อุปาสกปฏิบัติ

พระราชสุทธิญาณมงคล

K00090

 

              คฤหัสถ์ชนผู้มีความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย  เพราะได้ฟังธรรมเทศนา  แต่ที่เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า  หรือเพราะได้ฟังแต่พุทธสาวกและพุทธศาสนิกบัณฑิตอื่นๆ  แล้วซึ่งพระรัตนตรัย  คือ พระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  เป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึก  ชายชื่อว่า อุบาสก  หญิงชื่อว่า อุบาสิกา  แปลว่า  ผู้เข้านั่งใกล้ซึ่งพระรัตนตรัยด้วยใจของตน

              ในอรรถกถา  แสดงอาการถึงสรณะ ๔ อย่างคือ  ความมอบให้ซึ่งตน ๑  ความเป็นผู้มีรัตนตรัยนั้นเป็นที่ไปเบื้องหน้า ๑  เข้าไปถึงซึ่งความเป็นศิษย์ ๑  ความนอบน้อม ๑  ความสละซึ่งตนต่อพระรัตนตรัยมีพระพุทธเจ้า เป็นต้น  ด้วยคำอย่างนี้ว่า  ข้าพเจ้ามอบให้ซึ่งตนแก่พระพุทธเจ้า  แก่พระธรรม  แก่พระสงฆ์  ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป  ซึ่งว่าความมอบให้ซึ่งตน  ความเป็นผู้มีพระรัตนตรัยนั้นเป็นที่ไปในเบื้องหน้าด้วยคำอย่างนี้ว่า  ท่านทั้งหลายทรงไว้ว่า  ข้าพเจ้ามีพระพุทธเจ้า  พระธรรม  พระสงฆ์เป็นที่ไปเบื้องหน้าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป  ชื่อว่าความเป็นผู้มีพระรัตนตรัยนั้นเป็นที่ไปในเบื้องหน้า  เข้าไปถึงซึ่งความเป็นศิษย์ด้วยคำอย่างนี้ว่า  ท่านทั้งหลายจงทรงไว้ซึ่งข้าพเจ้าว่าเป็นอันเตวาสิกของพระพุทธเจ้า  ของพระธรรม  ของพระสงฆ์  ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป  ชื่อว่าเข้าไปถึงซึ่งความเป็นศิษย์  ความกระทำซึ่งความตกต่ำเป็นอย่างยิ่งในพระรัตนตรัยมีพระพุทธเจ้า เป็นต้น  ฟังคำอย่างนี้ว่า  ท่านทั้งหลายจงทรงไว้ซึ่งข้าพเจ้าว่าทำอยู่ซึ่งการกราบไหว้  การลุกรับอัชลีกรรมและสามีจิกรรมแก่วัตถุทั้งสาม  มีพระพุทธเจ้า เป็นต้น  ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป  ชื่อว่าความนอบน้อม  สรณะที่บุคคลกระทำ ๔ อย่าง  อย่างใดอย่างหนึ่งคือเอาแล้วชื่อว่าถ้าเอาแล้วดี

