สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - ๖๙

 

สุทัสสา อ่อนค้อม

ธันวาคม ๒๕๓๗

S00069

๖๙...

            เจ้าทุกข์รายแรกของช่วงบ่ายเป็นสตรีสาวสวยซึ่งมาด้วยกันสามคน คนที่มีท่าทางเป็นผู้นำรายงานว่า “พวกหนูมาจากวิทยาลัยครู...ค่ะ เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่นั่น” หล่อนออกชื่อวิทยาลัยครูแห่งหนึ่ง

            “อ้อ” เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงมองหน้าหล่อนทีละคนแล้วถาม “ชื่ออะไรกันบ้างล่ะ อาจารย์อะไรจ๊ะ”

            “หนูชื่อยุพาพร คนซ้ายมือชื่ออาจารย์กุลนที ส่วนคนขวามือชื่ออาจารย์กวิศญา คนนี้เพิ่งบรรจุค่ะ คนเป็นผู้นำพูดเสียงดังฟังชัด

            แล้วรู้จักวัดนี้ได้ยังไง ทำไมถึงมาถูกล่ะจ๊ะ”

            “คุณแม่หนูเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อค่ะ เคยมาเข้ากรรมฐานหลายครั้ง คุณแม่เป็นคนบอกทางให้ค่ะ ลูกสาวของลูกศิษย์ท่านพระครูตอบ

            “ยังงั้นหรอกหรือ คุณแม่ชื่ออะไรล่ะจ๊ะ”

            “ชื่อสอาดค่ะ หลวงพ่อจำได้หรือเปล่าคะ คุณแม่หนูสวย ผิวขาว ไม่ดำอย่างหนูหรอกค่ะ” คนชื่อกวิศญาพูดเสียงแจ๋ว ๆ

         “แล้วทำไมอาจารย์ถึงไม่ขาวเหมือนคุณแม่ล่ะ หรือว่าคุณพ่อผิวคล้ำ” ท่านเลี่ยงมาใช้คำว่า “คล้ำ” แทน “ดำ”

            “คุณพ่อก็ขาวค่ะ พี่น้องสามคนก็ผิวขาดหมด มีหนูดำอยู่คนเดียว เพราะตอนหนูอยู่ในท้องคุณแม่ คุณพ่อไปติเพื่อนบ้านคนนึง ชื่อนายหละ ติเขาได้ทุกวันว่า “ตาคนนี้ยิ้มเห็นแต่ฟัน” หนูออกมาก็เลยดำเหมือนตาหละค่ะ คุณแม่โกรธคุณพ่อมากเลย ทำไมคุณพ่อว่าคนอื่นแล้วกรรมต้องมาตกที่ลูกตัวด้วยล่ะคะ” หล่อนถาม

            “เขาเรียกว่า “กรรมจัดสรร” คนโบราณเขาถึงได้สอนเอาไว้ว่า เวลาท้องอย่าเที่ยวไปติใคร เหมือนคนที่อาตมารู้จัก แกไปติลูกของเพื่อนบ้านว่าปากแหว่ง พอแกคลอดลูกออกมา โอ้โฮ ปากแหว่งเหมือนลูกของเพื่อนบ้านเปี๊ยบเลย”

            “ถ้าอย่างนั้นเวลากำลังท้องต้องชมว่าเขาสวยใช่ไหมคะ” อาจารย์สาววัยยี่สิบเอ็ดบอกสองเรียนถาม

            “ก็ควรจะเป็นอย่างนั้น แต่ก็ไม่ใช่หลับหูหลับตาชมนะ เดี๋ยวไปเห็นคนปากแหว่ง ตาเหล่ แล้วไปชมเขาว่าสวย ลูกออกมาก็เลยสวยอย่างนั้นบ้าง” คำพูดของท่านเรียกเสียงหัวเราะจากคนทั้งกุฏิ “อ้าว นี่พูดจริง ๆ นา อย่าทำเป็นหัวเราะ”

