก้ เรียนผูกแล้วก็ควรจะเรียนแก้ด้วยตัวเอง มันถึงจะถูก” ท่านเจ้าของกุฏิพูดอย่างอ่อนใจ

         “หลวงพ่อกรุณาผมด้วยเถิดครับ จะให้ผมทำอะไร ผมยอมทั้งนั้น ขออย่างเดียว อย่าให้ผมไปติดคุกเลย ผมกราบละครับ” เขาก้มลงกราบด้วยทีท่าน่าสงสาร

         “เอาละ ทางเดียวที่พอจะช่วยได้ ก็คือให้โยมสองคนพากันมาเข้ากรรมฐานสักเจ็ดวัน ทำได้ไหมล่ะ” ท่านเสนอวิธีดีที่สุดให้

         “ผมคงมาไม่ได้หรอกครับหลวงพ่อ เพราะผมต้องทำไร่ นี่ก็จะเริ่มไถแล้ว พอฝนลงก็จะหยอดข้าวโพด” สามีนางบัวผันว่า ท่านพระครูรู้สึกสมเพชเวทนาบุรุษตรงหน้าเสียนัก จึงถามเขาว่า

         “แล้วถ้าโยมไปติดคุกล่ะ โยมจะมีโอกาสมาทำไร่ไหม อาตมาขอถามหน่อยเถอะ”

         “ไม่มีครับ ผมถึงมาขอความเมตตาหลวงพ่อให้ช่วยไงครับ โปรดช่วยอย่าให้ผมต้องติดคุกเลย” คนที่เมียยกย่องว่าฉลาดเหมือนควายชี้แจง

         “โยม” ท่านเจ้าของกุฏิเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แสนสุดระอา “ทำกรรมแทนกันไม่ได้หรอกนะ แล้วรับผลแทนกันก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน เรื่องนี้โยมเป็นคนทำขึ้น โยมก็ต้องรับผล นี่อาตมาก็เสนอแนวทางที่ดีที่สุดให้แล้ว ถ้าโยมทำไม่ได้ อาตมารับรองว่าติดคุกแน่ เลือกเอาก็แล้วกันว่า ระหว่างติดคุกกับเข้ากรรมฐาน โยมจะเลือกอย่างไหน”

         “เลือกมาเข้ากรรมฐานครับ” คนตอบไม่รั้งรอ เข็ดเสียนักกับการนอนในคุก

         “หลวงพ่อครับ ทำไมผมถึงโชคร้ายอย่างนี้ครับ ผมหากินในทางสุจริตไม่เคยคดโกงใคร แต่ผมก็ต้องมาถูกใส่ร้าย ส่วนเจ้าคนที่มันใส่ร้ายผม มันหากินในทางทุจริต คนโกง เป็นชู้กับลูกเมียคนอื่น แต่มันกลับมั่งมีศรีสุขร่ำรวยเงินทองมหาศาล ขณะที่ผมจนลง ๆ แบบนี้ไม่เรียกว่า ทำดีได้ชั่ว ทำชั่วได้ดีหรือครับ” นายบวบพูดอย่างคนที่มองโลกในแง่ร้าย บวกกับความโง่เขลาเบาปัญญา

         “โยมอย่าไปคิดว่า ความดีคือความรวย ความจนคือความชั่วสิ เพราะมันคนละเรื่องกัน อาตมาขอยืนยันว่า ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว คนทุกวันนี้ ให้ค่าทางวัตถุมากกว่าทางจิตใจ อะไร ๆ ก็วัดกันด้วยวัตถุ แม้แต่ความดี ความชั่ว คนดีก็คือคนรวย คนชั่วก็คือคนจนใช่ไหม เดี๋ยวนี้คนเขาคิดกันอย่างนี้ใช่ไหม”

            “ครับ คนส่วนใหญ่คิดอย่างนี้” คนไม่อยากติดคุกตอบ

         “นี่แหละ ๆ สังคมทุกวันนี้ถึงได้สับสนวุ่นวาย ก็เพราะคนพากันยึดถือค่านิยมผิด ๆ อย่างนี้ แล้วคนที่ยอมลดตัวลงไปเป็นทาสของเงิน ยอมทำบาปทำชั่วเพราะเงินตัวเดียว อาตมาเห็นแล้วก็ให้รู้สึกสะท้อนสะเทือนในหัวใจ

