คำนำ

เรื่องราวทั้งหมดในหนังสือภาพการ์ตูนเล่มนี้ เป็นชีวประวัติจากชีวิตจริงเพียงบางส่วนของ พระเทพสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม) แห่งวัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี ในอดีตเมื่อครั้งเยาว์วัย ซึ่งได้ก่อกรรมทำเข็ญไว้มากมาย ทำไปด้วยความไร้เดียงสา รักสนุก คึกคะนองไม่รู้บาปบุญคุณโทษ โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หารู้ไม่ว่ากรรมที่ท่านได้ก่อไว้นั้น จะส่งผลกลับมาสนองไม่วันใดก็วันหนึ่ง และเมื่อถึงวันนั้น ท่านต้องชดใช้กรรมที่ตนเองก่อขึ้นมานั้นอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ แม้ท่านจะอยู่ในเพศบรรพชิตที่สร้างสมแต่ความดีมาตลอด เพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนใจเราท่านทุกคนเชื่อว่า "เวรกรรมนั้นมีจริง เราทำกรรมอันใดไว้ดีหรือชั่ว เราจะต้องรับผลกรรมนั้น"
 

 

พระราชสุทธิญาณมงคล (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม) เกิดในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๗ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์) เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๔๗๑ เวลา ๐๗.๑๐ น. (๔ฯ ๘ ปีมะโรง) ณ ตำบลม่วงหมู่ อ.เมือง จ.สิงห์บุรี เป็นบุตรคนที่ ๕ ในจำนวน ๑๐ คน ซึ่งเกิดจากโยมมารดาเจิม และโยมบิดา แพ จรรยารักษ์

ชีวิตในเยาว์ชัย หลวงพ่อได้อาศัยอยู่กับยาย วัย ๘๐ ปี ณ เรือนทรงไทยหลังใหญ่กลางดงไม้ร่มครึ้มด้วยมะม่วง มะปราง ขนุน น้อยหน่า และ ละมุด ฯลฯ แผ่กิ่้งก้านสาขาอย่างเสรี ด้วยเนื้อที่ที่กว้างขวาง ด้านหลังติดกับลำน้ำลพบุรี ใช้ปลูกพืชผักสวนครัวนานาชนิด เรื่องราวจากชีวิตจริงของหลวงพ่อเริ่มต้นจากบ้านหลังนี้

เวลาตีสี่ของทุกวัน ยายจะลุกขึ้นสวดมนต์ภาวนา เป็นเวลา ๑ ชั่วโมง ส่วนเด็กชายจรัญ จะลุกขึ้นก่อไฟหุงข้าวให้ยายใส่บาตร หลังจากนั้นยายหลานจะลงไปพรวนดิน ถางหญ้า พร้อมเก็บพืช ผัก ผลไม้ เพื่อนำไปขายในตลาด หากวันใด ที่ผัก ผลไม้ มีมาก ยายหาบไม่ไหว หลานชายจะแบ่งใส่สาแหรกอีกลูกหนึ่ง หาบไปส่งยายที่ตลาด แล้วจึงไปโรงเรียน

ในวัยที่กำลังเรียนหนังสือ เด็กชายจรัญไม่เคยสนใจเรียนหนังสือเลย มักชวนเพื่อน ๆ ไปยิงนกตกปลา ถูกย้ายโรงเรียนหลายแห่ง เพราะทางโรงเรียนทนความประพฤติของเด็กชายจรัญไม่ไหว ทั้ง ๆ ที่ยายพร่ำสอนแต่สิ่งดี ๆ ให้เด็กชายจรัญ แต่เขากลับไม่เคยรับฟังอยา่งใส่ใจเลย

ยายให้เอาข้าวไปถวายพระแทน เพราะยายไม่ค่อยสบาย ระหว่างทางเจอเพื่อนนักเรียนที่สร้างวีรกรรมหนีโรงเรียนด้วยกันมา เพื่อนบอกว่า “ยังไม่ได้กินข้าวเลย เด็กชายจรัญ ก็นึกไปว่าจะเอาไปให้พระทำไม พระก็มีของกินตั้งเยอะแยะแล้ว” เลยตั้งวงกินกันเองกับเพื่อน พอกลับถึงบ้าน ยายถามก็บอกว่า ถวายแล้ว วันต่อมาก็ทำอีก บังเอิญ อยู่มาวันหนึ่ง สมภารได้แวะมาเยี่ยมยายที่บ้าน ความเลยแตก ถูกยายดุด่าและตีด้วยไม้เรียว พร้อมทั้งพูดสั่งสอน “เอ็งทำแบบนี้ มันเป็นบาปต้องเป็นเปรตปากเท่ารูเข็มรู้้ไม๊”

ช่วงเยาว์วัย เด็กชายจรัญเรียนอยู่โรงเรียนวัดพรหมสาคร ข้ามเรือจ้างเดือนละ ๒๕ สตางค์ ที่ท่าเรือของตาก้อย ก็โกงไม่ให้เงิน ๒ เดือน แล้วก็เปลี่ยนไปขึ้นท่าเรือของยายนวมก็โกงเงินอีก ท่าเรือมี ๓ ท่า เด็กชายจรัญโกงเงินหมดทั้ง ๓ ท่า

ทุก ๆ ปี ปีละ ๒ ครั้ง ยายจะจัดให้มีการเทศน์มหาชาติขึ้นที่บ้าน ลูก ๆ หลาน ๆ ก็มาพร้อมหน้ากัน ยายจะนิมนต์พระมา ๓ รูป ขึ้นเทศน์ ๓ ธรรมาสน์ เทศน์โต้ตอบกันเรียกว่า “เทศปุจฉาวิสัชนา” เด็ก ๆ จะพากันวิ่งซุกซน ยายจะจับผูกขาล่ามไว้กับเสาเรือนเป็นการบังคับให้ฟังเทศน์ เด็กชายจรัญเป็นหนึ่งในจำนวนเด็กที่ถูกผูกขาล่ามเชือกไว้ด้วย

ตอนมัธยม ๒ เด็กชายจรัญชวนเพื่อนไปกินก๋วยเตี๋ยวผัดไทยที่ร้านยายกุ่ม (ใส่ไข่ ๕ ไม่ใส่ ๓ สตางค์) ทั้งที่ไม่มีเงิน เมื่อกินอิ่มแล้วก็ออกอบายให้เพื่อน ๆ เดินกลับไปก่อน แล้วเด็กชายจรัญจึงแอบหยิบสตางค์ของลูกค้าคนอื่นที่อยู่ในชามเก็บสตางค์ของแม่ค้า แล้วโยนกลับลงไปให้เกิดเสียงเหมือนว่าจ่ายเงินแล้ว ทำอย่างนี้ถึง ๓ ครั้ง โดยที่แม่ค้าไม่ทราบในกลโกงของเด็กชายจรัญเลย