         “จริงค่ะหลวงพ่อ หนูก็เคยเห็นมาแล้ว ที่หน้าวิทยาลัยหนู มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง อาชีพขายถ่าน ตัวดำทั้งคู่ แต่ลูกสาวแกสวยมาก ผิวขาวยังกับหยวก คนเขาสงสัยก็พากันไปถามแก แกก็เล่าให้ฟังว่า ตอนแกตั้งท้อง แกเอารูปนางงามมาติดไว้ข้างฝา แล้วก็ดูทุกวันวันละ ๔ เวลาหลังอาหารและก่อนนอน พอลูกแกออกมาก็เลยหน้าตาเหมือนนางงามในรูป เมื่องานฤดูหนาวที่ผ่านมา เขามีการประกวดนางงามประจำจังหวัด ลูกสาวแกได้ที่หนึ่งค่ะ” อาจารย์กุลนทีเป็นคนเล่า ท่านเจ้าของกุฏิจึงสรุปให้ญาติโยมฟังว่า

         “ที่พูดมานี่ไม่ใช่เรื่องเหลวไหลไร้สาระนะ ญาติโยมโปรดจำไว้ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม นั้นมีผล มีวิบาก กฎแห่งกรราทำหน้าที่ของมันตลอดเวลา เพียงแต่ว่ามันจะปรากฏให้เห็นเร็วหรือช้าเท่านั้น เพราะฉะนั้น ถ้าใครกลัวทุกข์ ก็จงทำ จงพูด จงคิด แต่ในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม เอาละ แล้วอาจารย์ทั้งสามมีอะไรจะให้อาตมาช่วยหรือเปล่า” ท่านเปิดโอกาสให้สตรีทั้งสาม

         “อาจารย์กวิศญาเขามีปัญหาค่ะหลวงพ่อ” อาจารย์ยุพาพรช่วยเกริ่นให้

         “ว่าไปเลยจ้ะ อาจารย์ว่าไปเลย” ท่านเจ้าของกุฏิกล่าวอนุญาต

         “ให้พี่กุลนทีเล่าดีกว่าค่ะ เพราะเขาเป็นคนทำให้ปัญหาเกิดขึ้น” คนมีปัญหาเกี่ยงเพื่อน

         “ไม่ต้องเกี่ยงกัน เอาละ อาตมาจะเป็นคนตัดสินเอง ในฐานะที่อาจารย์ยุพาพรไม่ใช่คู่กรณี อาจารย์ลองเล่าไปตามความเป็นจริงก็แล้วกัน” เมื่อท่านพูดมาอย่างนี้ อาจารย์สาวจึงจำต้องเล่า

         “เรื่องเป็นอย่างนี้ค่ะหลวงพ่อ อาจารย์กวิศญาเขามาอยู่บ้านเดียวกับหนู เพราะยังไม่ได้บ้าน บ้านพักอาจารย์มีจำกัดค่ะ คนที่บรรจุใหม่จึงต้องรอ หากมีการโยกย้ายหรือมีการแต่งงานระหว่างอาจารย์ด้วยกัน คู่แต่งงานก็ต้องย้ายมาอยู่บ้านหลังเดียวกัน ก็จะมีบ้านว่างหนึ่งหลัง ทางวิทยาลัยก็จะจัดการว่าใครควรจะได้บ้านก่อนใคร

         ระหว่างที่รอบ้าน หนูจึงชวนเขามาอยู่ด้วย ก็อยู่กันสบาย ๆ ไม่มีปัญหาอะไร มาเมื่อสองวันก่อน อาจารย์กวิศญาเขาอยากกินมะม่วงน้ำปลาหวาน เขาก็โขลกกุ้งแห้งเป็นการใหญ่ แล้วจะเป็นเพราะเขาหิวมากหรือเขาแรงมากก็ไม่ทราบ คุณเธอโขลกเสียครกบ้านหนูแตกออกเป็นสองกระบิเลยค่ะ หนูก็บอกเขาว่าไม่เป็นไร แตกก็ซื้อใหม่ได้ ที่ตลาดมีเป็นพะเรอเกวียน เขาก็บอกจะไปซื้อมาใช้ พอดีอาจารย์กุลนทีมาเห็นเข้าเธอตกใจใหญ่ บอกว่าคนทางบ้านเธอเขาถือกันมาก ใครตำน้ำพริกจนครกแตก แสดงว่าคน ๆ นั้นกำลังมีเคราะห์จะต้องสะเดาะเคราะห์ด้วยการอุ้มครกที่แตกนั้นวิ่งรอบบ้านเจ็ดรอบ” อาจารย์สาวพูดเสียงดังฟังชัด