         แต่โยมเชื่อไหมล่ะ เวลาที่กฎแห่งกรรมมาให้ผล เงินทองก็ช่วยอะไรไม่ได้ จริงอยู่ เราอาจจะเห็นว่า เงินทองมันสามารถซื้ออะไรได้เกือบทุกอย่าง ซื้อแม้กระทั่งคนบางคน แต่มันก็จะเป็นอย่างนี้เฉพาะในโลกมนุษย์เท่านั้น สำหรับปรโลก เงินทองไม่มีความหมายเลย คนที่ทำความชั่วจะต้องตกนรก ถึงจะเอาเงินสักสิบล้านไปจ้างยมบาลไม่ให้ลงโทษ เขาก็ไม่รับจ้าง เพราะเงินไม่มีความหมายสำหรับเขา

         ฉะนั้นโยมไม่ต้องน้อยอกน้อยใจว่า เราทำความดี แต่ทำไมถึงจน คนทุกความชั่วกลับร่ำรวย แล้วก็ไม่ต้องไปอิจฉาคนชั่ว ไม่ต้องไปอิจฉา กฎแห่งกรรมทำหน้าที่เมื่อไรเมื่อนั้นเขาก็จะรู้ละว่า ทำชั่วต้องได้ชั่ว”

            “ครับ ฟังหลวงพ่อแล้ว ผมสบายใจขึ้นมากเลยครับ ถ้าเช่นนั้นผมกับแม่บ้านขอกราบลา พรุ่งนี้จะมาเข้ากรรมฐานนะครับ”

         “เจริญพร ขอให้โยมจงหมดเคราะห์หมดโศก แล้วก็อย่าเปลี่ยนใจเสียล่ะ ถ้าไม่มาเข้ากรรมฐาน อาตมารับรองว่า ต้องติดคุกแน่”

         “ครับ เป็นตายยังไงผมต้องมาแน่ ขอกลับไปเอาเสื้อผ้าก่อนนะครับ” คนทั้งสองกราบลาท่านพระครูแล้วลุกออกไป หน้าตาดูสดชื่นขึ้นเพราะมีความหวัง

         “หลวงพ่อเจ้าคะ อิฉันไม่อยากจะพูดว่า ขอให้หลวงพ่อช่วย แต่อิฉันก็ไม่อยากมุสา เพราะที่มานั่งรอคิวตั้งแต่เช้านี่ ก็เพื่อมาให้ท่านช่วยเจ้าค่ะ” สตรีวัยห้าสิบอารัมภบท

         “จะให้ช่วยอะไรล่ะโยม เอาเถอะว่าไปเลย ไม่ต้องเกรงใจ เพราะถ้าเกรงใจ โยมก็คงไม่มาใช่ไหม”

         “แหม หลวงพ่อพูดแบบนี้ คนฟังก๊อสะดุ้งแย่ เขาเรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกทั้งฝูง” สตรีหน้าตาจิ้มลิ้มผู้หนึ่งต่อว่า

         “ก็หรือโยมว่าอาตมาพูดไม่จริงล่ะ ที่อาตมาพูดนั้นไม่จริงใช่ไหม” ท่านถามยิ้ม ๆ

         “จริงค่ะ แต่เป็นความจริงที่เสียดแทงใจคนฟัง หลวงพ่อไม่น่าพูดตรง ๆ อย่างนี้” หญิงสาวตัดพ้อ

         “ก็อาตมาเป็นคนตรง จึงต้องพูดตรง ๆ อ้อมค้อมกับใครเขาไม่เป็น เอาละ โยมมีอะไรก็ว่าไป” ท่านบอกสตรีวัยห้าสิบ

         “คือยังงี้เจ้าค่ะหลวงพ่อ อิฉันแสนจะอึดอัดกลัดกลุ้ม ชีวิตหาความสุขสงบไม่ได้เลย บ้านก็ขัด วัดก็ขูด พูดไม่ออกเจ้าค่ะ”