เด็กชายจรัญได้รับเงินค่าจ้าง ๑ บาท จากพวกขี้เหล้า ในการนำเต่าจำนวน ๗ ตัวไปต้ม เข้าจัดการก่อไฟแล้วตักน้ำใส่หม้อ ยกตั้งบนเตาจนน้ำเดือด แล้วจึงนำเต่าใส่ลงไปในหม้อน้ำที่เดือดนั้น เต่าทั้งหมดต่างพากันดิ้นตะกุกตะกัก ทุรนทุราย จนหม้อแตกออกเป็น ๒ เสี่ยง น้ำในหม้อไหลลงเตาจนไฟดับ

เต่าทั้ง ๗ ตัว ต่างตะเกียกตะกาย หนีตายกันสุดชีวิต เข้าไปที่กอไผ่ใกล้ ๆ นั้น เด็กชายจรัญวิ่งตามเพื่อจะจับเต่ากลับมาต้มอีก แต่เขาต้องตกตะลึง เพราะภาพที่เขาเห็นคือ เต่าเหล่านั้นใช้ขาหน้าสองขาปาดน้ำตา ที่ไหลพราก ๆ ออกมา เหมือนกับคำเปรียบเปรยที่ว่า “ร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่า” ไม่น่าเชื่อเลยว่า เต่าจะต้องไห้เป็น เขาจึงเปลี่ยนใจไม่คิดจะจับเต่ามาต้มอีก เต่าทั้ง ๗ ตัว มองหน้าเขาอย่างอาฆาตแค้น แล้วจึงพากันคลานหนีหายเข้าไปในกอไผ่ เมื่อเด็กชายจรัญไปบอกกับพวกขี้เหล้าทั้งหลายให้รู้ ก็จะขอเงินค่าจ้าง ๑ บาทคืน พวกเขาไม่ยอม ในที่สุดต้องไปขโมยปลาเกลือตากแห้งของป้า ที่ตากอยู่นอกชานเรือนมาปิ้งให้แทน

ต่อมาวันหนึ่ง เด็กชายจรัญ ได้ถอดปืนออกเป็น ๓ ท่อน เอามุ้งพันแล้วห่อด้วยเสื่อ แล้วโกหกยายว่า จะไปเรียนพิเศษ แต่ที่จริงแล้ว เด็กชายจรัญนัดกับครูฉั้ว ครูใหญ่โรงเรียนวัดแจ้งพรหมนคร เพื่อจะยิงนกให้พรรคพวกครูฉั้วที่หนองสาหร่าย เด็กชายจรัญมีอุบายในการยิงนก โดยการนำปืนวางไว้บนแพหยวกกล้วย แล้วลอยตัวตามน้ำ และนำผักตบชวามาพรางตัวอีกทีหนึ่ง เพื่อรอคอยให้นกลงมากินน้ำ ในขณะที่บนบก ชาวบ้านหลายคนคอยไล่นกไม่ให้นกลงมากินหนองน้ำที่หนองอื่น แต่ต้องลงมากินที่หนองน้ำที่เด็กชายจรัญดักรออยู่ พอมีฝูงนกบินลงมากินน้ำเป็นจำนวนมาก เด็กชายจรัญ ก็ยืนขึ้นครึ่งตัวถือปืนยืนนิ่งเสมือนหุ่นไล่กา เพื่อให้ฝูกนกเหล่านั้นตายใจ เหล่าฝูกนกหารู้ไม่ว่า ขณะที่พวกมันกำลังบินวนอยู่เป็นสายนับร้อย ๆ ตัวนั้น มีคนคอยจ้องจะเอาชีวิตพวกมันอยู่ ทันใดนั้น เสียงปืนก็ดังขึ้น เปรี้ยง ! ๆ เหล่านกร่วงตกลงมาเป็นฝูง ตายนับร้อยตัว โดยฝีมือของเด็กชายจรัญนั่นเอง

นกบางตัวที่ยังไม่ตาย เขาก็วิ่งไล่ตามไปจับหักคอแล้ว ใส่ตะข้องท่ามกลางเสียงเชียร์ของชาวบ้านที่มุงอยู่ บังเอิญมีนกโชคร้ายตัวหนึ่ง ยังไม่ตายแต่มันปีกหัก จึงตกลงบนคันนา และวิ่งหนีสุดชีวิต จึงเป็นเหยื่อให้เด็กชายจรัญวิ่งไล่ตาม เพื่อจะจับหักคอให้ตายสมใจ และแล้วสิ่งที่ไม่คาดคิด ก็เกิดขึ้น เจ้านกตัวนั้นตกใจ และโกรธมาก จึงหันมาจิกมือเขาเต็มแรง จนเลือดพุ่งกระฉูด ด้วยความเจ็บและแค้น เด็กชายจรัญ จึงจับเจ้านกหักคอถลกหนังหัว เจ้านกร้องลั่นและสิ้นชีวิตอยางเจ็บปวดและทรมานเป็นที่สุด โดยที่เขาไม่รู้ว่ากรรมที่เข้าได้สร้างขึ้นมานั้น จะตามมาถึงในวันข้างหน้า

วันฉลองสนามบิน จ.สิงห์บุรี ตอนนั้นหลวงสรรพประสาทเป็นผู้ว่าราชการ เด็กชายจรัญ ได้ขอเงินยายจำนวน ๑๐๐บาท เพื่อนำไปซื้อเครื่องแบบลูกเสือใส่ไปงานฉลองสนามบิน และยายได้ให้เงินเพียง ๑๐ บาท แต่พอยายเผลอก็เดินตัวเบา ซ้ายย่างหนอ...ขวาย่างหนอ... แอบไปหยิบเงินใต้หมอนจำนวน ๕๐๐ บาท ไปซื้อเครื่องแบบลูกเสืออย่างสมใจ พอยายถามก็ไม่ยอมรับ พร้อมทั้งสาบาน “ถ้าขโมยจริงของให้ฟ้าผ่า”....(แต่ไม่ตาย)