         “อ้อ ทางบ้านอาจารย์ คนเขาถือกันอย่างนี้หรือ” ท่านถามอาจารย์กุลนที

         “ค่ะ”

         “แล้วอาจารย์เชื่อเขาหรือเปล่า” ท่านถามคนทำครกแตก

         “เชื่อเหมือนกันค่ะหลวงพ่อ ก็อยากจะสะเดาะเคราะห์อย่างที่เขาว่า แต่หนูไม่กล้าค่ะ”

         “ทำไมถึงไม่กล้าล่ะ” อาจารย์ยุพาพรตอบแทนว่า

         “เพราะไม่ได้อุ้มครกวิ่งอย่างเดียวค่ะ แต่ต้อง...ต้อง...”

         “ต้องเปลือยกายวิ่งด้วยค่ะ คนเล่า เอามือปิดปากหัวเราะกิ๊ก ๆ คนฟังพากันหัวเราะครืน

         “โอ้โฮ ถึงขนาดนั้นเชียวหรือ” ท่านเจ้าของกุฏิถาม เจ้าของปัญหาจึงว่า

         “นี่แหละค่ะ คือปัญหาของหนู หลวงพ่อช่วยหนูด้วยนะคะ คนมีเคราะห์อ้อนวอน ท่านพระครูส่ายหน้าช้า ๆ แล้ววิจารณ์ซึ่ง ๆ หน้า

         “อาตมาฟังแล้วไม่รู้จะร้องเพลงอะไรดี”

         “เป็นพระร้องเพลงได้หรือคะ” อาจารย์กุลนทีถามซื่อ ๆ คราวนี้ท่านพระครูรู้สึกอยากร้องไห้ นั่งปรับอารมณ์อยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง ท่านเจ้าของกุฏิจึงถามขึ้นว่า

         “อาจารย์สอนวิชาอะไร”

         “หนูสอนภาษาอังกฤษค่ะ ส่วนอาจารย์ยุพากับอาจารย์กุลนทีสอนภาษาไทย” อาจารย์กวิศญาตอบ

         “แล้วเรียนจบจากที่ไหน”

         หล่อนบอกชื่อมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง

         “แหม จบจากสถาบันที่มีชื่อเสียงเสียด้วย เสียดายที่อุตส่าห์เป็นถึงบัณฑิตแต่แก้ปัญหาไม่ได้ แค่ทำครกแตกใบเดียวก็แก้ปัญหาไม่ได้ ต้องวิ่งมาหาพระให้ช่วย” สตรีทั้งสามมองตากันปริบ ๆ เมื่อถูก “เทศน์” ต่อหน้าธารกำนัล

         “แล้วเป็นอาจารย์มาได้ยังไง้ น่าสงสารคนที่เป็นลูกศิษย์” สตรีผู้หนึ่งวิจารณ์ในใจ

         “อาจารย์เคยเข้าวัดกันบ้างไหม เคยไปฟังพระเทศน์หรือเปล่า” ท่านเจ้าของกุฏิถามอาจารย์สาว คนชื่อกุลนทีตอบว่า

         “ไม่เคยค่ะ นี่เป็นวัดแรกที่หนูเข้า แล้วก็คงจะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่หนูจะเข้าวัด” ตอบตรงไปตรงมา

         “ทำไมล่ะอาจารย์ วัดนี้ไม่ดียังไง”

         “ก็หนูอุตส่าห์พากันมารอคิวตั้งครึ่งวัน เสร็จแล้วยังมาถูกหลวงพ่อว่าเสียอีก หลวงพ่อไม่ช่วยแล้วยังซ้ำเติม” อาจารย์สาวตัดพ้อ

         “จริงด้วย” เพื่อนสาวสองคนสนับสนุน

         “อาจารย์อยากให้อาตมาช่วยหรือเปล่าล่ะ” ท่านถามอาจารย์กวิศญา

         “อยากค่ะ หลวงพ่อช่วยหนูด้วยเถอะค่ะ ไหน ๆ หนูก็อุตส่าห์ดั้นด้นมาขอความเมตตา คุณแม่บอกว่าหลวงพ่อเป็นคนใจดี มีเมตตา หลวงพ่อต้องช่วยแน่ ๆ ค่ะ” หล่อนอ้างมารดา