         “โอ้โฮ ขนาดพูดไม่ออก ยังพูดได้คล้องจองกันถึงปานนี้” ท่านเจ้าของกุฏิออกปากชม “ไหนว่าวัดขูดน่ะ เป็นยังไง ลองอธิบายให้อาตมาฟังซิ”

         “เป็นยังงี้เจ้าค่ะ คือว่า อิฉันมีอาชีพทำนา บ้านอยู่อ่างทอง รายได้ก็ไม่แน่ไม่นอน เพราะเดี๋ยวแล้งเดี๋ยวน้ำท่วม ความเป็นอยู่ค่อนข้างขัดสน ทีนี้สมภารข้างบ้านมาเรี่ยไร บอกปีนี้ขอเรี่ยไรสร้างโบสถ์ห้าพัน อิฉันกับพ่อเด็กก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็ผลัดท่านว่า รอให้เก็บเกี่ยวขายข้าวได้แล้วค่อยให้ พออิฉันขายข้าวเสร็จท่านก็มาทวงทันที แต่ทีนี้มันยังงี้ซีเจ้าคะหลวงพ่อ” นางหยุดเล่าด้วยเกิดความรู้สึกลังเล เพราะเรื่องที่จะเล่านั้นเกี่ยวกันไปถึงคนเป็นพระ หากพระท่านเข้าข้างกัน นางนั่นแหละจะเดือดร้อน

         “มันยังงี้น่ะยังไง ว่าต่อไปซีโยม”

         “ฉันชักไม่กล้าเล่าแล้วละเจ้าค่ะ ดีไม่ดี หลวงพ่อจะพลอยโกรธฉันไปด้วย” คนเล่าพูดออกตัว

         “รับรอง อาตมาไม่โกรธ อาตมาเลิกโกรธมาหลายปีแล้ว โยมจะพูดอะไรพูดได้เลย” เมื่อท่านพูดเช่นนี้ นางจึงเล่าต่อไปว่า

         “คือปีนี้อิฉันขายข้าวได้แค่สองหมื่น ก็ใช้หนี้สินเขาไปหมื่นนึง เหลืออีกหมื่นนึง ก็ต้องเก็บไว้ทำทุนสำหรับปีต่อไป ถ้าเอาไปทำบุญเสียห้าพัน อิฉันกับครอบครัวก็จะต้องลำบาก อิฉันก็เลยต้องต่อรองท่านว่าขอทำสองพันจะได้หรือไม่”

         “แล้วท่านว่ายังไง”

         “ท่านไม่ยอมเจ้าค่ะ ท่านบอกพูดก็ต้องเป็นพูด โกหกพระโกหกเจ้าจะต้องตกนรก อิฉันก็กลุ้มใจ กลัวตกนรกเจ้าค่ะ หลวงพ่อช่วยบอกอิฉันทีว่าจะทำยังไง”

         “แล้วโยมคิดว่า จะทำยังไงล่ะ” ท่านเจ้าของกุฏิย้อนถาม

         “อิฉันก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงซีเจ้าคะ ถึงได้มาเรียนถามหลวงพ่อ อิฉันจะทำยังงี้ได้ไหมเจ้าคะ”

         “ทำยังไง โยมว่าไปสิ อาตมากำลังฟัง”

         “ก็จะมาขอยืมหลวงพ่อสักห้าพันไปถวายสมภารท่าน ปีหน้าฟ้าใหม่ หากอิฉันเงยหน้าอ้าปากได้ ก็จะเอามาใช้เจ้าค่ะ”

         “แปลว่า จะมายืมเงินวัดนี้ ไปทำบุญวัดโน้น ว่างั้นเถอะ”

         “เจ้าค่ะ”

         “แหม โยมนี่เข้าใจแก้ปัญหานะ แก้ปัญหาได้แจ๋วเลย” ท่านตั้งใจประชด แต่คนฟังกลับคิดว่าท่านพูดจริงจึงถาม