จากผลกรรมนั้น ได้เกิดขึ้นกับหลวงพ่อจรัญ เมื่อหลวงพ่อกำลังเทศน์โปรดญาติโยมอยู่ที่กุฏิหลังปัจจุบัน ตอนบ่ายสี่โมงเย็น ได้เกิดสายฟ้าสีเขียวและสีแดงวิ่งมาชนกัน แล้วผ่าลงมาที่ตัวของหลวงพ่อ ปรากฏว่าจีวรไหม้หมด แต่เป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก ที่ร่างกายของหลวงพ่อไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้ เป็นเพราะแรงที่สาบานกับยายไว้ตั้งแต่อดีต

เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๐ หลวงพ่อเดินทางไปแม่สอนโดยรถยนต์ รถของท่านเกิดอุบัติเหตุตกเหว รถตกไปค้างอยู่บนยอดต้นยาง ต้องนอนหนาวอยู่ ๑ วัน ๑ คืน หลวงพ่อไต่ขึ้นมาจากเหวได้อย่างสะบักสะบอม จีวรขาดวิ่นเหลือแต่สบง ไปเรียกให้คนช่วย ก็ไม่มีใครช่วย หาว่าเป็นคนบ้าวิกลจริต พากันขว้างปาจนหัวบวมไปหมด กว่าจะมีคนมาช่วย รถก็ยังอยู่ที่เดิม พระจรัญได้กำหนดสติรับรู้กรรมที่ท่านต้องมาประสบเคราะห์กรรมในครั้งนี้เพราะ เมื่อตอนที่ท่านเป็นเด็กชาย แอบไปขว้างหัวชาวบ้านอยู่เป็นประจำ วันหนึ่งพบคนเมาเดินโซซัดโซเซมา ชื่อตาเถิ่ง เด็กชายจรัญหมั่นไส้ จึงถีบตาเถิ่งตกลงไปในน้ำที่มีต้นกง ต้นแสมเต็มไปหมด ตาเถิ่งได้รับบาดเจ็บและนอนจมอยู่ในน้ำ ๑ วันกับอีก ๑ คืน ผลกรรมนี้จึงมาตกกับท่านในคราวนี้เองอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง

และเมื่อสมัยที่หลวงพ่อยังเป็นเด็กชายจรัญอยู่ ได้รับจ้างอาแป๊ะคนจีน เชือดคอถอนขนไก่และเป็ดในวันตรุษจีน เกิดเหตุการณ์ไก่เพศเมียที่ถูกเชือดคอแล้วลุกขึ้นมาขันและล้มเสียชีวิต เวลาผ่านไปประมาณ ๑ ชั่วโมง อาแป๊ะเดินไปตักน้ำกลับมา ปรากฏว่า เลือดไหลออกจาก ปาก หู และทวารหนัก แล้วล้มลงสิ้นชีวิตต่อหน้าต่อตาเด็กชายจรัญ เด้วยเหตุนี้เอง หลวงพ่อจรัญจึงเลิกฉัน เนื้อ เป็ด ไก่ นก และสัตว์ปีกทุกชนิดจนถึงปัจจุบันนี้

เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๑ ผลกรรมได้ตอบสนอง ขณะนั้นหลวงพ่อได้เป็นเจ้าอาวาสใหม่ ๆ ได้เป็นโรคลำไส้ ปวดกระเพาะมาก ไส้เริ่มเน่า ถ่ายออกมาเป็นเลือดและน้ำเหลืองนานอยู่ ๓ ปี ลูกศิษย์ได้พาไปรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช หมอวินิจฉัยโรคพร้อมทั้งลงความเห็นให้ทำการผ่าตัดหลวงพ่อ ในวันรุ่งขึ้น พอตอนเช้าตีสี่ หลวงพ่อได้หลอกพยาบาลว่าต้องทำกิจวัตร คือ การเดินจงกรมทุกเช้า และได้หนีออกจากโรงพยาบาล แล้วเรียกสามล้อตุ๊ก ๆ เพื่อไปลงเรือกลับวัด

แม่ของเด็กชายจรัญเลี้ยงไก่ไว้จำนวน ๓๐๐ กว่าตัว วันหนึ่งเด็กชายจรัญได้ไปยืนดูวิธีการตอนไก่จากหมอ และได้ทราบว่า ไก่ที่ตอนแล้วจะอ้วนและมีเนื้อเยอะมากขึ้น ดังนั้น เด็กชายจรัญจึงรีบไปซื้อเครื่องมือ และนำวิธีการตอนไก่ ที่เห็นหมอใช้สว่านเจาะท้องไก่เอาเหล็กดึงไส้ออกมาแล้วเย็บ หลังจากนั้นก็นำไส้กลับไปใส่ไว้ในท้องเหมือนเดิม วิธีการตอนนี้ เด็กชายจรัญไม่ได้ศึกษาอย่างถ่องแท้ ปรากฏว่าไก่ที่เด็กชายจรัญตอนไว้นั้น ไส้ไหลเป็นน้ำเหลือง ไส้เน่าตายไปวันละหลาย ๆ ตัว จนหมดเล้า เหตุการณ์นี้ เด็กชายจรัญถูกแม่ด่าไป ๓ วัน ๓ คืน

ขณะอยู่ที่วัด ต้องฉันน้ำทีละหยด แสบท้องทรมานมาก ต่อมาลูกศิษย์คือ นายเทียบนอง บุญนาค แวะมาเยี่ยม บอกว่ามียาผีบอก ให้นำเกลือ ๓ กำ ไข่ไก่ ๑๕ ฟอง โดยใช้เฉพาะไข่แดง นำมาใส่หม้อดิน ต้มจนเป็นเกลือสตุ แล้วให้เริ่มฉันทีละช้อน แล้วดื่มน้ำตาม เมื่อหลวงพ่อฉัน พอเกลือตกถึงท้องแล้ว รู้สึกปวดแสบปวดร้อนมากจนสลบ พอฟื้นขึ้นมาอีกที ปรากฏว่า อาการปวดท้องไ้ด้หายเป็นปลิดทิ้ง และฉันอาหารได้ตามปกติ

วันหนึ่งยายจะไปค้างที่วัดเพื่อฟังเทศน์ กลัวว่าจะถูกพวกโจรขโมยมาลักทรัพย์ไป จึงให้นายจรัญนำไหกระเทียมมาใส่เงินกลมไว้ด้านล่าง สายสะพาย ๒ เส้น ๆ ละ ๘ บาท สร้อยข้อมือ ๑ คู่ ข้างละ ๔ บาท ร่างแหทองคำ เงิน นาก ห่อผ้าโปะอยู่ด้านบน และขุดฝังไว้ใต้ถุนบ้านแล้วปรับหน้าดินให้เสมอกัน เอาขี้ควายยาทับเหมือนที่ยาลานข้าว จากนั้นเอากระพ้อมมาครอบไว้ หลังจากส่งยายไปวัดแล้ว นายจรัญก็เตรียมการที่จะขโมยสมบัติของยาย แต่พอขุดไป ปรากฏว่า ไหที่ใส่สมบัติของยายได้หายไป เมื่อยายกลับมาก็ลืมเรื่องการฝังสมบัติไปหมดสิ้น