         “แล้วทำไมคุณแม่เขาไม่ช่วยล่ะ”

         “ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ บอกแต่ว่าให้มาหาหลวงพ่อ” ท่านเจ้าของกุฏิให้สงสัยนัก เหตุใดคุณสอาดจึงไม่ช่วยแก้ปัญหาให้ลูก ทำไมจะต้องส่งมาหาท่าน ด้วยความอยากรู้จึงใช้ “เห็นหนอ” เข้าตรวจสอบและก็ได้ทราบว่า เป็นอุบายของผู้เป็นแม่ที่จะชักจูงบุตรสาวให้เข้าวัดนั่นเอง

         “เอาละ ถ้าอย่างนั้นอาตมาจะช่วย อาจารย์สวดมนต์เป็นหรือเปล่า สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ และพาหุงมหากา ได้ไหม”

         “สวดได้สามอย่างแรกค่ะ อย่างหลังสวดไม่ได้ แต่คิดว่าคุณแม่คงสวดได้ค่ะ คำทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น คุณแม่ก็ท่องได้ค่ะ ท่องได้แล้วก็แปลได้ด้วย” น้ำเสียงที่พูดบ่งบอกว่าภาคภูมิใจในมารดายิ่งนัก “แต่หนูสวดไม่เป็นสักอย่างเดียวค่ะ” อาจารย์กุลนทีว่า

         “ทำไมถึงไม่เป็นล่ะจ๊ะ”

         “เพราะไม่เคยสวด แล้วหนูก็ไม่เห็นความจำเป็นของการสวดมนต์ด้วย คนเราถ้ามีความสุขอยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องสวดมนต์ ไม่จำเป็นต้องเข้าวัด พวกที่เข้าวัดก็คือคนที่มีความทุกข์ มีปัญหา”

         “พูดดี ๆ นะคะอาจารย์ ยังกับว่าตัวเองไม่เคยมีความทุกข์งั้นแหละ” สตรีวัยกลางคนพูดขึ้นอย่างรู้สึกหมั่นไส้เสียเต็มประดา

            “ฉันไม่เคยมีความทุกข์จริง ๆ นะน้า ตั้งแต่เกิดมานี่ยังไม่เคยรู้เลยว่าความทุกข์มันเป็นยังไง นี่ฉันพูดจริง ๆ นะ ไม่ได้พูดยกตนข่มท่านแต่ประการใด” คนไม่รู้จักความทุกข์ว่า

         “สงสัยคงจะมีคนเดียวในโลก” สตรีนั้นพูดประชด

         “อันนั้นฉันไม่รู้ รู้แต่ว่าตัวเองโชคดี พ่อดี แม่ดี ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงดีหมด แล้วฉันก็มีความสุขมาก”

         “เอาเถอะ สักวันก็จะรู้ว่าความทุกข์มันเป็นยังไง คนอย่างอาจารย์นี่ต้องจัดอยู่ในประเภท “ไม่เห็นโรงศพไม่หลั่งน้ำตา”

         “ไม่จริงหรอกน้า บ้านฉันอยู่ติดกับร้ายขายโลงศพ ฉันเห็นโลกศพทุกวันแต่ไม่ยักกะหลั่งน้ำตา แล้วน้าจะมาว่าฉันเป็นคนประเภทนั้นได้ยังไง” อาจารย์สาวโต้ สตรีนั้นโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง หากก็มิรู้ที่จะโต้ตอบว่ากระไร จึงได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า “อย่าไปเถียงกะเขาเลย เขานั้นจบปริญญา ส่วนตัวข้าแค่ ป.๔”

         “แหม อาจารย์เห็นกุฏิอาตมาเป็นสนามโต้วาทีไปเสียแล้ว” ท่านเจ้าของกุฏิ ต่อว่าต่อขานด้วยใบหน้ายิ้ม ๆ

         “ก็ยังดีกว่าเห็นเป็นสนามมวยใช่ไหมคะ” อาจารย์สาวถามยิ้ม ๆ เช่นกัน

         “ดูเถอะ กับพระกับเจ้ายังไม่ยอมลดละ แบบนี้เป็นอาจารย์ได้ยังไง้ น่าสงสารลูกศิษย์จริง” คนจบ ป.๔ พูดกระทบกระเทียบ

