|
|
|
|
เวลาตีสี่ของทุกวัน ยายจะลุกขึ้นสวดมนต์ภาวนา เป็นเวลา ๑ ชั่วโมง ส่วนเด็กชายจรัญ จะลุกขึ้นก่อไฟหุงข้าวให้ยายใส่บาตร หลังจากนั้นยายหลานจะลงไปพรวนดิน ถางหญ้า พร้อมเก็บพืช ผัก ผลไม้ เพื่อนำไปขายในตลาด หากวันใด ที่ผัก ผลไม้ มีมาก ยายหาบไม่ไหว หลานชายจะแบ่งใส่สาแหรกอีกลูกหนึ่ง หาบไปส่งยายที่ตลาด แล้วจึงไปโรงเรียน |
||||||||||||||
ในวัยที่กำลังเรียนหนังสือ เด็กชายจรัญไม่เคยสนใจเรียนหนังสือเลย มักชวนเพื่อน ๆ ไปยิงนกตกปลา ถูกย้ายโรงเรียนหลายแห่ง เพราะทางโรงเรียนทนความประพฤติของเด็กชายจรัญไม่ไหว ทั้ง ๆ ที่ยายพร่ำสอนแต่สิ่งดี ๆ ให้เด็กชายจรัญ แต่เขากลับไม่เคยรับฟังอยา่งใส่ใจเลย |
||||||||||||||
ยายให้เอาข้าวไปถวายพระแทน เพราะยายไม่ค่อยสบาย ระหว่างทางเจอเพื่อนนักเรียนที่สร้างวีรกรรมหนีโรงเรียนด้วยกันมา เพื่อนบอกว่า ยังไม่ได้กินข้าวเลย เด็กชายจรัญ ก็นึกไปว่าจะเอาไปให้พระทำไม พระก็มีของกินตั้งเยอะแยะแล้ว เลยตั้งวงกินกันเองกับเพื่อน พอกลับถึงบ้าน ยายถามก็บอกว่า ถวายแล้ว วันต่อมาก็ทำอีก บังเอิญ อยู่มาวันหนึ่ง สมภารได้แวะมาเยี่ยมยายที่บ้าน ความเลยแตก ถูกยายดุด่าและตีด้วยไม้เรียว พร้อมทั้งพูดสั่งสอน เอ็งทำแบบนี้ มันเป็นบาปต้องเป็นเปรตปากเท่ารูเข็มรู้้ไม๊ |
||||||||||||||
ช่วงเยาว์วัย เด็กชายจรัญเรียนอยู่โรงเรียนวัดพรหมสาคร ข้ามเรือจ้างเดือนละ ๒๕ สตางค์ ที่ท่าเรือของตาก้อย ก็โกงไม่ให้เงิน ๒ เดือน แล้วก็เปลี่ยนไปขึ้นท่าเรือของยายนวมก็โกงเงินอีก ท่าเรือมี ๓ ท่า เด็กชายจรัญโกงเงินหมดทั้ง ๓ ท่า | ||||||||||||||
ทุก ๆ ปี ปีละ ๒ ครั้ง ยายจะจัดให้มีการเทศน์มหาชาติขึ้นที่บ้าน ลูก ๆ หลาน ๆ ก็มาพร้อมหน้ากัน ยายจะนิมนต์พระมา ๓ รูป ขึ้นเทศน์ ๓ ธรรมาสน์ เทศน์โต้ตอบกันเรียกว่า เทศปุจฉาวิสัชนา เด็ก ๆ จะพากันวิ่งซุกซน ยายจะจับผูกขาล่ามไว้กับเสาเรือนเป็นการบังคับให้ฟังเทศน์ เด็กชายจรัญเป็นหนึ่งในจำนวนเด็กที่ถูกผูกขาล่ามเชือกไว้ด้วย |
||||||||||||||
ตอนมัธยม ๒ เด็กชายจรัญชวนเพื่อนไปกินก๋วยเตี๋ยวผัดไทยที่ร้านยายกุ่ม (ใส่ไข่ ๕ ไม่ใส่ ๓ สตางค์) ทั้งที่ไม่มีเงิน เมื่อกินอิ่มแล้วก็ออกอบายให้เพื่อน ๆ เดินกลับไปก่อน แล้วเด็กชายจรัญจึงแอบหยิบสตางค์ของลูกค้าคนอื่นที่อยู่ในชามเก็บสตางค์ของแม่ค้า แล้วโยนกลับลงไปให้เกิดเสียงเหมือนว่าจ่ายเงินแล้ว ทำอย่างนี้ถึง ๓ ครั้ง โดยที่แม่ค้าไม่ทราบในกลโกงของเด็กชายจรัญเลย | ||||||||
