ข้อคิดในวันขึ้นปีใหม่

พระราชสุทธิญาณมงคล

K00033

            อีก ๙ วัน  ก็จะหมดปีพุทธศักราช ๒๕๓๗  ที่เราเรียกว่า วันสิ้นปีเก่า  ซึ่งปีนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๓๗  และเพียงอีก ๑๐ วันก็จะถึงปีพุทธศักราช ๒๕๓๘  ที่เรียกว่า  วันขึ้นปีใหม่ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑ มกราคม ๒๕๓๘

               ประเทศไทยกำหนดเอาวันที่ ๑ เมษายน  เป็นวันขึ้นปีใหม่มาตั้งแต่ พ..๒๔๓๒  และมาเปลี่ยนเป็นวันที่ ๑ มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ตามแบบสากล  ตั้งแต่ พ..๒๔๘๔  จนถึงปัจจุบันนี้  เมื่อถึงวันขึ้นปีใหม่ในแต่ละปี  ทุกคนต่างก็มีความหวัง  โดยหวังว่าชีวิตในปีใหม่คงจะดีกว่าปีเก่า  จึงนิยมทำบุญเนื่องในเทศกาลวันขึ้นปีใหม่  เพื่อเป็นการส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่  ซึ่งการทำบุญส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นั้น  มีวัตถุประสงค์ดังนี้ :-

                                 . เพื่อเป็นการฉลองชีวิตของตน  ที่รอดพ้นความตายในปีเก่ามาได้  และเป็นการต้อนรับชีวิตใหม่ในปีใหม่

                                . เพื่อเป็นการฉลองความสำเร็จแห่งกิจการงานต่าง ๆ  ที่ดำเนินมาได้โดยเรียบร้อยราบรื่นผ่านอุปสรรคต่าง ๆ มาได้  และเป็นการสร้างบุญใหม่สำหรับชีวิตและกิจการในปีใหม่

                                . เพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศล  เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษของตนตามหน้าที่ของคนดี

                                . เพื่อเป็นการรักษาประเพณีอันดีงาม  ให้คงอยู่และเจริญยั่งยืนสืบไป

                                . เพื่อเป็นการร่วมสังสรรค์ระหว่างญาติสนิทมิตรสหาย  เพื่อนบ้าน  ได้ทำบุญร่วมกัน  สนุกสนานร่วมกัน  เป็นการสร้างความสามัคคี

               ความจริงคำว่า “ปีเก่าและปีใหม่”  เป็นพียงการสมมุติ  เพื่อให้มีสติจะได้ไม่ประมาทในวัยและชีวิต  ซึ่งปี พ..๒๕๓๗  ที่จะกลายเป็นปีเก่าในอีก ๙ วันข้างหน้านี้  ครั้งหนึ่งเราเคยสมมุติว่าเป็นปีใหม่  เราเคยมีความดีใจและมีความหวัง  และหลายคนคงจะไม่สมหวังในสิ่งที่หวังในปี พ..๒๕๓๗  ที่จะผ่านไป  เมื่อไม่สมหวังในปี พ..๒๕๓๗  ก็เลยฝากความหวังไว้กับปีใหม่ที่จะมาถึง  คิดและทำอย่างนี้ปีแล้วปีเล่า  จัดว่าเป็นคนที่ประมาท  มีคำอยู่คำหนึ่งคือ คำว่า “เจริญวัย”  ซึ่งตามความเข้าใจของคนทั่วไปหมายถึง  วัยเจริญขึ้น  โดยมุ่งถึงความเจริญงอกงามหรือพัฒนาการทางด้านร่างกาย  แต่ความจริง  คำว่า “วัย” เป็นภาษาบาลี  แปลว่า “เสื่อมไป”  เจริญวัยจึงหมายถึง  ความเสื่อเจริญ  หรือความเสื่อมเพิ่มขึ้น  เช่น  เจริญวัยได้ ๓๙ ปี  ก็หมายถึงสภาพร่างกายมีความเสื่อมไปเพิ่มขึ้น ๓๙ ปี  หรือมีวัย ๖๘ ปี  ก็หมายถึงมีความเสื่อมไป ๖๘ ปี  เป็นต้น  ซึ่งปีใหม่นั้นมันก็เกี่ยวข้องกับอายุหรือวัยของคนเรา  เพราะทำให้คนเรามีอายุหรือวัยเพิ่มขึ้นตามปีที่ผ่านไป  ชีวิตของคนแบ่งออกเป็น ๓ ระยะ  คือ  ระยะต้น  ระยะกลาง  และระยะสุดท้าย