ต่อมายายล้มเจ็บไม่สบาย ไปเข้าฝันป้าเหลี่ยม ลูกสาวของยาย ซึ่งเป็นป้าของนายจรัญว่า “ถ้ากูตายแล้ว ให้ไปขุดเอาสมบัติในไห ที่ป่ากระชายหลังเรือน ๓ วานะ จรัญมันคิดไม่ซื่อ จะเอาทรัพย์สมบัติไปเล่นการพนัน” อีก ๒ ปีต่อมา ยายก็ตาย ป้าได้มาชวนนายจรัญไปขุดสมบัติ นายจรัญจึงออกอุบาย รู้ว่าป้าชอบกินน้ำตาลเมา จึงไปซื้อมาให้ป้ากินจนเมา และเมื่อขุดลงไปก็พบว่า ไหสมบัติได้ย้ายจากที่เดิมมา ๓ วา

แต่ผลกรรมยังไม่สิ้นสุดแค่นี้ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๒ หลวงพ่อได้ไปส่ง พันตำรวจโท ชน อินทนา พร้อมคุณนายเฉลา ภรรยา ซึ่งได้ย้ายไปอยู่ อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช ด้วยความเป็นห่วงว่าต้องเกิดเรื่องเดือดร้อนครั้งนี้แน่ ระหว่างที่เดินทางด้วยรถไฟ เมื่อถึงสถานีชุมพร ไส้ติ่งของหลวงพ่อได้เกิดแตกขึ้นมา หลวงพ่อสลบไป แต่ท่านได้กำหนดจิต หายใจทางสะดือ อยู่ในท่าสมาธิ ทุกคนคิดว่าหลวงพ่อมรณภาพแล้ว แต่หลวงพ่อได้ตั้งสติ แข็งใจจนถึงสถานีชะอวด เดินไปจนถึงบ้านพักตำรวจ มีแพทย์หญิงคนหนึ่งมาตรวจและจะพาหลวงพ่อไปโรงพยาบาล เพราะไม่มีเครื่องมือช่วย แต่หลวงพ่อไม่ยอม จึงตั้งจิตอธิษฐาน “พ่อไก่ แม่ไก่ทั้งหลายเอ๋ย เจ้าจงมารับเมตตาจากข้าพเจ้า ที่ตอนเจ้าไม่ได้เจตนาให้เจ้าตาย เป็นเพราะไม่ได้ศึกษาให้ถ่องแท้ก่อน ถ้าข้าพเจ้ารอดตายจะทำกรรมฐานไปให้ จงอย่างจองเวรจองกรรมกับเราเลย ให้อภัยเราเถิด” เมื่อสิ้นคำอธิษฐาน ก็อุจจาระ ปัสสาวะ ไหลออกมา ทั้งเลือด ทั้งหนองเหม็นคลุ้งไปหมด หมอให้น้ำเกลือและฉีดยาให้ คืนนั้นหลวงพ่อได้ทำกรรมฐาน พวกไก่ได้มาเต็มไปหมดและบอกหลวงพ่อว่า “นี่เป็นท่านนะ ถ้าไม่ใช่ท่าน จะเอาให้ตาย” หลังจากนั้น หลวงพ่อก็หายวันหายคืนจนเป็นปกติ

นายจรัญได้ขอห่อผ้า ซึ่งห่อทองไว้ และไ้ด้ให้เงินกลมแก่ป้าไป เมื่อนายจรัญต้องเดินทางไปกรุงเทพฯ เพื่อไปเรียนหนังสือต่อ ได้นำห่อผ้าซึ่งห่อทองไว้ แขวนไว้บนขื่อ แล้วตั้งจิตอธิษฐาน ขอขมาลาโทษแก่ยาย เพราะว่าจะนำไปเล่นการพนัน และขอให้เทวดาช่วยรักษาไว้ให้ด้วย ๔ ปี เมื่อนายจรัญกลับมา ห่อผ้าซึ่งห่อทองไว้ยังอยู่ที่เดิม ต่อมาเมื่อนายจรัญได้มาบวชเป็นพระ จึงนำทองทั้งหมดไปขายเพื่อนำเงินมาสร้างโบสถ์วัดพรหมบุรีในภายหลัง

ชีวิตในวัยหนุ่มของนายจรัญ เป็นวัยที่คึกคะนอง แกล้งคนโน้นแกล้งคนนี้ อีกทั้งเถียงยายอยู่ตลอดเวลา แต่นายจรัญ มีดีทางการเล่นดนตรีไทย เพราะคยเรียนมากับครูตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ โดยแอบยายไปเรียน

เมื่อเรียนจบชั้นมัธยม ๓ นายจรัญได้ไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ โดยไปอาศัยอยู่บ้านสามกระได แถวคลองบากแวก ฝั่งธนบุรี ของคุณหลวงธารา มีคุณนายชื่อ ห่วง คุณหลวงธารา เคยตีระนาดให้ รัชกาลที่ ๖ ทรงโขน นายจรัญไปอยู่เพื่อเรียนดนตรี ดีด สี ตี เป่า ต่อเพลงพิณพาทย์เป็นเวลา ๒ ปี และได้ไปเรียนช่างกลกับอาจารย์เลื่อน พงษ์โสภณ ที่บางขุนพรหม เมื่อคุณหลวงธาราและคุณนายห่วงได้สิ้นชีวิตลง นายจรัญได้ย้ายไปอาศัยอยู่กับบ้านของครูศร ศิลปบรรเลง ซึ่งต่อมาได้เป็นคุณหลวงประดิษฐ์ไพเราะ อยู่แถวบ้านบาตร หลังวัดสระเกศ เพื่อเรียนดนตรีไทยต่ออีก ๑ ปีเศษ จึงได้มารู้จักกับ ดร.อุทิศ นาคสวัสดิ์ ที่นี่