เด็กชายจรัญได้รับเงินค่าจ้าง ๑ บาท จากพวกขี้เหล้า ในการนำเต่าจำนวน ๗ ตัวไปต้ม เข้าจัดการก่อไฟแล้วตักน้ำใส่หม้อ ยกตั้งบนเตาจนน้ำเดือด แล้วจึงนำเต่าใส่ลงไปในหม้อน้ำที่เดือดนั้น เต่าทั้งหมดต่างพากันดิ้นตะกุกตะกัก ทุรนทุราย จนหม้อแตกออกเป็น ๒ เสี่ยง น้ำในหม้อไหลลงเตาจนไฟดับ |
||||||||
เต่าทั้ง ๗ ตัว ต่างตะเกียกตะกาย หนีตายกันสุดชีวิต เข้าไปที่กอไผ่ใกล้ ๆ นั้น เด็กชายจรัญวิ่งตามเพื่อจะจับเต่ากลับมาต้มอีก แต่เขาต้องตกตะลึง เพราะภาพที่เขาเห็นคือ เต่าเหล่านั้นใช้ขาหน้าสองขาปาดน้ำตา ที่ไหลพราก ๆ ออกมา เหมือนกับคำเปรียบเปรยที่ว่า ร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่า ไม่น่าเชื่อเลยว่า เต่าจะต้องไห้เป็น เขาจึงเปลี่ยนใจไม่คิดจะจับเต่ามาต้มอีก เต่าทั้ง ๗ ตัว มองหน้าเขาอย่างอาฆาตแค้น แล้วจึงพากันคลานหนีหายเข้าไปในกอไผ่ เมื่อเด็กชายจรัญไปบอกกับพวกขี้เหล้าทั้งหลายให้รู้ ก็จะขอเงินค่าจ้าง ๑ บาทคืน พวกเขาไม่ยอม ในที่สุดต้องไปขโมยปลาเกลือตากแห้งของป้า ที่ตากอยู่นอกชานเรือนมาปิ้งให้แทน |
||||||||
|
|
วันฉลองสนามบิน จ.สิงห์บุรี ตอนนั้นหลวงสรรพประสาทเป็นผู้ว่าราชการ เด็กชายจรัญ ได้ขอเงินยายจำนวน ๑๐๐บาท เพื่อนำไปซื้อเครื่องแบบลูกเสือใส่ไปงานฉลองสนามบิน และยายได้ให้เงินเพียง ๑๐ บาท แต่พอยายเผลอก็เดินตัวเบา ซ้ายย่างหนอ...ขวาย่างหนอ... แอบไปหยิบเงินใต้หมอนจำนวน ๕๐๐ บาท ไปซื้อเครื่องแบบลูกเสืออย่างสมใจ พอยายถามก็ไม่ยอมรับ พร้อมทั้งสาบาน ถ้าขโมยจริงของให้ฟ้าผ่า....(แต่ไม่ตาย) |
||||||||
จากผลกรรมนั้น ได้เกิดขึ้นกับหลวงพ่อจรัญ เมื่อหลวงพ่อกำลังเทศน์โปรดญาติโยมอยู่ที่กุฏิหลังปัจจุบัน ตอนบ่ายสี่โมงเย็น ได้เกิดสายฟ้าสีเขียวและสีแดงวิ่งมาชนกัน แล้วผ่าลงมาที่ตัวของหลวงพ่อ ปรากฏว่าจีวรไหม้หมด แต่เป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก ที่ร่างกายของหลวงพ่อไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้ เป็นเพราะแรงที่สาบานกับยายไว้ตั้งแต่อดีต |
||||||||