                        ระยะต้นของชีวิต  เรียกว่า “ปฐมวัย” กำหนดตั้งแต่เกิดจนถึงอายุ ๒๕ ปี

                        ระยะกลางของชีวิต  เรียกว่า “มัชฌิมวัย” นับตั้งแต่อายุ ๒๖ - ๕๐ ปี

                        ระยะสุดท้ายของชีวิต  เรียกว่า “ปัจฉิมวัย” นับตั้งแต่อายุ ๕๑ ปีขึ้นไป

               นักปราชญ์ท่านสอนคนเราให้พยายามสร้างประโยชน์แก่ตัวเองตามวัยทั้ง ๓ ดังนี้

                                 . ปฐมวัย  ให้รีบเร่งศึกษาหาความรู้ใส่ตัว

                                . มัชฌิมวัย  ให้เร่งก่อสร้างตัวและสร้างฐานะเป็นหลักฐาน

                                . ปัจฉิมวัย  ให้เร่งสร้างคุณงามความดี  คือทำบุญไว้  เพื่อเป็นเสบียงเครื่องเดินทางต่อไปของตนและเป็นตัวอย่างแก่อนุชนคนรุ่นหลัง

               ผู้ที่ไม่สร้างประโยชน์ตามวัย ย่อมเสียใจและเสียดายเมื่อผ่านพ้นจากวัยนั้น ๆ  แล้ว  เช่น  เป็นเด็กไม่สนใจในการศึกษา  เมื่อเติบโตขึ้นไม่มีวิชาความรู้เป็นเครื่องเลี้ยงชีวิต  ยามที่มีกำลังไม่รีบเร่งสร้างฐานะเมื่อหมดกำลังแล้วย่อมกลายเป็นคนอนาถาคือไม่มีที่พึ่ง  ถึงวัยใกล้ตายควรรีบเร่งทำบุญแต่กลับประมาทมัวเมาในเรื่องอื่น ๆ เสีย  จะต้องโศกเศร้าสงสารตัวเองเมื่อจวนจะสิ้นใจ

               ปี พ..๒๕๓๗  ที่เราจะเรียกว่า  “ปีเก่า”  ก็กำลังจะผ่านพ้นไป  ก่อนจะถึงปี พ..๒๕๓๘  ที่เราจะเรียกว่า “ปีใหม่” นั้น  ขอให้มาพิจารณาถึงปีที่ผ่านมาว่าตนเองได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันบ้าง  มีอะไรที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขบ้าง   โดยเฉพาะให้พิจารณาตัวเองว่าเป็นมนุษย์จำพวกไหน  ในมนุษย์ ๔ จำพวก  คือ

                                 . มนุสฺสเปโต  ได้แก่  มนุษย์เปรต  หมายถึง  คนที่มีร่างกายพิกลพิการมีอาการไม่ครบ ๓๒ ต้องขอทานเลี้ยงชีวิต  เป็นอยู่ลำบากและอด ๆ อยาก ๆ   ซึ่งคล้ายกับลักษณะและความเป็นอยู่ของเปรต

                                . มนุสฺสติรจฺฉาโน  ได้แก่  มนุษย์ดิรัจฉาน  หมายถึง  คนที่มีร่างกายสมประกอบ  มีอาการครบ ๓๒ มีกำลังเรี่ยวแรง  สติปัญญา  แต่ไม่ทำการงานเลี้ยงชีพเอง  คอยแต่อาศัยผู้อื่นกินไปวัน ๆ  มีพฤติกรรมเหมือนสัตว์เลี้ยง