         “ถึงว่าซี น้าน่าจะไปเป็นอาจารย์แทนฉันนะ พี่ยุพาพรว่าดีไหม ให้น้าคนนี้ไปเป็นอาจารย์แทนหนูดีไหม” คนจบปริญญาตั้งใจยั่วคนจบ ป.๔

         “ขอโทษนะครับ คุณสามคนเสร็จธุระหรือยัง ถ้าเสร็จแล้วก็เปิดโอกาสให้คนอื่นเขาบ้าง” บุรุษหนึ่งพูดขึ้นอย่างเหลืออด นึกหมั่นไส้แม่สามสาวนี่ตั้งแต่แรกแล้ว ท่านพระครูเห็นว่าอาจารย์สาวสามคนนี้จะต้องถูกคนอื่น ๆ ว่าอีก หากพวกหล่อนยังขืนต่อปากต่อคำกับท่านอยู่ จึงบอกพวกหล่อนว่า

         “เสร็จธุระแล้วใช่ไหม แล้วนี่จะกลับกันยังไง”

         “หนูขับรถมาค่ะ” อาจารย์กุลนทีตอบ”

         “หลวงพ่อยังไม่ได้ตอบปัญหาของหนูเลย” อาจารย์กวิศญาพ้อ

         “ก็ให้ไปสวดมนต์ไง สวมมนต์มาก ๆ แล้วจะเกิดปัญญาแก้ปัญหาได้เอง เอาเถอะให้ลองไปทำดู ได้ผลยังไงค่อยมาบอกทีหลัง” ท่านออกอุบายให้อาจารย์สาวมาวัดอีก

         “พี่ไม่มาเป็นเพื่อนอีกแล้วนะ” คนไม่ชอบเข้าวัดบอก

         “ไม่เป็นไร มากับพี่ก็ได้” อาจารย์ยุพาพรเอื้อเฟื้อ คนทั้งสามจึงกราบท่านพระครูสามครั้ง แล้วลุกออกมาท่ามกลางความรู้สึกโล่งอกโล่งใจของบรรดาผู้มีความทุกข์ทั้งหลาย

         “หลวงพ่อครับ ผมรู้สึกสงสารนักศึกษาวิทยาลัยครูแห่งนั้นเหลือเกินที่มีอาจารย์ปัญญานิ่ม ๆ อย่างนี้ แค่ทำครกแตกก็มีปัญหา ไม่รู้เป็นอาจารย์ได้ยังไง บุรุษผู้มีนิสัยชอบหมั่นไส้ผู้อื่นพูดขึ้น

         “แต่ถึงอย่างไรโยมก็อย่าไปเหมาว่าอาจารย์วิทยาลัยครูเป็นอย่างนี้ทุกคนนะ เพราะคนที่เขาปฏิบัติกรรมฐานเขาก็ไม่เป็นอย่างนี้ พูดก็พูดเถอะ บางคนเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย เรียนจบด็อกเตอร์มาจากเมืองนอกเมืองนา ก็ยังมาให้ช่วยแก้ปัญหา ตัวเองจบถึงด็อกเตอร์ แต่แก้ปัญหาไม่ได้ ต้องมาให้คนจบมัธยม ๔ แก้ให้ คนประเภทนี้เขาเรียกว่า “ความรู้ท่วมตัวเอาหัวไม่รอด”

         “ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด ครับหลวงพ่อ” บุรุษนั้นแย้ง ท่านพระครูจึงแก้ว่า

         “มันก็เหมือนกันนั่นแหละโยม การศึกษาสมัยนี้ทำคนให้เป็นก้านไม้ขีด คือหัวโตแต่ตัวลีบ ก็เลยไปไม่ไหว โยมสังเกตไหม เดี๋ยวนี้โรงเรียนเขาไม่สอนเด็กสวดมนต์กันแล้ว สมัยที่อาตมาเป็นนักเรียนนะ ครูเขาให้สวดมนต์ทุกวัน เด็กสมัยก่อนจึงสวดมนต์เป็น สมัยนี้ครูเองยังสวดไม่เป็น นับประสาอะไรกับนักเรียน โยมว่าจริงไหม”