ต่อมา ครูศร ศิลปบรรเลง พานายจรัญไปฝากให้สอบเข้าเป็นนายร้อยตำรวจกับ จอมพลแปลก พิบูลสงคราม เมื่อเขาเข้าไปเรียนได้ ๓ เดือน ถูกรุ่นพี่ขู่เข็ญ และกลั่นแกล้ง เขาพยายามอดทน แต่เมื่อถูกรุกรานหนัก ความอดทนก็สิ้นสุด ประกอบกับเป็นคนที่ไม่ยอมคนอยู่แล้ว จึงชกรุ่นพี่เจ็บตัวไปหลายคน นายจรัญจึงไปขอโทษครู พร้อมกับขอลาออก และได้ชี้แจงเหตุผลต่าง ๆ ให้แก่จอมพลแปลก ทราบ และขอไปใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านเกิดเมืองนอน และนำวิชาที่เรียนมาคือ ดนตรี มาใช้ประกอบอาชีพ เมื่อมาอยู่ที่ อำเภอพรหมบุรี ก็มาเล่นดนตรีคณะ จรรยารักษ์ ซึ่งมีอยู่เดิม พร้อมออกงานแสดง มีชื่อเสียงโด่งดังไปถึงเจ็ดคุ้งน้ำ นายจรัญจอกจากมีฝีมือทางด้านดนตรีแล้ว ยังมีฝีมือทางด้านการประพันธ์หนังสือ สามารถประพันธ์เรื่องนางอรพิมกับท้าวปาจิตต์ และมีคณะลิเกมาขอลอกบท เพื่อไปแสดงเป็นลิเกหลายคณะ

นายจรัญได้ไปร่วมบรรเลงพิณพาทย์ที่วัดโตนด และหลวงธาราสั่งให้เลยไปเล่นต่อในงานศพอีกวัดหนึ่งใกล้ ๆ กัน คนอื่นในวงไปกันก่อน ส่วนนายจรัญเผลอนอนหลับอยู่บนศาลาวัดคนเดียว และแล้ว สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อพระวัดโตนดได้พาศิษย์วัดประมาณ ๑๐ คน มารุมทำร้าย เนื่องจากนายจรัญเคยด่าว่า พระวัดโตนดอาศัยผ้าเหลืองหากิน ไม่ปฏิบัติตามพระวินัยที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้เป็นต้นว่า แอบกินยาฝิ่น ชอบต่อนกเขา กินข้าวค่ำ ซึ่งทำให้พระวัดโตนดโกรธแค้นมาก จึงสั่งให้ลูกสมุนทั้งสิบคนช่วยกันรุมทำร้ายนายจรัญ หนุ่มร่างเล็กล้มลุกคลุกคลานอย่างสะบักสะบอม โดยไม่ทันตั้งหลัก ลูกสมุนหนึ่งในสิบชักมีดวิ่งไล่แทงตามไปติด ๆ หลังจะฆ่าให้ตาย นายจรัญเห็นท่าไม่ดีแน่ จึงวิ่งหนีเอาตัวรอดไปที่ท่าน้ำ ตั้งใจว่าจะกระโดดน้ำหนี แต่โชคดีมีคนมาฉุดข้อมือลงไปในเรือช่วยไว้ได้ทันชื่อ นายหมั่น แซ่ตั้ง ทางฝ่ายพระวัดโตนดกลัวความผิด ที่มีคนมาเห็นเหตุการณ์ จึ่งสั่งให้ลูกศิษย์วัดถอยล่าทัพกลับไป นายหมั่นแจวเรือพานายจรัญซึ่งนอนสลบไสลอยู่ ไปรักษาตัวที่บ้าน และทำยาสมุนไพรจีนให้ทาน และให้นอนพักฟื้นจนหายดี แล้วจึงพาไปส่งที่บ้านหลวงธารา เป็นเพราะสาเหตุนี้ ทำให้เขาเกลียดพระมาตั้งแต่บัดนั้น

วันหนึ่งแม่ของนายจรัญเริ่มป่วยกระเสาะกระแสะ นายจรัญจึงถูกแม่ขอร้องให้บวช เพื่อจะได้เห็นชายผ้าเหลืองก่อนตาย นายจรัญก็บวชทดแทนพระคุณแม่ เมื่ออายุ ๒๐ ปี ณ วัดพรหมบุรี เมื่อวัีนที่ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๑ เวลา ๑๔.๐๐ น. โดยมี พระครูพรหมจริยคุณ วัดแจ้งพรหมนคร เจ้าคณะอำเภอพรหมบุรี เป็นพระอุปัชฌาย์ พระปลัดกิมเอง วัดพุทธาราม เป็นกรรมวาจาจารย์ พระอธิการช่อ วัดพรหมบุรี เป็นอนุสาวนาจารย์

แม้จะเกลียดพระมาก่อน แต่เมื่อต้องมาเป็นพระ ท่านก็พยายามปฏิบัติตามพระวินัยที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ และปฏิบัติสมณกิจอย่างเคร่งครัด ทุกเช้าจะออกไปบิณฑบาตรในหมู่บ้าน เพื่อให้โยมยายและโยมแม่ได้ใส่บาตร เมื่อเสร็จภัตกิจแล้ว พระจรัญก็ทำความสะอาดกุฏิของท่าน เพราะท่านเป็นคนค่อนข้างมีระเบียบ เพราะโยมยายปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก

ในช่วงเวลาที่บวช พระจรัญถูกอารมณ์ทางโลกเข้าครอบงำ ทำให้เกิดความเบื่อหน่าย มีจิตใจรุ่มร้อน ต้องการที่จะลาสึกอยู่ตลอดเวลา แต่ต้องมีเหตุที่ทำให้ท่านลาสึกไม่ได้สักที เมื่อต้องการลาสึกทีไร ก็เกิดอาการง่วงเหงา เศร้า ซึม พร้อมได้ยินเสียงกังวานให้แก้วหู..... เข้ามาแทนที่กระทันหันว่า “นะโมยังไม่ได้ ก็ยังลาสึกไม่ได้” จนท่านสมภารพูดกับพระอันดับ ๔ รูปที่จะมาสึกให้ว่า “พระจรัญไม่ได้สึกหรอก รู้สึกว่าท่านต้องบวชไปตลอดชีวิต” แล้วพระจรัญก็ทราบสัจธรรมที่แท้จริงว่า “เกลียดสิ่งไหน ก็จะเจอสิ่งนั้น เกลียดพระ ก็จะต้องมาเป็นพระ”