              วิธีถึงสรณะที่กล่าวมานี้ก็เป็นสักว่าเครื่องแสดงความเลื่อมใสให้ผู้อื่นรู้อาการแห่งผู้ที่เลื่อมใสแล้วเท่านั้น  เพราะว่าถ้าใจเลื่อมใสถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งในความปฏิบัติออกจากทุกข์จริงแล้ว  แม้ถึงว่าจะไม่กล่าววาจาประกาศตนให้ผู้อื่นทราบก็คงเป็นอันถึงสรณะอยู่นั่นเอง  ความถึงสรณะนี้  มิใช่จะสำเร็จตัวสักว่าวาจา  ย่อมสำเร็จด้วยใจเหตุนี้บุคคลที่ไม่มีศรัทธาเลื่อมใสในพระรัตนตรัยไม่ปฏิบัติตามพระโอวาทคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า  จะเป็นอุบาสกอุบาสิกาไม่ได้เลย  ความถึงสรณะนี้จะแตกจะทำลายก็เพราะนับถือสิ่งอื่นว่าประเสริฐกว่าพระรัตนตรัยและจะสมบูรณ์ก็ด้วยเห็นว่าพระรัตนตรัยประเสริฐกว่าสิ่งอื่น  เหตุนั้นในอรรถกถาจึงกล่าวว่า  พระญาติของพระผู้มีพระภาคเจ้าถวายบังคมพระองค์ด้วยคิดว่าเป็นญาติของตนก็ดี  ผู้ใดผู้หนึ่งไหว้พระองค์เพราะความกลัวว่าพระองค์มีอานุภาพใหญ่เป็นที่บูชาของพระเจ้าแผ่นดิน  เมื่อตนไม่ไหว้ก็จะพึงนำความฉิบหายให้ก็ได้  ผู้ใดผู้หนึ่งระลึกถึงศิลปศาสตร์  อันตนเคยเรียนแล้วในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า  เมื่อครั้งพระองค์ยังเป็นพระโพธิสัตว์หรือได้ฟังคำสั่งสอนในกาลเมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว เป็นต้น  ว่าในบัณฑิตผู้อยู่ครองเรือนแบ่งโภคะให้เป็น ๔ ส่วน  บริโภค ๑ ส่วน  ประกอบการงาน ๒ ส่วน  เก็บส่วนที่ ๔ ไว้เพื่อจะได้มีไว้ใช้ในเวลาอันตราย  และไหว้พระองค์ด้วยคิดว่าเป็นอาจารย์ก็ดี  ไม่เป็นอันถึงสรณะ  ผู้ใดไหว้พระองค์ด้วยคิดว่าพระองค์เป็นผู้ควรซึ่งทักษิณาอันเลิศในโลก  ผู้นั้นแลฯ  ชื่อว่าเป็นอันถึงสรณะ

              เมื่ออุบาสกอุบาสิกา  มีสรณะอันถือเอาแล้วอย่างนี้  ว่าญาติของตนแม้บวชในติตติยะปริพาชก  ด้วยคิดว่าเป็นญาติของตนสรณคมน์ก็ไม่แตก  ไม่ต้องกล่าวถึงผู้ไหว้ญาติที่ไม่ได้บวช  ถึงไหว้พระเจ้าแผ่นดินด้วยความกลัวก็เหมือนอย่างนั้น  สรณคมน์ไม่แตก  เพราะว่าพระเจ้าแผ่นดินนั้นเป็นผู้อันชาวแว่นแคว้นบูชาแล้ว  เมื่อใครไม่ไหว้ก็พึงทำความพินาศให้  ถึงไหว้ติตติยะผู้ให้ศึกษาศิลปศาสตร์  อันใดอันหนึ่งด้วยคิดว่าเป็นอาจารย์ของตนอย่างนั้นสรณคมน์ไม่แตก

              อาศัยความในอรรถกถา  กล่าวอย่างนี้ห้ามความเห็นของคนบางพวกที่ถือว่าไหว้พระเจ้าแผ่นดินและญาติที่เป็นคฤหัสถ์ไม่ได้  ถ้าไหว้ดังนั้นสรณคมน์แตก  ความเห็นของคนจำพวกนั้นอนุมานดูจะเห็นว่าเป็นเพราะได้เห็นภิกษุสามเณรไม่ไหวคฤหัสถ์ตามพุทธบัญญัติห้าม  ก็ถือมั่นไปอย่างนั้น  การไหว้พระเจ้าแผ่นดินผู้ปกครองประชาชนให้อยู่เย็นเป็นสุขสำราญปราศจากอันตรายไม่มีโทษแก่คฤหัสถ์  ผู้ถึงสรณะข้อนี้มีปรากฏในอรรถกถาว่า  ฉตฺตปาณิอุปาสก  ผู้เป็นพระอนาคามี  เมื่อมายังที่เฝ้าได้ถวายบังคม  พระเจ้าปัสเสนทิโกศลดังนี้  ต่อเมื่อใดไหว้ด้วยความนับถือ  ประเสริฐกว่าพระรัตนตรัยสรณคมน์จึงเป็นอันแตก  ผู้ที่ไหว้รูปเคารพในศาสนาอื่นมีไม้กางเขน เป็นต้น  ด้วยนับถือว่าเป็นที่ระลึกที่พึ่งของตน  สรณคมน์แตกแท้