         “แปลว่า หลวงพ่อจะให้อิฉันยืมใช่ไหมคะ”

         “อาตมายังไม่ได้พูดยังงั้น โยมอย่าเพิ่งเข้าใจผิด” ท่านรีบบอก

         “หรือว่าหลวงพ่อกลัวอิฉันจะโกง ไม่โกงแน่เจ้าค่ะ อิฉันเตรียมโฉนดที่นามาให้หลวงพ่อด้วย” พูดพลางหยิบโฉนดออกมาจากถุงกระดาษ

         “เอาละ ๆ ขอให้อาตมาพูดบ้าง โยมฟังนะ อาตมาไม่ได้มีอาชีพออกเงินให้กู้ เพราะอาตมาเป็นสงฆ์ ย่อมไม่เป็นการสมควรที่จะประกอบธุรกิจเช่นนั้น ถึงโยมจะเคยเห็นพระวัดอื่นเขาทำกัน แต่สำหรับอาตมาไม่เคยคิดจะทำ เคยมีบ้างเหมือนกันที่อาตมาให้ญาติโยมยืมเงิน แต่ก็ไม่ได้คิดดอกเบี้ย เพียงแต่จะช่วยสงเคราะห์ยามที่เขาเดือดร้อน แต่ในรายของโยม อาตมาไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องให้ยืม เพราะโยมไม่ได้เดือดร้อนอะไร

         การจะยืมเงินคนอื่นไปทำบุญนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง แล้วโยมก็จะไม่ได้บุญอีกด้วย ญาติโยมทั้งหลายโปรดจำไว้ การทำบุญชนิดที่เรียกว่า “เมาบุญ” นั้นไม่ได้บุญแน่นอน เราต้องทำตามกำลังศรัทธาและกำลังทรัพย์ที่เรามีอยู่ หากทำแล้วตัวเองต้องเดือดร้อน จะไปได้บุญอะไรจริงไหม”

         “จริงครับ” บุรุษผู้หนึ่งตอบ แล้วเขาก็ถามอีกว่า

         “แล้วสมภารวัดนั้นจะได้บุญหรือครับหลวงพ่อ บังคับให้คนอื่นเขาทำบุญ ผมว่าไม่น่าจะได้บุญ”

         “ไม่ได้แน่นอน เพราะเท่ากับทำให้เขาเดือดร้อน อย่างน้อย ๆ ก็ทำให้เขาทุกข์ใจ จริงไหมโยม” ท่านถามเจ้าของเรื่อง

         “จริงเจ้าค่ะ อิฉันนอนไม่หลับมาหลายวัน ถึงได้ตัดสินใจมาหาหลวงพ่อ”

         “กลับไปนี่ก็หายกลุ้มนะ อย่าไปกลุ้ม เพราะมันไม่เกิดประโยชน์อะไร”

         “แล้วอิฉันจะไปบอกสมภารวัดนั้น ยังไงดีเจ้าคะ”

         “ก็บอกอย่างที่อาตมาพูดนี่แหละ แต่อย่าไปอ้างชื่ออาตมาล่ะ ประเดี๋ยวท่านจะมาโกรธอาตมาอีกคน บอกท่านไปว่า โยมมีศรัทธาแค่นี้ ก็จะทำเท่านี้แหละ รับก็รับ ไม่รับก็แล้วไป บอกอย่างนี้ไม่บาปหรอก แล้วก็ไม่ตกนรกด้วย”

         “จริงหรือเจ้าคะ แหมอิฉันโล่งใจจริง ๆ กลัวตกนรกน่ะเจ้าค่ะ เมื่อท่านบอกว่าไม่ตก อิฉันก็ดีใจ ถ้างั้นอิฉันกราบลานะเจ้าคะ”

         “เจริญพร ทีนี้โยมก็เลิกบ่นได้แล้วนะ ไม่ต้องไปบ่นว่า “บ้านก็ขัด วัดก็ขูด พูดไม่ออก” เพราะถ้าทางบ้านกำลังขัดสนแล้วทางวัดยังมาขูด โยมจะต้องพูด อย่าไปทำเป็นพูดไม่ออก แล้วก็เก็บมากลุ้มอกกลุ้มใจแบบนี้ เข้าใจหรือเปล่า”