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๐ หลวงพ่อเดินทางไปแม่สอนโดยรถยนต์ รถของท่านเกิดอุบัติเหตุตกเหว รถตกไปค้างอยู่บนยอดต้นยาง ต้องนอนหนาวอยู่ ๑ วัน ๑ คืน หลวงพ่อไต่ขึ้นมาจากเหวได้อย่างสะบักสะบอม จีวรขาดวิ่นเหลือแต่สบง ไปเรียกให้คนช่วย ก็ไม่มีใครช่วย หาว่าเป็นคนบ้าวิกลจริต พากันขว้างปาจนหัวบวมไปหมด กว่าจะมีคนมาช่วย รถก็ยังอยู่ที่เดิม พระจรัญได้กำหนดสติรับรู้กรรมที่ท่านต้องมาประสบเคราะห์กรรมในครั้งนี้เพราะ เมื่อตอนที่ท่านเป็นเด็กชาย แอบไปขว้างหัวชาวบ้านอยู่เป็นประจำ วันหนึ่งพบคนเมาเดินโซซัดโซเซมา ชื่อตาเถิ่ง เด็กชายจรัญหมั่นไส้ จึงถีบตาเถิ่งตกลงไปในน้ำที่มีต้นกง ต้นแสมเต็มไปหมด ตาเถิ่งได้รับบาดเจ็บและนอนจมอยู่ในน้ำ ๑ วันกับอีก ๑ คืน ผลกรรมนี้จึงมาตกกับท่านในคราวนี้เองอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง |
||||||||
และเมื่อสมัยที่หลวงพ่อยังเป็นเด็กชายจรัญอยู่ ได้รับจ้างอาแป๊ะคนจีน เชือดคอถอนขนไก่และเป็ดในวันตรุษจีน เกิดเหตุการณ์ไก่เพศเมียที่ถูกเชือดคอแล้วลุกขึ้นมาขันและล้มเสียชีวิต เวลาผ่านไปประมาณ ๑ ชั่วโมง อาแป๊ะเดินไปตักน้ำกลับมา ปรากฏว่า เลือดไหลออกจาก ปาก หู และทวารหนัก แล้วล้มลงสิ้นชีวิตต่อหน้าต่อตาเด็กชายจรัญ เด้วยเหตุนี้เอง หลวงพ่อจรัญจึงเลิกฉัน เนื้อ เป็ด ไก่ นก และสัตว์ปีกทุกชนิดจนถึงปัจจุบันนี้ |
||||||
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๑ ผลกรรมได้ตอบสนอง ขณะนั้นหลวงพ่อได้เป็นเจ้าอาวาสใหม่ ๆ ได้เป็นโรคลำไส้ ปวดกระเพาะมาก ไส้เริ่มเน่า ถ่ายออกมาเป็นเลือดและน้ำเหลืองนานอยู่ ๓ ปี ลูกศิษย์ได้พาไปรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช หมอวินิจฉัยโรคพร้อมทั้งลงความเห็นให้ทำการผ่าตัดหลวงพ่อ ในวันรุ่งขึ้น พอตอนเช้าตีสี่ หลวงพ่อได้หลอกพยาบาลว่าต้องทำกิจวัตร คือ การเดินจงกรมทุกเช้า และได้หนีออกจากโรงพยาบาล แล้วเรียกสามล้อตุ๊ก ๆ เพื่อไปลงเรือกลับวัด |
||||||
|
|
ขณะอยู่ที่วัด ต้องฉันน้ำทีละหยด แสบท้องทรมานมาก ต่อมาลูกศิษย์คือ นายเทียบนอง บุญนาค แวะมาเยี่ยม บอกว่ามียาผีบอก ให้นำเกลือ ๓ กำ ไข่ไก่ ๑๕ ฟอง โดยใช้เฉพาะไข่แดง นำมาใส่หม้อดิน ต้มจนเป็นเกลือสตุ แล้วให้เริ่มฉันทีละช้อน แล้วดื่มน้ำตาม เมื่อหลวงพ่อฉัน พอเกลือตกถึงท้องแล้ว รู้สึกปวดแสบปวดร้อนมากจนสลบ พอฟื้นขึ้นมาอีกที ปรากฏว่า อาการปวดท้องไ้ด้หายเป็นปลิดทิ้ง และฉันอาหารได้ตามปกติ |
||||||