              ชายหญิงผู้ปฏิญาณตนว่าเป็น  อุบาสกอุบาสิกา  ตั้งอยู่ในสรณะแล้ว  ต้องสังวรในศีล ๕  ประการเป็นนิจเสมอไปไม่มีวันเว้น  ศีล ๕ ประการนั้นคือ  เว้นจากการฆ่าสัตว์ ๑  เว้นจากการลักทรัพย์ ๑  เว้นจากประพฤติผิดในกาม ๑  เว้นจากกล่าวเท็จ ๑  เว้นจากดื่มน้ำเมาคือสุราเมรัย ๑  ความเว้นจากเวร ๕ ประการนี้เรียกว่านิจศีล  เพราะเป็นศีลอุบาสกอุบาสิกา  จะพึงรักษาเป็นนิจไม่มีเวลาว่าง  ยังมีศีลอีก ๘ ประการคือ  เว้นจากฆ่าสัตว์ ๑  เว้นจากลักทรัพย์ ๑  เว้นจากการไม่พรหมจรรย์ ๑  เว้นจากกล่าวเท็จ ๑  เว้นจากดื่มสุราเมรัย ๑  เว้นจากกินอาหารในเวลาวิกาล ๑  คือตั้งแต่อาทิตย์เที่ยงแล้วไปจนถึงอรุณขึ้นมาใหม่ ๑  เว้นจากฟ้อนรำขับร้องและเครื่องประโคมด้วยตนเอง  และดูการเล่นเช่นนั้น  และตกแต่งประดับกายด้วยดอกไม้ของหอม เครื่องย้อมทากายให้มีผิวงามและเครื่องประดับ ๑  เว้นจากนั่งนอนบนเตียงตั่งมีเท้าสูงกว่าประมาณ  และเบาะฟูกภายในมีนุ่มสำลีและเครื่องวิจิตรด้วยเครื่องทองเงิน ๑  เรียกว่า อุโบสถศีล  เป็นศีลวิเศษอันอุบาสกอุบาสิกา  จะพึงเข้าอยู่ในการเป็นครั้งคราว  คือ  วันที่ ๑๔ ค่ำหรือ ๑๕ ค่ำ และวัน ๘ ค่ำ  เพื่อประโยชน์แก่การสงัดกายและจิตเป็นครั้งคราว

              อนึ่ง กุศลกรรมบถ ๑๐ ประการที่เรียกว่า อาคาริยะวินัย  ข้อปฏิบัติเครื่องฝึกกายวาจาใจของคฤหัสถ์  ก็เป็นข้อปฏิบัติของอุบาสกอุบาสิกาด้วย  กุศลกรรมบถนั้นจัดตามทวารเป็น ๓ คือ  กายกรรม ๑  วจีกรรม ๑  มโนกรรม ๑  กายกรรม ๓ อย่างคือ เว้นจากฆ่าสัตว์ ๑  เว้นจากลักทรัพย์ ๑  เว้นจากประพฤติผิดในกาม ๑  วจีกรรม ๔ อย่างคือ  เว้นจากกล่าวคำเท็จ กล่าวแต่คำแท้จริง ๑  เว้นจากกล่าวคำส่อเสียดยุยงผู้อื่นให้แตกร้าวกัน กล่าวแต่คำที่ชักนำผู้อื่นให้พร้อมเพรียงด้วยกัน ๑  เว้นจากกล่าวคำหยาบ กล่าวแต่คำไพเราะ ๑  เว้นจากกล่าวคำเพ้อเจ้อ กล่าวแต่คำไพเราะ ๑  มโนกรรม ๓ อย่างคือ ไม่เพ่งคิดอยากได้ของผู้อื่น  ด้วยจิตโลภจะเอาเปล่า ไม่คิดที่จะแลกเปลี่ยนซื้อหาใหม่ ๑  ไม่พยาบาทคิดผูกเวร แช่งสัตว์ที่ตนเคืองแค้นให้ฉิบหายล้มตาย มีจิตเมตตากรุณา คิดจะให้หมู่สัตว์ ที่เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันให้พ้นจากทุกข์มีสุขถ้วนหน้า ๑  มีความเห็นชอบถูกตามครรลองครองธรรมที่แท้จริง เป็นต้นว่า  เห็นว่าทานที่บุคคลบริจาคแล้ว  ศีลที่บุคคลรักษาดีแล้ว  ภาวนาที่บุคคลหมั่นอบรมดีแล้ว  มีผลอานิสงส์และเห็นว่าความปฏิบัติบำรุงบิดามารดาเป็นความดีความชอบ ๑  ข้อปฏิบัติ ๑๐ ประการนี้  ชื่อว่ากุศลกรรมบถ  เพราะเป็นทางที่จะให้ผู้ปฏิบัติดำเนินถึงสุขในปัจจุบันและภายหน้า