หลวงพ่อจรัญได้ธุดงค์ไปตามป่าเขา ลำเนาไพร และที่ต่าง ๆ เพื่อแสวงหาความรู้ และประสบการณ์ทั้งทาง สมถกรรมฐาน และ วิปัสสนากรรมฐาน และได้ฝากตัวเป็นศิษย์ศึกษาวิชากับพระอาจารย์หลายท่าน อาทิ ศึกษาคชศาสตร์กับพระครูนิวาสธรรมขันธ์ (หลวงพ่อเดิม) อำเภอหนองโพธิ์ จังหวัดนครสวรรค์ กับหลวงพ่อลี และท่านเจ้าคุณอริยคุณาธร จังหวัดขอนแก่น และได้ศึกษาการทำเครื่องรางของขลัง น้ำมันมนต์ กับหลวงพ่อจง วัดหน้าต่าง จังหวัดอยุธยา และหลวงพ่อสนั่น วัดเสาธงทอง จังหวัดอ่างทอง และ หลวงพ่อจาด วัดบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี และได้ศึกษา สมถกรรมฐาน กับ พระภาวนาโกศลเถร (สด จันทสโร) ที่วัดปากน้ำ อำเภอภาษีเจริญ จังหวัดธนบุรี ศึกษาและปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐาน กับ ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระราชสิทธิมุนี วัดมหาธาตุ จังหวัดกรุงเทพฯ และได้ศึกษาพระอภิธรรมกับอาจารย์เตชิน (ชาวพม่า) ที่วัดระฆัง จังหวัดธนบุรี และศึกษาการพยากรณ์จากสมเด็จพระสังฆราช วัดสระเกศฯ จังหวัดกรุงเทพฯ และศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้วิทยาศาสตร์ทางจิต กับ อาจารย์ พ.อ. ชม สุคันธรัต

ต่อมาเมื่อหลวงพ่อจรัญ มาประจำอยู่ที่วัดอัมพวัน หลวงพ่อรู้ล่วงหน้า โดยสติบอกว่าต้องใช้หนี้เต่า ที่รับจ้างต้มเต่า ๗ ตัว เป็นเงิน ๑ บาท ให้พวกขี้เมาเมื่อตอนที่เป็นเด็ก สมัยอยู่มัธยม ๒ ซึ่งปรากฏว่า เต่ามันมีความสามัคคีกันดิ้นจนหม้อแตก แล้วหนีเข้ากอไผ่ไป จากกรรมที่หลวงพ่อสร้างเหล่านี้ ท่านลืมไปหมดแล้ว อยู่มาวันหนึ่งหลวงพ่อทราบว่าเจ้าของร้านเบ๊เต็กเส็ง ที่บางปะกิ ซึ่งรู้จักคุ้นเคยกัน ไปผ่าท้อง ที่สุขศาลาอนามัย จึงตั้งใจไปเยียม โดยมีญาติโยมจะขอร่วมเดินทางไปด้วยจนเต็มคันรถ แต่สติได้เตือนว่า ถ้าพาคนอื่นไปด้วยต้องตายกันหมด หลวงพ่อจึงออกอุบายหลอกล่อ ไม่ให้คนเหล่านั้นไปด้วย โดยจ้างรถปิ๊กอัพไปกับคนขับเพียงลำพัง ๒ คน แล้วตั้งใจว่าจะไปเยี่ยมแค่ ๑๕ นาที แล้วจะรีบกลับ

ระหว่างเดินทางกลับ ฝนตกหนักมาก ถนนสายเอเซียเพิ่งสร้างเสร็จใหม่ ๆ ถนนลื่นมาก ช่วงโค้งวัดเขาคู รถวิ่งมาด้วยความเร็วประมาณ ๑๒๐ ก.ม./ชั่วโมง รถยนต์เกิดเสียหลักหมุน ๕-๖ ครั้ง แล้วพลิกคว่ำแปดตลบ หลวงพ่อดิ้นขลุกขลักอยู่ในรถ เพราะประตูรถล็อคหมด ศีรษะถูกกระแทกทั้งบนและล่าง รถพังหมดทั้งคัน พอดีมีรถคันอื่นมาจอดช่วย ต้องเอาชะแลงงัด แล้วช่วยนำตัวออกมา บังเอิญช่วงที่เกิดเหตุไม่มีรถยนต์วิ่งสวนทางมา ไม่เช่นนั้นคงไม่รอด หลวงพ่อต้องมานอนรักษาตัวที่วัดไม่ได้ไปหาหมอ ต้องปวดแสบ บวดร้อน ผิวหนังถลอกไปทั้งตัวเป็นเวลา ๖ เดือน ทรมานเป็นยิ่งนัก “ฉะนั้นคนเราถึงจะสร้างความดี แต่ก็ต้องมีกรรม” หลวงพ่อจึงเจริญกรรมฐานแผ่เมตตาขออโหสิกรรมแก่เต่า เพราะที่ทำไปเีพียงต้องการเงิน ๑ บาท ต่อจากนั้นอาการต่าง ๆ จึงค่อยทุเลาหายเป็นปกติ