วันหนึ่งยายจะไปค้างที่วัดเพื่อฟังเทศน์ กลัวว่าจะถูกพวกโจรขโมยมาลักทรัพย์ไป จึงให้นายจรัญนำไหกระเทียมมาใส่เงินกลมไว้ด้านล่าง สายสะพาย ๒ เส้น ๆ ละ ๘ บาท สร้อยข้อมือ ๑ คู่ ข้างละ ๔ บาท ร่างแหทองคำ เงิน นาก ห่อผ้าโปะอยู่ด้านบน และขุดฝังไว้ใต้ถุนบ้านแล้วปรับหน้าดินให้เสมอกัน เอาขี้ควายยาทับเหมือนที่ยาลานข้าว จากนั้นเอากระพ้อมมาครอบไว้ หลังจากส่งยายไปวัดแล้ว นายจรัญก็เตรียมการที่จะขโมยสมบัติของยาย แต่พอขุดไป ปรากฏว่า ไหที่ใส่สมบัติของยายได้หายไป เมื่อยายกลับมาก็ลืมเรื่องการฝังสมบัติไปหมดสิ้น | ||||||
|
|
|
|
|
|
|
|
|
นายจรัญได้ไปร่วมบรรเลงพิณพาทย์ที่วัดโตนด และหลวงธาราสั่งให้เลยไปเล่นต่อในงานศพอีกวัดหนึ่งใกล้ ๆ กัน คนอื่นในวงไปกันก่อน ส่วนนายจรัญเผลอนอนหลับอยู่บนศาลาวัดคนเดียว และแล้ว สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อพระวัดโตนดได้พาศิษย์วัดประมาณ ๑๐ คน มารุมทำร้าย เนื่องจากนายจรัญเคยด่าว่า พระวัดโตนดอาศัยผ้าเหลืองหากิน ไม่ปฏิบัติตามพระวินัยที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้เป็นต้นว่า แอบกินยาฝิ่น ชอบต่อนกเขา กินข้าวค่ำ ซึ่งทำให้พระวัดโตนดโกรธแค้นมาก จึงสั่งให้ลูกสมุนทั้งสิบคนช่วยกันรุมทำร้ายนายจรัญ หนุ่มร่างเล็กล้มลุกคลุกคลานอย่างสะบักสะบอม โดยไม่ทันตั้งหลัก ลูกสมุนหนึ่งในสิบชักมีดวิ่งไล่แทงตามไปติด ๆ หลังจะฆ่าให้ตาย นายจรัญเห็นท่าไม่ดีแน่ จึงวิ่งหนีเอาตัวรอดไปที่ท่าน้ำ ตั้งใจว่าจะกระโดดน้ำหนี แต่โชคดีมีคนมาฉุดข้อมือลงไปในเรือช่วยไว้ได้ทันชื่อ นายหมั่น แซ่ตั้ง ทางฝ่ายพระวัดโตนดกลัวความผิด ที่มีคนมาเห็นเหตุการณ์ จึ่งสั่งให้ลูกศิษย์วัดถอยล่าทัพกลับไป นายหมั่นแจวเรือพานายจรัญซึ่งนอนสลบไสลอยู่ ไปรักษาตัวที่บ้าน และทำยาสมุนไพรจีนให้ทาน และให้นอนพักฟื้นจนหายดี แล้วจึงพาไปส่งที่บ้านหลวงธารา เป็นเพราะสาเหตุนี้ ทำให้เขาเกลียดพระมาตั้งแต่บัดนั้น |
|||||||||||||
วันหนึ่งแม่ของนายจรัญเริ่มป่วยกระเสาะกระแสะ นายจรัญจึงถูกแม่ขอร้องให้บวช เพื่อจะได้เห็นชายผ้าเหลืองก่อนตาย นายจรัญก็บวชทดแทนพระคุณแม่ เมื่ออายุ ๒๐ ปี ณ วัดพรหมบุรี เมื่อวัีนที่ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๑ เวลา ๑๔.๐๐ น. โดยมี พระครูพรหมจริยคุณ วัดแจ้งพรหมนคร เจ้าคณะอำเภอพรหมบุรี เป็นพระอุปัชฌาย์ พระปลัดกิมเอง วัดพุทธาราม เป็นกรรมวาจาจารย์ พระอธิการช่อ วัดพรหมบุรี เป็นอนุสาวนาจารย์ |
|||||||||||||