              สาธุชนผู้รักษาอุโบสถ  มากำหนดบรรจุเวลาให้เต็มพร้อมด้วยนานาวิธีกุศล  คือฟังเทศนาบ้าง  สนทนาธรรมสากัจฉาบ้าง  สวดมนต์บ้าง  ภาวนาบ้าง  ตามแนวที่ได้แนะนำมา  เชื่อว่าทำวันคืนของตนให้มีค่ามากมาย  สมกับที่หลีกเล้นเฟ้นหาสันติสุขในทางธรรม  และสมกับที่ต้องลงทุนสละละเคหสถาน  ยอมเสียเวลาการงานทางโลก  ไม่ขาดทุนเสียเวลาเปล่า

              อุโบสถ ๓ อย่าง

                   ผู้รักษาอุโบสถนั้น  ถึงแม้อุโบสถมีองค์ ๘ เท่ากัน  ต่างคนก็ต่างตั้งวิรัตเจตนาสมาทานเหมือนกัน  แต่อาจได้รับผลยิ่งหย่อนกว่ากันด้วย  สามารถแห่งอาการรักษาปฏิบัติยิ่งหย่อนต่างกันด้วยเหตุนั้น  ท่านจึงจัดอุโบสถไว้ ๓ ประเภทคือ  นิคัณฐอุโบสถ ๑  โคปาลอุโบสถ ๑  อริยอุโบสถ ๑  ดังจะอธิบายต่อไปนี้

              ๑. นิคัณฐอุโบสถ  นี้หมายถึง  อุโบสถของคนภายนอกพระพุทธศาสนา  ซึ่งมีลัทธินิยม  ตั้งวิรัตเจตนาโดยมีเขตจำกัด  คืองดเว้นไม่ประพฤติล่วงสิกขาบทเฉพาะในบุคคลบางพวก  บางหมู่  บางทิศ  บางทาง  เช่นสมาทานศีลแล้ว  ไม่ฆ่าสัตว์  ไม่ลักทรัพย์ เป็นต้น  ของคนหมู่โน้นและทิศโน้น  แต่ของคนหมู่นี้อยู่ทิศนี้ไม่งดเว้น  หรืองดเว้นเฉพาะที่เป็นญาติมิตรและคนรักใคร่ชอบใจ  นอกนั้นไม่งดเว้น  การงดเว้นเช่นนี้ก็มีคุณอยู่  เพราะนับว่ายังดีกว่าผู้ไม่งดเว้นเสียเลย  แต่เป็นไปในทางที่แคบ  เป็นความปฏิบัติที่เห็นแต่ตัวและพวกของตัว  จึงนับว่ามีคุณน้อยกว่า อุโบสถอีกสองอย่าง