                                . มนุสฺสเนรยิโก  ได้แก่  มนุษย์สัตว์นรก  หมายถึง  คนที่มีความประพฤติหยาบช้ากระทำการทารุณเบียดเบียนฆ่าฟันผู้อื่น  หากินโดยโจรกรรม  ฉ้อสงฆ์  บังศาสน์  ฉ้อราษฎร์  บังหลวง  ประกอบอาชีพไม่สุจริต  จนในที่สุดต้องติดคุกติดตะรางเหมือนสัตว์นรก

                                . มนุสฺสภูโต  ได้แก่  มนุษย์แท้  หมายถึง  คนที่มีความประพฤติดีงาม  รักษาศีล ๕  โดยเคร่งครัด  ไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนและคนอื่น

                                . มนุสฺสเทโว  ได้แก่  มนุษย์เทวดา  หมายถึง  คนที่มีความประพฤติดีเยี่ยม  มีหิริ  คือความละอายต่อบาป  โอตตัปปะ  คือความเกรงกลัวต่อบาป  ทั้งมีนิสัยบำเพ็ญทาน  รักษาศีล  และเจริญภาวนาประพฤติตนดีเลิศคล้ายเทวดา

            เมื่อได้พิจารณาดูตัวเองในรอบปีที่ผ่านมาว่าตนเองเป็นมนุษย์จำพวกไหน  ถ้าเป็นจำพวกที่ไม่ดีก็พยายามเร่งสร้างคุณงามความดี ให้สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์ ซึ่งแปลว่าผู้มีใจสูง  คือ  สูงด้วยคุณธรรม  แต่หลายคนอาจจะนึกน้อยใจว่าในรอบปีที่ผ่านมาตนเองได้พยายามทำแต่ความดี  แต่ทำไม่จึงไม่ได้รับผลแห่งความดี  ที่จนก็ยังจนอยู่เหมือนเดิม  ชีวิตไม่มีอะไรดีขึ้นถึงกับบางคนต้องพูดว่า “ทำดีได้ดี  มีที่ไหน  ทำชั่วได้ดี  มีถมไป”  การทำดีที่จะให้ได้รับผลของความดีตอบแทนนั้น  ต้องประกอบด้วยเหตุ ๔ ประการ  คือ

                                                                       . ทำดีให้ถูกเวลา

                                                                      . ทำดีให้ถูกสถานที่

                                                                      . ทำดีให้ถูกบุคคล

                                                                      . ทำดีให้ติดต่อกัน

               คนที่ทำดีแล้วไม่ได้ดีนั้น  ส่วนมากทำกันผิดหลัก  เพราะทำดีไม่ถูกเวลาบ้าง  ทำดีไม่ถูกสถานที่บ้าง  ทำดีไม่ถูกบุคคลบ้าง  และทำดีไม่ติดต่อกัน  เมื่อไม่ได้รับผลของความดีสมความมุ่งหมาย  จึงเสียใจน้อยใจ  ถึงกับบ่นตาม ๆ กันว่า “ทำดีแล้วไม่ได้ดี”  ก็ขอให้พิจารณาถึงการกระทำของตนเองก่อนว่าที่ตนทำดีแล้วนั้น  ถูกต้องตามหลักการทำความดี ๔ ประการหรือไม่

               ไม่ว่าท่านจะอยู่ในวัยไหน  เป็นมนุษย์จำพวกไหน  ได้ทำดีแล้วหรือยังก็ตาม  ข้อคิดที่อยากจะฝากไว้เนื่องในวันขึ้นปีใหม่ ๒๕๓๘ นี้  เป็นข้อคิดอันดับสุดท้ายก็คือ  ข้อที่บุคคลควรพิจารณาอยู่เสมอ  พิจารณาอยู่บ่อย ๆ เพื่อทำใจให้ยอมรับความจริงที่มีอยู่ตามธรรมชาติที่ภาษาพระท่านเรียกว่า  อภิณหปัจจเวกขณะ มี ๕ คือ

                         . ควรพิจารณาทุก ๆ วันว่า  เรามีความแก่เป็นธรรมดา  ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้

                         . ควรพิจารณาทุก ๆ วันว่า  เรามีความเจ็บเป็นธรรมดา  ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไปได้

                         . ควรพิจารณาทุก ๆ วันว่า  เรามีความตายเป็นธรรมดา  ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้

                         . ควรพิจารณาทุก ๆ วันว่า  เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น