         “เข้าใจเจ้าค่ะ ต่อไปนี้อิฉันจะกล้าพูดแล้วเจ้าค่ะ กราบลานะเจ้าคะ” สตรีวัยห้าสิบลุกออกไปแล้ว ก็ถึงคิวของบุรุษวัยหกสิบ

         “หลวงพ่อครับ ลูกชายคนเล็กผมไม่เอาถ่านเลยครับ ส่งไปเรียนหนังสือกรุงเทพฯ ก็ไม่เรียน ประพฤติตัวเกกมะเหรกเกเร ขอแต่เงิน หลวงพ่อช่วยหน่อยเถอะครับ” ท่านพระครูพิศใบหน้าของเขาแล้วรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

         “อายุเท่าไหร่แล้วล่ะ ลูกชายที่ว่านี่”

         “สิบแปดครับหลวงพ่อ” เขาตอบท่านเจ้าของกุฏิพยายามนึกว่าเคยรู้จักบุรุษผู้นี้ที่ไหน เมื่อไหร่ ครั้นนึกไม่ออกจึงจำต้องพึ่ง “เห็นหนอ” แล้วท่านจึงตั้งสติกำหนด เห็นหนอ ตาคนนี้เป็นใครกันหนอ เคยรู้จักกับเราเมื่อไหร่หนอ อ้อ! นึกออกแล้วหนอ ตาคนนี้เราเคยโกงค่าก๋วยเตี๋ยวแกสมัยที่เรายังเป็นเด็กหนอ นี่แกก็มาขอความช่วยเหลือ เราได้โอกาสชดใช้กรรมอีกแล้วหนอ”

            “พรุ่งนี้พามาหาอาตมา” ท่านสั่ง “เจ้ากรรมนายเวร” แล้วจึงถามเขาว่า “โยมมีอาชีพขายก๋วยเตี๋ยวใช่ไหม”

         “ครับหลวงพ่อ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้ขายแล้ว เลิกมาได้สักสิบปีเข้านี่แล้ว”

         “ทำไมเลิกเสียล่ะ”

         “มันขายไม่ค่อยดีครับ ผมเลยหันไปซื้อขวดมาขาย กำไรดีกว่ากันเยอะ”

         “อ้อ สมัยอาตมาเป็นเด็ก ก็เคยซื้อก๋วยเตี๋ยวโยมกินทุกวัน” ท่านเล่าความหลังต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ ท่านยังไม่บอกหรอกว่า เงินที่ใช้ซื้อนั้น ก็ขโมยของแกนั่นแหละมาซื้อ คือแอบไปขโมยเงินทางด้านหลังแล้วอ้อมมาซื้อทางด้านหน้า!

         “หรือครับ ตอนนั้นผมขายจานละเท่าไหร่ครับ” คนถามรู้สึกตื่นเต้น ที่ได้พบ “ลูกค้าเก่า”

         “จานละสองสตางค์”ถ้าใส่ไข่สามสตางค์

         “ก็หลายสิบปีแล้วนะซีครับ  ครั้งสุดท้าย ก่อนที่ผมจะเลิกขาย ราคาก็ขึ้นมาเป็นจานละห้าสิบสตางค์” การสนทนาระหว่างท่านพระครู กับอดีตพ่อค้าก๋วยเตี๋ยวผัดไทย ทำให้ผู้ที่นั่งฟังรู้สึกหิว แล้วเหมือนกับสวรรค์โปรด เมื่อท่านเจ้าของกุฏิ พูดขึ้นว่า

         “ได้เวลาอาหารกลางวันแล้ว ขอเชิญญาติโยมทุกท่านรับประทานอาหารกันให้อิ่มหนำสำราญเสียก่อน วันนี้แม่ครัวเขาทำก๋วยเตี๋ยวผัดไทยเลี้ยง” ที่ท่านทราบเพราะ “เห็นหนอ” บอก...

           

            มีต่อ........๖๙