              ๒. โคปาลอุโบสถ  นี้เป็นอุโบสถในพระพุทธศาสนา  คืออุโบสถอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการนั้นเอง  แต่อาการของผู้รักษาปฏิบัติเหมือนอาการของคนเลี้ยงโค  คนเลี้ยงโคเพราะเห็นแก่ค่าจ้าง  ถึงจะเลี้ยงโคเป็นอย่างดี  จนมีความชอบก็มีสิทธิเพียงได้ค่าจ้างเป็นส่วนรางวัลเพิ่มเติม  แต่ไม่มีโอกาสได้มีสิทธิเป็นเจ้าของแห่งโคนม  ไม่มีส่วนได้ดื่มรสแห่งนมโค ฉันใด  อันผู้รักษาอุโบสถนี้ก็เหมือนกัน  เมื่อสมาทานอุโบสถแล้วไม่ใฝ่ใจในการบุญกุศล มีการฟังธรรมเทศนา เป็นต้นดังกล่าวแล้ว  ที่ทำได้เป็นอย่างดีก็เพียงตนระวังรักษาองค์อุโบสถไว้ไม่ให้ขาด  มุ่งแต่ให้ได้รับความนิยมสรรเสริญเป็นเบื้องหน้า  ยังวันคืนให้ล่วงไปด้วยการพูดดิรัจฉานกถา  คือพูดถึงเรื่องบ้านเรือน  สวน ไร่ นา  บ้างก็นินทาลูก บ้างก็สรรเสริญหลาน  พูดถึงการซื้อขายแพง เป็นต้น  ในที่สุดก็ไม่มีโอกาสได้ดื่มรสของศีลธรรม  ได้ประโยชน์เพียงเก็บกาย วาจา ไม่ให้ประพฤติทุจริตชั่ววันหนึ่งคืนหนึ่ง  กับรับความยกย่องสรรเสริญว่าเป็นคนเข้าวัดจำศีลเท่านั้น  แต่ก็ยังจัดว่าดีกว่านิคัณฐอุโบสถ  เพราะไม่จำกัดเขตและบุคคล  เป็นทางให้เกิดผลกว้างฉะนี้ 

              ๓. อริยอุโบสถ  นี้จัดเป็นอุโบสถชั้นเยี่ยม  ชั้นประเสริฐ  คือผู้ปฏิบัติตั้งอกตั้งใจรักษาด้วยดี  นอกจากคอยระวังกาย วาจา  ไม่ให้ประพฤติล่วงองค์ศีลนั้นๆ  แล้วก็อุตส่าห์พยายามฟังธรรมเทศนาบำรุงสติปัญญาเสริมศรัทธาปะสาทะ  พูดธรรมสากัจฉาถ่ายความรู้เก่า รับเอาความรู้ใหม่  สวดมนต์บำรุงจิตใจให้ผ่องใส  และเจริญวิปัสสนาภาวนาดังที่กล่าวแล้วและจะกล่าวต่อไป  ทั้งตั้งใจละปลิโพธิกังวลในเรื่องและการงาน  อันเป็นข้าศึกแก่อุโบสถให้เด็ดขาด  แม้อุปสรรคเกิดขึ้น  ก็ไม่ยอมสละละองค์อุโบสถและทอดทิ้ง  การกุศลที่ตนบำเพ็ญอยู่ในวันอุโบสถนั้น  พึงเห็นตัวอย่างดัง  พระนางวิสาขามหาอุบาสิกาครั้งพุทธกาล  ซึ่งปรากฏว่า  ในวันที่พระนางวิสาขาไปรักษาอุโบสถและฟังธรรมอยู่ที่วัด  เกิดมีพวกโจรลอบขุดอุโมงเข้าไปภายในคฤหาสน์ของท่าน  เพื่อปล้นทรัพย์  นางทาสีสาวใช้ได้เห็นเหตุการณ์นั้นแล้ว  รีบไปร้องเรียนให้พระนางวิสาขาทราบ  พระนางวิสาขาแทนที่จะสะดุ้งเสียใจ  กลับขับไล่นางสาวใช้นั้นให้กลับไปเสียถึง ๓ ครั้ง  พร้อมสั่งว่า  เมื่อมันต้องการอะไร  ก็จงขนเอาไปให้พอใจเถิด  และเธออย่ากลับมารบกวนฉันอีก  ฉันจะฟังธรรมรักษาศีล  ในที่สุดปรากฏว่าพวกโจรเหล่านั้น  เพราะได้ยินคำพระนางวิสาขากล่าวกับสาวใช้  ก็เลยกลับใจด้วยมีความเลื่อมใสในน้ำใจอันเด็ดเดี่ยวนั้น  เลยไม่เอาอะไรแม้เพียงสิ่งเดียว  ชวนกันกลับหมด  นี้นับว่าเป็นตัวอย่างในอริยอุโบสถนี้