แม้จะเกลียดพระมาก่อน แต่เมื่อต้องมาเป็นพระ ท่านก็พยายามปฏิบัติตามพระวินัยที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ และปฏิบัติสมณกิจอย่างเคร่งครัด ทุกเช้าจะออกไปบิณฑบาตรในหมู่บ้าน เพื่อให้โยมยายและโยมแม่ได้ใส่บาตร เมื่อเสร็จภัตกิจแล้ว พระจรัญก็ทำความสะอาดกุฏิของท่าน เพราะท่านเป็นคนค่อนข้างมีระเบียบ เพราะโยมยายปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก | |||||||||||||
ในช่วงเวลาที่บวช พระจรัญถูกอารมณ์ทางโลกเข้าครอบงำ ทำให้เกิดความเบื่อหน่าย มีจิตใจรุ่มร้อน ต้องการที่จะลาสึกอยู่ตลอดเวลา แต่ต้องมีเหตุที่ทำให้ท่านลาสึกไม่ได้สักที เมื่อต้องการลาสึกทีไร ก็เกิดอาการง่วงเหงา เศร้า ซึม พร้อมได้ยินเสียงกังวานให้แก้วหู..... เข้ามาแทนที่กระทันหันว่า นะโมยังไม่ได้ ก็ยังลาสึกไม่ได้ จนท่านสมภารพูดกับพระอันดับ ๔ รูปที่จะมาสึกให้ว่า พระจรัญไม่ได้สึกหรอก รู้สึกว่าท่านต้องบวชไปตลอดชีวิต แล้วพระจรัญก็ทราบสัจธรรมที่แท้จริงว่า เกลียดสิ่งไหน ก็จะเจอสิ่งนั้น เกลียดพระ ก็จะต้องมาเป็นพระ |
|||||||||||||
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
พระจรัญอายุได้ ๒๕ ปี ได้ยินข่าวลือว่า มีพระรูปหนึ่งอยู่ที่ขอนแก่น สอนวิชายืดเหรียญ ท่านจึงเดินทางไปขอนแก่นเพื่อเรียนวิชานี้ และได้ไปพบกับอดีตผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่ง อายุ ๘๔ ปี ซึ่งเป็นต้นตอของข่าวลือ จึงได้เล่าความจริงให้พระจรัญทราบว่า ผมได้รับกล่องใส่ยาสูบเป็นทองเหลือง ซึ่งเป็นมรดกจากพ่อซึ่งเป็นกำนัน และได้รับพระราชทานมาจากในหลวงรัชกาลที่ ๖ ในกล่องมีเหรียญซ่อนอยู่ก้นกล่องใส่ยาสูบ ๑ เหรียญ จนกระทั่งผมได้มาพบพระรูปหนึ่งมาปักกลด นั่งขัดสมาธิหลับตาอยู่ใต้ต้นไทรใหญ่กลางทุ่งนาเป็นเวลา ๑ เดือนของทุกปี มาอยู่ราว ๆ เดืิอน ๓ พอเดือน ๔ ก็หายไปไม่ทราบว่าท่านหายไปไหน ผมเห็นท่านตั้งแต่ ๘ ขวบจนอายุ ๘๔ ปีแล้ว รูปร่างหน้าตาท่านเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ท่านนั่งหลับตาไม่พูดกับใคร ญาติโยมไปหา ท่านก็ไม่พูดด้วย ผมจำได้ว่าเมื่อตอนเป็นเด็ก ออกไปทำนากับพ่อ ก็แวะไปนั่งเ้ฝ้าท่าน เมื่อท่านฉันอาหารในบาตรเสร็จ ท่านก็เทอาหารก้นบาตรมาให้ผม ผมสำนึกในบุญคุณที่ท่านให้ผมกินข้าวก้นบาตรมาตลอด ผมไปพบท่านทุก ๆ ปี แต่ที่น่าแปลก คือ ท่านได้พูดขึ้นมาหลังจากที่ไม่พูดมา ๗๐ กว่าปีว่า โยมมีของดี ในกล่องยาให้นำไปบูชา ลูกหลานจะได้อยู่เย็นเป็นสุข เพราะว่าเป็นเหรียญพระราชทานให้แก่ผู้ใหญ่ กำนันที่ทำงานดี ปกป้องคุ้มครองแก่ราษฎรให้อยู่ดีกินดี เมื่อกลับมาบ้านผมก็เปิดกล่องยาดู พบเหรียญซ่อนอยู่ก้นกล่อง ในเหรียญมีเลขอยู่ ๓ ตัว พวกลูกหลานนำเลข ๓ ตัวไปแทงหวยก็ถูกติดต่อกัน ๓ งวด ก็เลยลือกันไปถึงบางกอก ปากต่อปาก จากคืบเป็นศอก จากศอกเป็นวา แต่พระจรัญก็ไม่ปักใจเชื่อเสียทีเดียว จึงได้ขอให้ผู้ใหญ่บ้านพาไปพบพระรูปนั้น |