         “จริงครับ ทั้งครูทั้งอาจารย์สวดมนต์ไม่เป็น นักเรียนนักศึกษาก็เลยดำเนินรอยตาม ผมว่าถ้าขืนปล่อยไว้ไม่รีบแก้ไข บ้านเมืองก็จะไปไม่รอดนะครับ” บุรุษนั้นแสดงความคิดเห็น

         “อาตมาว่าเราเลิกพูดเรื่องนี้กันดีกว่า เพราะยิ่งพูดมันก็ยิ่งเครียด เอาเถอะ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ขอให้เราทำหน้าที่ของตัวให้ดีที่สุดก็แล้วกันนะโยมนะ”

         “ครับหลวงพ่อ ประเทศไทยไม่ใช่ของเราคนเดียวจริงไหมครับ”

         “คงจริงมั้ง เอาเถอะโยมอยากจะคิดยังงั้นก็ตามใจ เรื่องความคิดมันห้ามกันไม่ได้ เอาละทีนี้ใครมีอะไรก็ว่าไป”

         สตรีวัยกลางคนคลานเข้ามาหา กราบสามครั้งแล้วรายงานว่า “หลวงพ่อจ๊ะ ลูกสาวฉันมันหนีตามผู้ชายไป พ่อบ้านเขาโกรธมาก เขาวางแผนจะฆ่าลูกเขย ฉันห้ามก็ไม่เชื่อ จะทำยังไงดีจ๊ะ”

         “ไปบอกเขาเลยว่า ถ้าฆ่าติดคุกแน่ หลวงพ่อบอกว่าติดคุกแน่นอน แล้วตายไปก็ต้องตกนรกอีกด้วย จะไปฆ่าเขาทำไม”

         “ก็มันทำให้เสียชื่อ เสียศักดิ์ศรีน่ะจ้ะหลวงพ่อ เขาบอกมันเหยียบจมูกกันแบบนี้ เขายอมไม่ได้ ลูกสาวฉันไม่ก็ไม่ดี เถ้าแก่โรงสีเขามาขอ มันก็ไม่เอาเขา ไปเอาไอ้คนจน ๆ มาทำผัว” คนพูดเคียดแค้น

         “อ้าว ก็เขามาสู่ขอแล้วไม่ให้เขานี่นา ไปดูถูกดูแคลน ว่าเขายากจนข้นแค้น เอาเถอะ อย่าไปรังเกียจรังงอนเขาเลย ถึงเขาจะจนเขาก็เป็นคนดี โยมเชื่ออาตมาสักครั้งนะ แล้วกลับไปบอกพ่อบ้านว่า ยังไง ๆ ก็อย่าไปคิดพรากผัวพรากเมียเขา บาปกรรมเปล่า ๆ เชื่อประเทศไทยเถอะ”

         “แต่พ่อบ้านเขาอยากให้มันแต่งกับเถ้าแก่โรงสีจ้ะหลวงพ่อ”

         “แต่งได้ยังไง ก็เขามีลูกมีเมียแล้ว โยมอยากให้ลูกไปเป็นเมียน้อยเขาหรือไง เป็นเมียหลวงดี ๆ อยู่แล้ว เรื่องอะไรจะให้เขาไปเป็นเมียน้อย” ท่านพูดไปตามที่ “เห็นหนอ” รายงาน

         “แต่เมียเขาหนีตามชู้ไปนะจ๊ะหลวงพ่อ หนีไปกับชู้ซึ่งเป็นทนายความ” ท่านเจ้าของกุฏิช่วยพูดอีกว่า

         “แล้วทนายความก็มีลูกมีเมียแล้ว น่าสมเพชนะโยม ผู้หญิงหลงตัวผู้ชาย ข้างผู้ชายก็หลงเงินของผู้หญิง อาตมาเห็นกฎแห่งกรรมของคนคู่นี้แล้ว น่าสงสารจริง ๆ แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เขาทำของเขาเอง เอาละ เรื่องลูกสาวของโยมนั้น เขาได้คู่ดีแล้ว ถ้าไปได้กับเถ้าแก่ อยู่กันไม่ยืด แล้วก็ไม่ต้องไปดูถูกดูแคลนว่าลูกเขยจน อีกห้าปีเขาจะรวย รวยกว่าเถ้าแก่โรงสีเสียอีก โยมสบายใจได้ กลับไปบอกพ่อบ้านเขาอย่างนี้นะ”