              สาธุชนผู้รักษาอุโบสถ  พึงอุตส่าห์พยายามปฏิบัติรักษาอุโบสถของตนให้ละเอียดปราณีตขึ้นโดยลำดับ  แม้ชั้นต้นหากจะทำได้เพียงเป็นโคปาลอุโบสถก็นับว่ายังดีกว่าไม่รักษา  ต่อไปก็ค่อยอุตส่าห์พยายามให้ดำเนินเข้าชั้นอริยอุโบสถ  ก็จักได้ดื่มรสอันเยือกเย็น  อยู่เป็นสุขตลอดกาลนาน

 

อานิสงส์แห่งการรักษาอุโบสถ

              อันผู้รักษาอุโบสถศีลนั้น  ย่อมได้อานิสงส์ทั้งชาตินี้ชาติหน้าโดยอนุรูปแก่ความปฏิบัติของตน  ดังพระพุทธพจน์ที่ตรัสไว้ในตอนท้ายแห่งอุโบสถสูตรว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอุโบสถประกอบด้วยองค์ ๘ ที่อริยสาวกเข้าอาศัยอยู่แล้ว  เป็นคุณมีผลใหญ่และอานิสงส์ใหญ่มีความรุ่งเรืองแผ่ไพศาลมากดังนี้  จะยกคุณประโยชน์แห่งการรักษาอุโบสถมาชี้ให้เห็นพอเป็นเครื่องบำรุงศรัทธาปสาทะดังต่อไปนี้

              ๑.ตามธรรมดาคนเรา  วันปกติย่อมใช้กายวาจาใจให้สาละวนหมกมุ่นอยู่ในการงานทางบ้านานาประการ  การงานบางอย่างก็สะดวกบางอย่างก็ติดขัด  ที่ติดขัดก็เป็นต้นตอก่อให้กายวาจาใจเศร้าหมอง  เพราะต้องการให้สิ่งนั้นสำเร็จผลดังประสงค์  เมื่อนานวัน นานเดือน นานปี  กาย วาจา ใจ  ก็หม่นหมองเป็นมลทินขึ้นโดยลำดับ  จนถึงกับไม่สามารถชำระล้างให้สะอาดได้ก็มี  เมื่อสาธุชนถือโอกาสเข้ารักษาอุโบสถศีล  ก็นับว่าเป็นอุบายชำระมลทินนั้น  เพราะได้ปลดเปลื้องการงานทางบ้านออกจากกาย วาจา ใจ  เป็นการปล่อยวางภาระของกาย วาจา ใจ ให้ได้พักผ่อนเสียครั้งหนึ่ง

              ๒. การพักการงานทางบ้านแล้วไปหาอุบายคบคุมกาย วาจา ใจ ให้อยู่ในกรอบศีลธรรมนับว่าเป็นอุบายให้คฤหัสถ์ชนมีโอกาสได้ชำระกาย วาจา ใจ ของตนเสียครั้งหนึ่ง  คือ ๖ วัน ๗ วันได้ชำระกันครั้งหนึ่ง  ถึงจะไม่สะอาดจนผ่องก็เป็นทางไม่ให้หม่นหมองทวีขึ้นมาก  การรักษาอุโบสถนั้น  โดยความมุ่งหมายก็เพื่อเป็นอุบายชำระกาย วาจา ใจ  ดังกล่าวมานี้อีกประการหนึ่ง