หลังจากนั้นสติได้บอกว่า วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๒๑ เวลา ๑๒.๔๕ น. หลวงพ่อจรัญ จะมีอุบัติเหตุคอหักตาย หมดอายุขัย (ถึงตอนนี้หลวงพ่อเริ่มเชื่อ เพราะจำเหตุการณ์อุบัติเหตุใช้หนี้กรรมจากเต่าได้ และเหตุการณ์ที่เคยยิงนกหักคอนก ถลกหนังหัว ตอนอยู่มัธยม ๓) หลวงพ่อจึงเีรียกประชุมคณะกรรมการของทางวัด และบอกญาติโยมว่าจะสละตัวจากเจ้าอาวาส เพื่อขอลามรณภาพ และในเวลาต่อมา ในวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๒๑ คณะแพทย์และพยาบาล จากโรงพยาบาลศิริราช มาถวายอาหารเพล แต่หลวงพ่อจะเดินทางไปประชุมเจ้าคณะอำเภอที่วัดกวิศาวราราม ที่จังหวัดลพบุรี โดยมี นาวาตรี วาด เกษแก้ว ซึ่งนุ่งกางเกงขาว เสื้อขาวมาด้วยเพราะหลวงพ่อทราบว่าต้องตายด้วยกันหมด (เนื่องจากศีรษะของนาวาตรี วาด เกษแก้ว นั้นไม่มี) จากนั้นรถได้ออกจากวัดเวลา ๑๒.๓๕ น. ขับออกมาก็ประสานงานกับรถของบริษัท ทันจิตทัวร์ ของจังหวัดนครสวรรค์ ชนเข้ากับรถปิ๊กอัพของหลวงพ่ออย่างเต็มแรง ส่วนร่างของนาวาตรี วาด เกษแก้ว กระเด็นไปหลังรถบัส ตกลงมาซี่โครงเสียบตับตายในเวลาต่อมา ส่วนหลวงพ่อจรัญพุ่งทะลุกระจกรถ กระเด็นออกไป ๒๐ วา แล้วจึงตกลงมาที่หน้าบ้านของนายเชาว์ ซึ่งเป็นโรงงานทำอิฐ ตลาดปากบาง คอหักพับมาอยู่ที่หน้าอก หนังศีรษะเปิดจากหน้าผากไปถึงท้ายทอย เลือดเต็ปากเต็มคอหอย หูก็ไม่ได้ยินมีแต่เสียงซ๋า ๆ หลวงพ่อตะโกน “โยมช่วยด้วย ๆ “ แต่ไม่มีใครช่วย พอดีมีตำรวจทางหลวงผ่านมาพบเข้า จึงอุ้มใส่รถขนอิฐของนายเชาว์ เพื่อนำหลวงพ่อไปส่งโรงพยาบาลสิงห์บุรี บังเอิญรถไม่มีเบาะ หม้อน้ำรถก็ไม่มีฝาปิดใช้ผ้าอุดแทน อยู่ที่ก้นของหลวงพ่อพอดี ระหว่างทางที่จะไปโรงพยาบาล หลวงพ่อได้ยินเสียงของเต่า พร้อมเห็นภาพเต่าโผล่ออกมา แล้วบอกว่า “สมน้ำหน้า เดี๋ยวกูจะซ้ำมึง ๆ” ขอขาดคำ น้ำในหม้อน้ำรถก็พุ่งขึ้นมา น้ำร้อนลวกใส่หลวงพ่อ ตั้งแต่หัวไปทั้งตัว ต้องทนทุุกข์ทรมานไปตลอดทาง

เมื่อไปถึงโรงพยาบาลสิงห์บุรี พบ นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ ได้พากเข้าห้องเอ๊กซเรย์ ปรากฏว่ากระดูกคอขาด หมอบอกกับญาติโยมให้นำหลวงพ่อไปวัด เตรียมจัดงานศพ แต่ขอนำหลวงพ่อไปห้องไอซียูก่อน เพื่อไปเก็บแผล ล้างเลือด โดยให้นอนบนรถเข็นที่ไม่มีหมอนรอง บุรุษพยาบาล ๒ คน เป็นคนเข็น หลวงพ่อรู้ตัวว่าต้องตายแน่ เลยยกมือขึ้นเหนือหัวแล้วพูดว่า “ด้วยเดชะบุญกุศล ท้าวเวสสุวรรณ เจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้าใช้หนี้กรรมในโลกมนุษย์หมดแล้วยินดีจะไป ถ้าข้าพเจ้ายังใช้หนี้กรรมไม่หมด ข้าพเจ้าขอสาบานต่อท้าวเวสสุวรรณว่า ขอให้ข้าพเจ้ากลับมาแก้ตัว สร้างกรรมดีใช้หนี้ให้หมด ถ้าหมดแล้วข้าพเจ้าจะไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก เพราะมนุษย์มีแต่ขี้เกียจ ขี้โกง ขี้อิจฉา ริษยา”

พอสิ้นคำอธิษฐานของหลวงพ่อ ปรากฏว่าบุรุษพยาบาลได้เข็นรถไปตกร่องประตูเหล็ก โดยไม่มีใครคาดคิด จากแรงกระแทกนั่นเอง ทำให้กระดูกคอของหลวงพ่อซึ่งขาดอยู่ เกิดติดกันขึ้นมา ทำให้หลวงพ่อฟื้นคืนสติขึ้นมา ต่อมาทางโรงพยาบาลสิงห์บุรี ได้นำหลวงพ่อไปทำการรักษาต่อที่ โรงพยาบาลเลิดสิน ซึ่งอยู่ในกรุงเทพฯ ในระหว่างการรักษาใช้เฝือกพันที่บริเวณคอ ภายใต้การดูแลของคุณหมอประดิษฐ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเลิดสิน หลังจากนั้นก็นำตัวหลวงพ่อกลับมารักษาที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี หลวงพ่อต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสเป็นเวลากว่า ๕๐ วัน หิวน้ำก็ไม่สามารถดื่มได้ ต้องหยอดด้วยหลอดกาแฟ เวลาฉันข้าวก็ใส่เข้าไปข้าง ๆ ปากพูดก็ไม่ได้ บบฉันอาหารเลือดก็ไหลตลอดเวลา เวลาฉันก็ต้องป้อน ไม่สามารถฉันได้เอง เลยนึกถึงคำยายที่ว่า “ต้องเป็นเปรต ปากเท่ารูเข็ม” เพราะไปกินข้าวที่ยายให้ไปถวายพระในตอนที่ยังเป็นเด็ก

พระจรัญอายุได้ ๒๕ ปี ได้ยินข่าวลือว่า มีพระรูปหนึ่งอยู่ที่ขอนแก่น สอนวิชายืดเหรียญ ท่านจึงเดินทางไปขอนแก่นเพื่อเรียนวิชานี้ และได้ไปพบกับอดีตผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่ง อายุ ๘๔ ปี ซึ่งเป็นต้นตอของข่าวลือ จึงได้เล่าความจริงให้พระจรัญทราบว่า ผมได้รับกล่องใส่ยาสูบเป็นทองเหลือง ซึ่งเป็นมรดกจากพ่อซึ่งเป็นกำนัน และได้รับพระราชทานมาจากในหลวงรัชกาลที่ ๖ ในกล่องมีเหรียญซ่อนอยู่ก้นกล่องใส่ยาสูบ ๑ เหรียญ จนกระทั่งผมได้มาพบพระรูปหนึ่งมาปักกลด นั่งขัดสมาธิหลับตาอยู่ใต้ต้นไทรใหญ่กลางทุ่งนาเป็นเวลา ๑ เดือนของทุกปี มาอยู่ราว ๆ เดืิอน ๓ พอเดือน ๔ ก็หายไปไม่ทราบว่าท่านหายไปไหน ผมเห็นท่านตั้งแต่ ๘ ขวบจนอายุ ๘๔ ปีแล้ว รูปร่างหน้าตาท่านเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ท่านนั่งหลับตาไม่พูดกับใคร ญาติโยมไปหา ท่านก็ไม่พูดด้วย ผมจำได้ว่าเมื่อตอนเป็นเด็ก ออกไปทำนากับพ่อ ก็แวะไปนั่งเ้ฝ้าท่าน เมื่อท่านฉันอาหารในบาตรเสร็จ ท่านก็เทอาหารก้นบาตรมาให้ผม ผมสำนึกในบุญคุณที่ท่านให้ผมกินข้าวก้นบาตรมาตลอด ผมไปพบท่านทุก ๆ ปี แต่ที่น่าแปลก คือ ท่านได้พูดขึ้นมาหลังจากที่ไม่พูดมา ๗๐ กว่าปีว่า “โยมมีของดี ในกล่องยาให้นำไปบูชา ลูกหลานจะได้อยู่เย็นเป็นสุข เพราะว่าเป็นเหรียญพระราชทานให้แก่ผู้ใหญ่ กำนันที่ทำงานดี ปกป้องคุ้มครองแก่ราษฎรให้อยู่ดีกินดี” เมื่อกลับมาบ้านผมก็เปิดกล่องยาดู พบเหรียญซ่อนอยู่ก้นกล่อง ในเหรียญมีเลขอยู่ ๓ ตัว พวกลูกหลานนำเลข ๓ ตัวไปแทงหวยก็ถูกติดต่อกัน ๓ งวด ก็เลยลือกันไปถึงบางกอก ปากต่อปาก จากคืบเป็นศอก จากศอกเป็นวา แต่พระจรัญก็ไม่ปักใจเชื่อเสียทีเดียว จึงได้ขอให้ผู้ใหญ่บ้านพาไปพบพระรูปนั้น