         “จ้ะหลวงพ่อ ฉันสบายใจขึ้นเป็นกอง ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์มาหา”

         “โยมมาจากไหนล่ะ”

         “จากโคกสำโรงจ้ะหลวงพ่อ”

         “รู้จักคนชื่อจุกหรือเปล่า จุกที่อยู่ตลาดโคกสำโรงน่ะ เห็นเขาว่าถูกรางวัลที่หนึ่ง” ท่านถามถึงคนเป็นหลานสะใภ้

         “รู้จักดีจ้ะหลวงพ่อ อีนังนี่มันขี้เหนียวอย่าบอกใคร ขนาดถูกหวยตั้งห้าแสน มันซื้อรองเท้าไปฝากหลวงน้ามันคู่เดียวเอง”

         “ยังงั้นหรือ” ท่านเจ้าของกุฏิรับทราบ คงไม่จำเป็นต้องบอกหรอกว่าหลวงน้าของ “อีนังนี่” ก็คือตัวท่านนั่นเอง

         แขกคนสุดท้ายกลับไปเมื่อเวลาสองทุ่ม ท่านพระครูเรียกนายสมชาย มาสั่งการว่า

         “พรุ่งนี้ตีสี่เธอไปตลาดกับแม่ครัวเขา ไปซื้อของมาทำบุญเลี้ยงพระ คุณหญิงเขาจะมาเลี้ยงเพล แล้วก็ช่วยชื้อผ้าไตรมาให้ฉันหนึ่งสำรับด้วย เลือกชนิดที่เนื้อดีที่สุดนะไปซี ไปบอกแม่ครัวเขาไว้ก่อน พรุ่งนี้จะได้ไม่ยุ่ง” นายสมชายลุกออกไปแล้ว ท่านเจ้าของกุฏิจึงพูดกับอาจารย์ชิตว่า

         “เจ้ากรรมนายเวรเขาตามมาทวงอีกรายแล้ว”

         “คราวนี้หลวงพ่อจะเป็นอะไรอีกหรือครับ” คนสูงอายุถามอย่างเป็นห่วง

         “ไม่เป็นอะไรแล้ว แต่ต้องเสียเงิน พรุ่งนี้คนขายก๋วยเตี๋ยวจะเอาลูกชายมาฝาก อาตมาจะให้เขาบวชเณรแล้วก็ปฏิบัติกรรมฐาน สักเดือนสองเดือนเขาก็จะรู้ดีรู้ชั่ว แล้วก็จะกลับไปเรียนหนังสืออย่างเดิม อาตมาก็ได้ใช้หนี้คนขายก๋วยเตี๋ยว โยมอยากรู้ไหมว่าหนี้อะไร”

         “หนี้อะไรครับ” บุรุษวัยหกสิบถาม

         “หนี้ค่าก๋วยเตี๋ยว อาตมาโกงค่าก๋วยเตี๋ยวแกทุกวัน วิธีโกงก็คือ ย่องไปขโมยเงินทางด้านหลังแก แล้วเอามาซื้อทางด้านหน้า แกยืนผัดก๋วยเตี๋ยวเหย็ง ๆ พอใครซื้อแกก็เอาเงินเหวี่ยงลงไปในตะกร้าซึ่งวางอยู่บนโต๊ะด้านหลังแก อาตมาก็กินก๋วยเตี๋ยวฟรีทุกวัน แถมบางวันยังหยิบเกินมาเป็นค่าน้ำแข็งใสอีกด้วย” คนเล่าหัวเราะ

         “เคยถูกจับได้บ้างไหมครับ” คนฟังถาม

         “ไม่เคย” ตอบอย่างภาคภูมิใจในความเก่งกาจของตน

         “มือชั้นนี้แล้ว ให้ถูกจับได้ ก๊อเสียชื่อหมด อาตมาเป็นคนดวงดีนะ ดวงทำบาปขึ้น เรื่องถูกจับได้นั้นไม่ต้องพูดถึง”

 

            มีต่อ........๗๐