                         . ควรพิจารณาทุก ๆ วันว่า  เรามีกรรมเป็นของตัวเอง  เราทำดีก็จะได้ดี  ทำชั่วก็จะได้ชั่ว

               คนเรานั้นโดยมากอายุไม่ถึง ๑๐๐ ปี  เมื่อเกิดมาแล้วก็ต้องแก่  เจ็บ  และตาย  เป็นวัฏจักรอยู่อย่างนี้ตราบใดที่ยังมีกิเลส ก็ต้องมีกรรม คือการกระทำ และมีวิบาก คือผลของการกระทำ ตราบนั้นคนเราก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้ และเมื่อเกิดมาแล้วสิ่งที่เราต้องพิจารณาก็คือ  ความแก่  ความเจ็บ  และความตาย  โดยเฉพาะเรื่องของความแก่  เปลี่ยน พ..ใหม่ที  เราก็แก่ไปอีกปี  นึก ๆ ดู ๑ ปี มี ๓๖๕ วัน  นั้นช่างรวดเร็วเหมือนกับกาลเวลามันติดปีกจรวดบิน  บางทียังไม่ได้ทันทำอะไรเลย  ก็หมดไปแล้วอีก ๑ ปี  เราก็แก่หรืออายุมากขึ้นอีก ๑ ปี  ผู้ที่อยู่ในปัจฉิมวัย  คืออายุเลยเลข ๕ ไปแล้ว  จะรู้ถึงเรื่องนี้เป็นอย่างดี  จึงมีคำถามที่ถามกันเล่น ๆ ว่า “อะไรเอ่ย?  เรายิ่งหนี  มันยิ่งตาม” คำตอบก็คือความแก่  เพราะความแก่นั้นไม่มีใครต้องการหลายคนจึงพยายามวิ่งหนี  แต่จะหนีอย่างไร  ก็ไม่มีทางหนีพ้นแต่อาจชะลอได้  คือ  ชะลอไม่ให้แก่เร็วหรือแก่เกินวัย  เช่น  เมื่อมีรอยตีนกาเกิดขึ้นบนใบหน้าเมื่อเวลายิ้มก็หาเครื่องสำอาง  หรือเครื่องประเทืองผิวมาทาตรงบริเวณที่เกิดรอยตีนกาก็จะไม่ปรากฏชัด  คนสมัยก่อนท่านสอนไว้ดีมากในเรื่องของการชะลอความแก่  โดยการเป็นคนร่าเริง  ยิ้มแย้มอยู่เสมอ  ถึงกับมีคำพูดว่า “ยิ้มวันละนิดจิตแจ่มใส”  คนที่ร่าเริง  ยิ้มแย้มอยู่เสมอนั้น  จะดูเป็นคนที่อ่อนกว่าวัย  หน้าไม่ทรยศเจ้าของ  ตรงกันข้ามกับคนที่เคร่งเครียด  หน้าบึ้ง  จะดูเป็นคนที่แก่เกินวัย  หน้าทรยศเจ้าของ  และมีคำถามที่ถามกันว่า “อะไรเอ่ย ? เรายิ่งตามมันยิ่งหนี”  คำตอบก็คือ  ความหนุ่ม  ความสาว  เพราะความเป็นหนุ่มเป็นสาวนั้น  ใคร ๆ ก็ปรารถนา  แต่ความหนุ่ม  ความสาวนั้นเรายิ่งตาม  มันก็ยิ่งหนี  เราไปตามกาลเวลา  เพราะฉะนั้นจึงฝากไว้เป็นข้อคิดคือ  ควรพิจารณาถึงความเป็นจริงว่า  คนเรานั้นมีความแก่  ความเจ็บ  และความตายเป็นธรรมดา  ไม่มีใครสามารถพ้นไปได้  คนเราจะต้องพลัดพรากจากของที่เรารัก  ไม่วันใดก็วันหนึ่ง  และคนเรานั้นมีกรรมเป็นของตนเอง  ทำดีย่อมได้ดี  ทำชั่วย่อมได้ชั่ว.

 

วัดอัมพวัน

อำเภอพรหมบุรี  จังหวัดสิงห์บุรี