|
|
หลวงพ่อจรัญเรียน สติปัฏฐาน ๔ อยู่กับหลวงพ่อในป่าเป็นเวลา ๑ ปี จนเกิดความรู้ความเข้าใจ แจ่มแจ้งด้วยตนเอง แล้วจึงนำหลักคำสอนของหลวงพ่อในป่า มาสอนให้กับญาติโยมและศิษยานุศิษย์จนถึงปัจจุบัน |
จากผลกรรมที่หลวงพ่อได้รับ ทำให้ หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม (พระราชสุทธิญาณมงคล) ได้ตั้งปณิธานแน่วแน่ว่า จะสร้างคนโดยใช้วิธีการที่สำคัญ คือ การให้การศึกษาอบรมและสอนวิปัสสนากรรมฐาน ผลงานของท่านเป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งปวง ไม่เฉพาะประชาชนคนไทยเท่านั้น แม้แแต่ชาวต่างประเทศก็ยอมรับและให้ความเคารพนับถือหลวงพ่อเป็นอย่างยิ่ง ท่านเริ่มสอนวิปัสสนากรรมฐานให้กับญาติโยม และศิษยานุศิษย์ที่วัดอัมพวัน ตั้งแต่หลวงพ่อได้มาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ ท่านได้พัฒนาวัดอัมพวันให้เจริญรุ่งเรือง โดยการสร้างศาลาปฏิบัติธรรม และมีห้องน้ำสะอาดสะอ้านจำนวนมากกว่า ๕๐๐ ห้อง ในปีหนึ่ง ๆ มีผู้เข้ามาปฏิบัติธรรมทั้งที่เป็นพระภิกษุ สามเณร แม่ชี และคฤหัสถ์ คือ ประชาชน นักเรียน นิสิต นักศึกษา เป็นจำนวนมากนับแสนคน | |||||||||
หลวงพ่อท่านมีเมตตาต่อผู้คนทุกถ้วนหน้า โดยไม่เลือก ชั้น วรรณะ เชื้อชาติ หรือ ศาสนา ศิษยานุศิษย์ของท่านจึงมีทั้งที่นับถือศาสนาพุทธ คริสต์ และอิสลาม ทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ ท่านตั้งปณิธานมุ่งมั่นในการสร้างคน แทนการสร้างวัตถุ จึงทุ่มเทชีวิตทั้งกำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญาให้กับ การเผยแพร่วิปัสสนากรรมฐานมากว่า ๔๐ ปี โดยทำงานอย่างหนัก ทั้งกลางวัน กลางคืน เพื่อพัฒนาจิตของบุคคนทุกระดับชนชั้น ให้สูงขึ้นเป็นไปตามเจตนารมณ์ที่ท่านได้อธิษฐานจิต (หลังจากอุบัติเหตุ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๒๑) ไว้ว่า จะใช้หนี้โลกมนุษย์ ด้วยการเผยแพร่พระธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จะไม่ขอสร้างวัตถุุอีกต่อไปแล้ว |
|||||||||
จบบริบูรณ์ |
|||||||||