พระรูปนั้นท่านอยู่ในป่า ห่างจากหมู่บ้านไป ๔ กิโลเมตร เมื่อไปพบ ท่านนั่งขัดสมาธิหลับตาอยู่ใต้ต้นไทรกลางทุ่ง คะเนอยายุได้ราว ๗๐ ปี พระจรัญได้เข้าไปกราบ และพูดกับท่านเรื่องขอเรียนวิชายืดเหรียญ แต่ท่านไม่ตอบกลับนั่งหลับตาเฉย ๆ เมื่อพระจรัญถามเรื่อง ธรรมะและการปฏิบัติ ท่านได้ตอบว่า “สติปัฏฐาน ๔ ระลึกชาติได้ รู้กฎแห่งกรรม เกิดปัญญา แ้ก้ปัญหาได้” พระจรัญขอให้ท่านสอน “สติปัฏฐาน ๔” ให้ แต่ท่านตอบว่า “รอให้อายุ ๔๕ ปี เสียก่อนแล้วค่อยพบกัน เมื่อต้องการจะพบฉันให้เธอปฏิบัติ ดังนี้” พร้อมบอกเคล็ดลับ ๓ ข้อ และย้ำว่าไม่ให้บุคลที่สามล่วงรู้โดยเด็ดขาด เมื่อหลวงพ่ออายุครบ ๔๕ ปี หลวงพ่อจรัญได้ธุดงค์ไปในป่าดงพระยาเย็น เพื่อพบกับหลวงพ่อในป่าตามสัญญา ดงพระยาเย็นเป็นป่าดงดิบอยู่ในอาณาบริเวณเขาใหญ่ ซึ่งกินเนื้อที่ของสองจังหวัด คือ สระบุรี และ นครราชสีมา หลวงพ่อในป่าได้สอน วิธีเจริญสติปัฏฐาน ๔

๑. การกำหนดกาย (กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน)
๒. การกำหนดเวทนา (เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน)
๓. การกำหนดจิต (จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน)
๔. ก่ารกำหนดธรรม (ธัมมานุปัสสนาสิตปัฏฐาน)

หลวงพ่อจรัญเรียน สติปัฏฐาน ๔ อยู่กับหลวงพ่อในป่าเป็นเวลา ๑ ปี จนเกิดความรู้ความเข้าใจ แจ่มแจ้งด้วยตนเอง แล้วจึงนำหลักคำสอนของหลวงพ่อในป่า มาสอนให้กับญาติโยมและศิษยานุศิษย์จนถึงปัจจุบัน

จากผลกรรมที่หลวงพ่อได้รับ ทำให้ หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม (พระราชสุทธิญาณมงคล) ได้ตั้งปณิธานแน่วแน่ว่า จะสร้างคนโดยใช้วิธีการที่สำคัญ คือ การให้การศึกษาอบรมและสอนวิปัสสนากรรมฐาน ผลงานของท่านเป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งปวง ไม่เฉพาะประชาชนคนไทยเท่านั้น แม้แแต่ชาวต่างประเทศก็ยอมรับและให้ความเคารพนับถือหลวงพ่อเป็นอย่างยิ่ง ท่านเริ่มสอนวิปัสสนากรรมฐานให้กับญาติโยม และศิษยานุศิษย์ที่วัดอัมพวัน ตั้งแต่หลวงพ่อได้มาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ ท่านได้พัฒนาวัดอัมพวันให้เจริญรุ่งเรือง โดยการสร้างศาลาปฏิบัติธรรม และมีห้องน้ำสะอาดสะอ้านจำนวนมากกว่า ๕๐๐ ห้อง ในปีหนึ่ง ๆ มีผู้เข้ามาปฏิบัติธรรมทั้งที่เป็นพระภิกษุ สามเณร แม่ชี และคฤหัสถ์ คือ ประชาชน นักเรียน นิสิต นักศึกษา เป็นจำนวนมากนับแสนคน

หลวงพ่อท่านมีเมตตาต่อผู้คนทุกถ้วนหน้า โดยไม่เลือก ชั้น วรรณะ เชื้อชาติ หรือ ศาสนา ศิษยานุศิษย์ของท่านจึงมีทั้งที่นับถือศาสนาพุทธ คริสต์ และอิสลาม ทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ ท่านตั้งปณิธานมุ่งมั่นในการสร้างคน แทนการสร้างวัตถุ จึงทุ่มเทชีวิตทั้งกำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญาให้กับ การเผยแพร่วิปัสสนากรรมฐานมากว่า ๔๐ ปี โดยทำงานอย่างหนัก ทั้งกลางวัน กลางคืน เพื่อพัฒนาจิตของบุคคนทุกระดับชนชั้น ให้สูงขึ้นเป็นไปตามเจตนารมณ์ที่ท่านได้อธิษฐานจิต (หลังจากอุบัติเหตุ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๒๑) ไว้ว่า “จะใช้หนี้โลกมนุษย์ ด้วยการเผยแพร่พระธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จะไม่ขอสร้างวัตถุุอีกต่อไปแล้ว”

จบบริบูรณ์