              ๓. วันปกติที่ไม่รักษาอุโบสถ  กาย วาจา ใจ ต้องเป็นทาสกรรมกรของตนและคนอื่นสัตว์อื่นอีกมากมาย  บางครั้งต้องเป็นทาสของลูกๆ หลานๆ บางทีต้องเป็นทาสของวัวควายและเป็ดไก่  ต้องยอมตนลงให้คนและสัตว์เหล่านี้ใช้เกือบจะไม่มีเวลาแสนที่จะเหนื่อย  แสนที่จะลำบาก  แม้จะได้ค่าจ้างคือทรัพย์และความยินดีเป็นค่าแรงก็เพียงนิดหน่อยและให้คุณชั่วเวลาเพียงชาติเดียว  ส่วนวันรักษาอุโบสถนับว่าเป็นโอกาสให้กับบุคคลพ้นจากความเป็นทาสเช่นนั้น  แล้วเขามอบกาย วาจา ใจ เป็นทาสของพระรัตนตรัย  ซึ่งนับว่าเป็นทาสที่มีเกียรติ  และได้รับค่าแรงงานอันมีเกียรติด้วย  กล่าวคือได้ความบริสุทธิ์ผุดผ่องของกาย วาจา ใจ  และความเยือกเย็นเป็นสุขทั้งภพนี้และภพหน้าเป็นค่าแรงาน

              ๔. การเข้ารักษาอุโบสถนับว่าเป็นการเข้าถือบวชของคฤหัสถ์เพราะเป็นอุบายเว้นจากบาป  และอบรมกาย วาจา ใจ ให้สุขเกิดรสหวาน  ซึ่งเป็นผลที่ต้องการทั้งทางคดีโลก  คดีธรรม  จริงอย่างนั้น  น้ำใจอัธยาศัย  อันทำอบรมบ่มให้สุขแล้ว  ย่อมเกิดรสหวาน  คือน่ารัก น่าเคารพ น่าคบค้าสมาคมด้วยความสนิทสนม  กาย วาจา และใจ  อันศีลอบรมบ่มให้สุขแล้วย่อมเกิดรสหวาน  กล่าวคือกิริยาทางกายหวาน  ตาน่าดูน่าชม  คำพูดทางวาจาก็หวานหู  ฟังไม่รู้เบื่อ

              ๕. ตามที่กล่าวมาแล้ว ๔ ประการนี้เป็นอานิสงส์  จะพึงเห็นได้ด้วยตนเองในชาตินี้  ส่วนอานิสงส์ในชาติหน้านั้น  แม้ถึงจะยังไม่มีผู้รับรองยืนยันเพราะทุกๆ คนยังไม่ตาย  หรือเคยตายมาแล้วก็เป็นการเหลือวิสัย  ที่จะจดจำนำมาเป็นพยานได้  แต่ก็พอมีแนวทางที่จะคาดคะเนหรือสันนิษฐานลงด้วยเหตุผลว่า  กาย วาจา ใจ  ที่บริสุทธิ์สะอาดด้วยอำนาจศีลธรรมที่ได้ปฏิบัติไว้ในชาตินี้นั้นและฯ  จะเป็นพืชพันธุ์  เป็นเครื่องรับประกันให้เกิดผลคู่ควรกันในชาติหน้า  สมด้วยพระคาถาพุทธภาษิตว่า

              โยธมฺมจารี  กาเยน  วาจาย  อุทเจตสา  อิเทวนํ  ปสงฺสนฺติ  เปจฺจ  สคฺเค  ปโมทติ

              ผู้ใดประพฤติเป็นธรรมด้วยกาย วาจา และใจ  ในชาตินี้  เขาย่อมได้รับการสรรเสริญ  ครั้นละโลกนี้ไปเขาย่อมบันเทิงเบิกบานในโลกสวรรค์ดังนี้.